สำหรับนักลงทุนที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกของการวิเคราะห์เทคนิค การเรียนรู้เรื่อง “แนวรับ” และ “แนวต้าน” ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด คล้ายกับการต้องเรียน A-B-C ก่อนจะเริ่มเขียนหนังสือ ไม่ว่าคุณจะซื้อขายหุ้นในตลาดไทย สกุลเงินในตลาดฟอเร็กซ์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี กลไกของแนวรับแนวต้านทำงานได้เหมือนกัน เพราะมันสะท้อนพฤติกรรมของตลาดที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจแนวรับแนวต้านอย่างลึกซึ้ง — ตั้งแต่ความหมาย พื้นฐานจิตวิทยาของการเกิดเส้น วิธีตีเส้นให้แม่นยำใน TradingView ไปจนถึงกลยุทธ์การนำเส้นเหล่านี้มาใช้ในการเทรดจริง โดยพร้อมชี้จุดผิดที่มือใหม่มักทำจนเสียทุน เพื่อให้คุณไม่เพียง “รู้” แต่จะได้ “ทำได้จริง” และ “อยู่รอดในตลาดได้นาน”
แนวรับและแนวต้าน คืออะไร? พื้นที่ที่แรงซื้อ-แรงขายปะทะกัน
ลองจินตนาการกราฟราคาเป็นสนามแข่งขันระหว่างฝ่ายขายและฝ่ายซื้อ
- แนวรับ (Support) เปรียบเสมือน “พื้น” ที่ราคาลงมาชนแล้วดีดกลับขึ้น ซึ่งเป็นบริเวณที่แรงซื้อเข้ามารับมืออย่างเข้มแข็ง นักลงทุนมองว่าตรงนี้เป็น “ระดับราคาที่ถูก” และพร้อมซื้อสะสม มักจะมีแรงซื้อมากกว่าแรงขาย
- แนวต้าน (Resistance) ก็คือ “เพดาน” ที่ราคามักจะขึ้นไปแตะแล้วสะท้อนตัวกลับลง ตรงนี้นักลงทุนมักเริ่มขายทำกำไรเพราะมองว่า “แพงเกินไป” ส่งผลให้แรงขายนับพันเกิดขึ้นในระดับราคาเดียวกัน
แนวรับแนวต้านไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่เกิดจาก จิตวิทยาของมวลชน และ ความทรงจำ หากเคยมีการกลับตัวรุนแรงที่ระดับราคาเดิม นักเทรดส่วนใหญ่มักจะ “จำ” ได้ และกลับมาใช้พฤติกรรมซ้ำ นี่คือเหตุผลที่แนวรับแนวต้านจึงมีพลัง แม้อยู่ในตลาดที่แตกต่างกัน
ความสำคัญของมันคือการช่วยให้คุณ “เห็นกรอบ” ของตลาด รู้ว่าราคามีโอกาสจะเด้งในเขตไหน หรืออาจจะขาดลอยไปในทิศทางใด ซึ่งจะช่วยให้คุณวางแผนจุดเข้าซื้อ เข้าขาย และจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีหลักการ

วิธีหาและตีเส้นแนวรับแนวต้านอย่างมืออาชีพ
การตีเส้นไม่ใช่เรื่องของการเดาหรือขีดไปเรื่อย แต่ต้องอาศัยข้อมูลจาก “เหตุการณ์ในอดีต”
1. หาจุดกลับตัวหลัก: Swing High และ Swing Low
- Swing High (จุดสูงสุด): คือ ยอดของคลื่นราคาที่สูงกว่าแท่งเทียนก่อนหน้าและหลังหน้าอย่างชัดเจน มีนัยว่าแรงซื้อหมดแรงแล้ว จุดเหล่านี้มักกลายเป็นแนวต้านสำคัญ
