การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนใช้เพื่อทำนายทิศทางของราคาหุ้น หนึ่งในอินดิเคเตอร์ที่ได้รับความนิยมสูงและมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ Relative Strength Index (RSI) หรือดัชนีวัดความแข็งแรงสัมพัทธ์ ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนสังเกตจังหวะการกลับตัวของราคาได้ล่วงหน้า
แม้หลายแพลตฟอร์มจะแสดงค่า RSI อัตโนมัติ แต่การเข้าใจพื้นฐานการคำนวณจะช่วยให้คุณตีความผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำและมั่นใจมากขึ้น ไม่ใช่แค่เดาตามตัวเลข บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกตั้งแต่ที่มาของ RSI โครงสร้างสูตร ไปจนถึงการประยุกต์ใช้จริงจากตัวอย่างหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย โดยยึดหลักความถูกต้องและเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และนักเทรดระดับกลาง

Relative Strength Index (RSI) คืออะไร?
RSI เป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Momentum Oscillator ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย J. Welles Wilder Jr. ในปี 1978 ผ่านหนังสือชื่อโด่งดังอย่าง New Concepts in Technical Trading Systems จุดประสงค์หลักคือการวัดความเร็ว และพลังของแนวโน้มราคาในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วแสดงเป็นค่าตัวเลขระหว่าง 0 ถึง 100
ค่า RSI ทำหน้าที่เหมือนสัญญาณไฟจราจรในตลาดหุ้น โดยให้ข้อมูลว่าสินทรัพย์กำลังอยู่ในภาวะ ซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือ ขายมากเกินไป (Oversold) ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงจุดเปลี่ยนของแนวโน้ม โดยเฉพาะเมื่อราคายังเคลื่อนตัวแรง แต่โมเมนตัมเริ่มอ่อนตัวลง
ตัวอย่างเช่น หากหุ้นพุ่งต่อเนื่อง แต่ค่า RSI เริ่มทรงตัวหรือกลับตัวลง นั่นอาจเป็น “การเตือน” ว่าแรงซื้อกำลังหมดลม ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับฐานหรือการกลับตัว

สูตรคำนวณ RSI อย่างละเอียด
การคำนวณ RSI ดูซับซ้อนจากสูตร แต่หากแบ่งขั้นตอนจะเข้าใจได้ง่าย โดยพื้นฐานแล้ว RSI คำนวนจาก “ค่าเฉลี่ยการเปลี่ยนแปลงราคา” ในช่วงเวลาหนึ่ง มาเปรียบเทียบกันระหว่างแรงซื้อ (Gain) และแรงขาย (Loss)
สูตรหลักแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ตามข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ด้านการเงินที่น่าเชื่อถืออย่าง Investopedia
ขั้นตอนที่ 1: คำนวณ Relative Strength (RS)
$$RS = \frac{\text{ค่าเฉลี่ยของราคาที่ขึ้น (Average Gain)}}{\text{ค่าเฉลี่ยของราคาที่ลง (Average Loss)}}$$
ขั้นตอนที่ 2: แปลงค่า RS เป็น RSI
$$RSI = 100 – \left( \frac{100}{1 + RS} \right)$$
โดยช่วงเวลา (period) ที่ใช้โดยทั่วไปคือ 14 วัน สำหรับกราฟรายวัน ซึ่งมีความสมดุลระหว่างความไวและเสถียรภาพ เหมาะสำหรับการติดตามแนวโน้มระยะสั้นถึงกลาง