- Swing Low (จุดต่ำสุด): คือ ฐานคลื่นที่ต่ำกว่าทั้งแท่งก่อนและแท่งหลัง เป็นจุดที่แรงซื้อกลับมา สามารถหยุดรับสถานการณ์ไว้ได้ มักกลายเป็นแนวรับ
ยิ่งจุดนั้นเคยถูกทดสอบหลายครั้งโดยที่ราคากลับตัวมาตลอด ยิ่งแสดงว่าโซนนั้นมีความแข็งแกร่ง
2. วิธีตีเส้น: แนวนอนและแนวโน้ม
- เส้นแนวนอน (Horizontal Line): เชื่อมจุด Swing ที่อยู่ใกล้เคียงกันอย่างน้อย 2 จุดขึ้นไป เช่น รูปตัวW — แล้วก็ตีเส้นแนวนอน นี่คือวิธีที่ใช้กับตลาด sideway หรือหาแนวที่สำคัญยิ่งในภาพใหญ่
- เส้นแนวโน้ม (Trend Line):
- ในขาขึ้น: ตีเส้นเชื่อมจุดต่ำสุดที่ยกตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ (Higher Lows) เพื่อสร้าง “แนวรับแนวโน้ม”
- ในขาลง: ตีเส้นเชื่อมจุดสูงสุดที่ลดต่ำลงเรื่อย ๆ (Lower Highs) เพื่อสร้าง “แนวต้านแนวโน้ม”

กลยุทธ์การเปลี่ยนบทบาท: แนวรับกลายเป็นแนวต้าน และในทางกลับกัน
นี่คือหนึ่งในแนวคิดที่ทรงพลังที่สุดในวิเคราะห์เทคนิค: เมื่อเส้นถูกทำลาย บทบาทของมันก็เปลี่ยน
- แนวต้านถูกทะลุ (Breakout): เมื่อราคาผ่านแนวต้านขึ้นไปแล้ว มันมักจะเปลี่ยนเป็น “แนวรับใหม่” เพราะมีนักลงทุนที่เคยตกรถ (FOMO) รอซื้อเมื่อราคาย่อตัวกลับมา
- แนวรับถูกทะลุ (Breakdown): เมื่อราคาร่วงต่ำกว่าแนวรับ มันจะเปลี่ยนบทบาทเป็น “แนวต้านใหม่” เพราะมีคนติดดอย รอให้ราคากลับมาเท่าทุนแล้วขายทิ้ง
การที่ราคา “ย้อนกลับไปแตะ” เส้นเดิมอีกครั้ง เราเรียกว่า Retest — ซึ่งมักให้สัญญาณเทรดที่มีคุณภาพสูง เพราะตลาดได้ยืนยันการเปลี่ยนข้างอย่างชัดเจน

3 กลยุทธ์เทรดด้วยแนวรับแนวต้าน ใช้งานได้จริง
เมื่อวาดเส้นเสร็จแล้ว คุณก็สามารถนำมันไปใช้เป็นแผนการเทรดได้ทันที
1. Range Trading (เทรดในกรอบ)
เหมาะกับตลาดที่ยังไม่ชัดทิศทาง หรือย่อเยากังวลใจ
- เข้าซื้อ (Long): เมื่อราคาแตะแนวรับและเกิดสัญญาณกลับตัว เช่น แท่งเขียวใหญ่ หรือ Pin Bar กระทิง
- ขายหรือปิดสถานะ (Take Profit): เมื่อใกล้ถึงแนวต้าน และเริ่มเห็นสัญญาณอ่อนตัวเช่น แท่งเทียนหางยาวด้านบน
2. Breakout Trading (เทรดตามทะลุกรอบ)
เหมาะกับการเริ่มต้นเทรนด์ใหม่หลังจากอยู่ในกรอบยาว
- เข้าซื้อ (Buy on Breakout): เมื่อราคาพุ่งทะลุแนวต้านหลัก พร้อมปริมาณการซื้อขาย (Volume) พุ่งสูง — วัดจากแท่งเทียนที่ยาวขึ้น
- เข้าขาย (Sell on Breakdown): เมื่อราคาสลายแนวรับสำคัญลงมา พร้อมแท่งแดงขนาดใหญ่
3. ใช้แนวรับแนวต้านบริหารความเสี่ยง
- Stop Loss สำหรับ Long: วางใต้แนวรับเล็กน้อย — ถ้าราคาทะลุผ่าน แปลว่าสัญญาณผิดพลาด
- Stop Loss สำหรับ Short: วางเหนือแนวต้านเล็กน้อย — หักพื้นที่เล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยง Noise
การมีจุด Stop Loss เป็นเรื่องจำเป็น เพราะไม่มีสัญญาณใดที่แน่นอน 100% Investopedia ชี้ชัดว่าการตั้งคำสั่งตัดขาดทุนคือหนึ่งในกลยุทธ์ที่นักลงทุนทุกระดับต้องมีเพื่อป้องกันการสูญเสียใหญ่

สอนวาดเส้นใน TradingView แบบทีละขั้น
TradingView เป็นแพลตฟอร์มที่นิยมที่สุด เพราะใช้ง่ายและมีฟีเจอร์ครบ นี่คือวิธีตีเส้นแบบมือโปร
- เลือกสินทรัพย์: เข้าเว็บ TradingView และพิมพ์สินทรัพย์ที่ต้องการ เช่น AOT, BTC/USDT หรือ EUR/USD
- เปิด Tools วาดเส้น: ที่แถบซ้ายมือ คลิกไอคอนรูปดินสอ (Drawing Tools) — กลุ่มที่สองจากบน
- ตีเส้นแนวนอน:
- เลือก “Horizontal Line” (หรือกด Alt + H)
- คลิกที่ Swing High หรือ Swing Low ที่ต้องการ จะเห็นเส้นแนวนอนลากไปตลอด
- ตีเส้นแนวโน้ม:
- เลือก “Trend Line” (หรือกด Alt + T)
- ลากจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดถัดไป เช่น ต่ำสุด-ต่ำสุดในขาขึ้น
เคล็ดลับเพื่อให้ใช้งานได้ดีขึ้น
- ปรับสไตล์เส้น: ดับเบิลคลิกที่เส้นเพื่อเปลี่ยนสี, ความหนา หรือให้เป็นเส้นประ เพื่อแยกเส้นสำคัญออกจากเส้นชั่วคราว
- ตั้งการแจ้งเตือน: คลิกขวาที่เส้น เลือก “Add alert” — เพื่อรับเตือนเมื่อราคาสัมผัสเส้นนั้น ดีมากสำหรับผู้ที่ไม่ได้จ้องกราฟตลอด
3 ข้อผิดพลาดที่มือใหม่มักทำไม่รู้ตัว
1. ตีเส้นจนกราฟรก ตาลาย (Overplotting)
หลายท่านคิดว่ายิ่งขีดเส้นมากยิ่งดูเก่ง แต่จริงๆ แล้วมันทำให้คุณ “ลืมมองภาพรวม” วิธีแก้คือ โฟกัสเฉพาะจุดที่ถูกทดสอบซ้ำ 2-3 ครั้ง และเลือกใช้ Timeframe ใหญ่ เช่น รายวัน หรือรายสัปดาห์ เพื่อกำหนดเส้นสำคัญ
2. เชื่อว่า “เส้นนี้คือกำแพง” ไม่มีวันถูกทำลาย
จงจำไว้ว่า แนวรับแนวต้านไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ แต่เป็นโซนที่คาดว่าจะเกิดแรงต้าน หากมีแรงซื้อหรือแรงขายที่รุนแรงจากข่าวหรือข้อมูลใหญ่ ตลาดสามารถทะลุเส้นใดเส้นหนึ่งได้ภายในไม่กี่วินาที อย่าดื้อรั้น ต้องมีแผนรองรับเสมอ
3. สวนแนวโน้มหลัก
พยายามเข้าซื้อที่แนวรับในขณะที่ตลาดเป็นขาลงชัดเจน — “เทรดสวนเทรนด์” คือความเสี่ยงที่ไม่คุ้มค่า ตามหลัก “Trend is your friend” การเทรดตามทิศทางของเทรนด์หลักมีอัตราชนะสูงกว่าเสมอ
ตามแนวทางจากหลักสูตร SET e-Learning ที่เน้นย้ำว่า การวิเคราะห์แนวโน้มเป็นขั้นตอนแรกที่ต้องทำเสมอ
เสริมเพิ่มความแม่นด้วยการใช้ร่วมกับ: RSI (ดูภาวะ OVER/UNDER), MACD (ดูโมเมนตัม), และ Volume (ยืนยันแรงผลัก)