ตัวอย่างการคำนวณ RSI จริงจากหุ้นไทย
เพื่อให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เราจะใช้ตัวอย่างหุ้นสมมติในตลาด SET โดยคำนวณ RSI เองทีละขั้นตอนจากข้อมูลราคาปิดย้อนหลัง 15 วัน
ข้อมูลหุ้นตัวอย่าง: ราคาปิดย้อนหลัง 15 วัน (หน่วย: บาท)
วัน | ราคาปิด | เปลี่ยนแปลง | ราคาขึ้น (Gain) | ราคาลง (Loss) |
---|
1 | 100.00 | – | – | – |
2 | 102.00 | +2.00 | 2.00 | 0.00 |
3 | 101.50 | -0.50 | 0.00 | 0.50 |
4 | 103.00 | +1.50 | 1.50 | 0.00 |
5 | 102.50 | -0.50 | 0.00 | 0.50 |
6 | 104.00 | +1.50 | 1.50 | 0.00 |
7 | 105.00 | +1.00 | 1.00 | 0.00 |
8 | 104.00 | -1.00 | 0.00 | 1.00 |
9 | 103.50 | -0.50 | 0.00 | 0.50 |
10 | 106.00 | +2.50 | 2.50 | 0.00 |
11 | 107.00 | +1.00 | 1.00 | 0.00 |
12 | 106.50 | -0.50 | 0.00 | 0.50 |
13 | 108.00 | +1.50 | 1.50 | 0.00 |
14 | 109.00 | +1.00 | 1.00 | 0.00 |
ผลรวม 14 วันแรก | 13.50 | 3.00 |
15 | 108.00 | -1.00 | 0.00 | 1.00 |
ขั้นตอนที่ 1: คำนวณค่าเฉลี่ยเริ่มต้น (Avg Gain และ Avg Loss)
- ผลรวม Gain 14 วัน = 13.50
- ผลรวม Loss 14 วัน = 3.00
- ค่าเฉลี่ย Gain = 13.50 ÷ 14 = 0.964
- ค่าเฉลี่ย Loss = 3.00 ÷ 14 = 0.214
ขั้นตอนที่ 2: คำนวณ Relative Strength (RS)
$$RS = \frac{0.964}{0.214} = 4.505$$
ขั้นตอนที่ 3: คำนวณ RSI วันที่ 14
$$RSI = 100 – \left( \frac{100}{1 + 4.505} \right) = 100 – \left( \frac{100}{5.505} \right) = 100 – 18.165 = 81.835$$
หมายความว่า ณ วันที่ 14 หุ้นตัวนี้มีค่า RSI สูงถึง 81.84 ชี้ให้เห็นว่าเข้าสู่เขต Overbought และอาจมีแรงขายเกิดขึ้น
ขั้นตอนที่ 4: คำนวณต่อไป (Smoothing)
สำหรับ RSI ในวันถัดไป จะใช้วิธีการอัปเดตค่าเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก เพื่อความราบรื่น:
- New Avg Gain = [(0.964 × 13) + 0] ÷ 14 = 0.895
- New Avg Loss = [(0.214 × 13) + 1.00] ÷ 14 = 0.270
- RS ใหม่ = 0.895 / 0.270 = 3.315
- RSI วันที่ 15 = 100 − (100 / (1 + 3.315)) = 76.82
ค่า RSI ลดลงจาก 81.84 เป็น 76.82 สะท้อนว่าแรงซื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับการที่ราคาเริ่มปรับตัวลงในวันที่ 15

วิธีอ่านและตีความค่า RSI เพื่อการตัดสินใจ
การดูว่า “RSI เท่าไหร่” ไม่เพียงพอ ต้องเข้าใจบริบทของตลาด ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ ตามแนวทางที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เสนอให้นักลงทุนพิจารณา
เขตซื้อมากเกินไป (Overbought): ค่า RSI > 70
เมื่อ RSI เคลื่อนตัวเหนือระดับ 70 มักบ่งชี้ว่ามีการซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาสั้น นักลงทุนส่วนใหญ่อาจเริ่มขายทำกำไร เช่น กรณีในตัวอย่างที่ RSI วันที่ 14 สูงถึง 81.84 ก่อนที่ราคาจะย่อตัวลงในวันถัด ๆ มา
อย่างไรก็ตาม ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง RSI อาจอยู่ในเขต Overbought เป็นเวลานาน ไม่ได้หมายถึงการกลับตัวเสมอไป
เขตขายมากเกินไป (Oversold): ค่า RSI < 30
หาก RSI ต่ำกว่า 30 แปลว่ามีแรงขายต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มหมดความหวังและอาจขายในช่วงความตื่นตระหนก ซึ่งเป็นโอกาสของนักลงทุนรายย่อยที่จะเก็บหุ้นถูกราคา หรือมองหาจุดกลับตัวขาขึ้น
เส้นค่ากลาง 50: เครื่องมือระบุแนวโน้ม
แม้ไม่ใช่เกณฑ์หลัก แต่ RSI เหนือ 50 แสดงว่าโมเมนตัมอยู่ในฝั่งขาขึ้น ในขณะที่ต่ำกว่า 50 ชี้ถึงโมเมนตัมขาลง การใช้เส้นนี้เป็นจุดอ้างอิงช่วยแยกแยะว่า RSI ที่ Overbought อยู่ในขาขึ้นจริง หรือเป็นเพียงการเด้งตัวในขาลง
เทคนิคขั้นสูง: ใช้ RSI เพื่อหาสัญญาณ Divergence
Divergence หรือความผิดปกติระหว่างราคาและการวัดโมเมนตัม เป็นหนึ่งในสัญญาณที่แม่นยำที่สุดของ RSI เนื่องจากบ่งชี้ถึงความอ่อนแรงของแนวโน้มก่อนที่ราคาจะกลับตัวจริง
Bullish Divergence (สัญญาณซื้อ)
เกิดเมื่อราคาทำ “จุดต่ำสุดใหม่” (Lower Low) แต่ RSI กลับทำ “จุดต่ำสุดที่ไม่ลึกลง” (Higher Low) แม้ราคาลบแต่โมเมนตัมการขายอ่อนลง นี่คือสัญญาณเตือนว่าแรงขายเริ่มหมดแรง
Bearish Divergence (สัญญาณขาย)
ตรงกันข้ามกัน เมื่อราคาทำ “จุดสูงสุดใหม่” (Higher High) แต่ RSI กลับทำ “จุดสูงสุดที่ต่ำลง” (Lower High) แสดงว่าแรงซื้อไม่แข็งแรงพอในการผลักดันราคาให้สูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาลง

ข้อผิดพลาดและการใช้ RSI ให้ถูกต้อง
แม้ RSI จะทรงประสิทธิภาพ แต่หากใช้ผิดวิธีอาจนำไปสู่การขาดทุนได้ โดยยึดถือคำแนะนำจากแหล่งเชี่ยวชาญอย่าง Fidelity ต่อไปนี้
- อย่าต่อต้านแนวโน้มใหญ่: ในช่วงแนวโน้มแรง ทั้งขาขึ้นหรือขาลง RSI อาจค้างในเขต Overbought/Oversold ได้นาน การสั่งซื้อหรือขายทันทีอาจทำให้หลงทิศ
- อย่าใช้ RSI เพียงตัวเดียว: การใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น เช่น MACD, Moving Average หรือแนวรับแนวต้าน จะช่วยยืนยันสัญญาณและลดความเสี่ยง
- ค่า 14 ไม่ใช่กฎตายตัว: เทรดเดอร์สามารถปรับค่าเป็น 9 วัน (ไวขึ้น) หรือ 21 วัน (เสถียรขึ้น) ตามสไตล์การเทรดของตนเอง
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ค่ามาตรฐานที่ใช้คำนวณ RSI คืออะไร?
ค่าที่นิยมใช้มากที่สุดคือ 14 คาบเวลา (14 periods) ซึ่งสำหรับกราฟรายวันคือ 14 วัน และสำหรับรายชั่วโมงก็คือ 14 ชั่วโมง นักลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามกลยุทธ์การเก็งกำไรของตนเอง
RSI สามารถใช้กับทุกตลาดได้หรือไม่?
ได้แน่นอน RSI ถูกออกแบบมาให้ใช้ได้กับทุกสินทรัพย์ที่มีราคาเคลื่อนไหวตามเวลา ไม่ว่าจะเป็น หุ้น, ฟอเร็กซ์, สินค้าโภคภัณฑ์ หรือ คริปโทเคอร์เรนซี เพราะวัดตามหลักโมเมนตัม ซึ่งเป็นพฤติกรรมร่วมกันของทุกตลาด
ค่า RSI ที่ 50 หมายความว่าอย่างไร?
ค่า 50 แสดงถึงความสมดุลของแรงซื้อและแรงขายในช่วงเวลาหนึ่ง เป็นเส้นกลางที่ใช้แยกแยะแนวโน้ม: หาก RSI อยู่เหนือ 50 แสดงถึงภาวะโมเมนตัมขาขึ้น และต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงโมเมนตัมขาลง
คำนวณ Average Gain และ Average Loss ครั้งแรกอย่างไร?
สำหรับการคำนวณครั้งแรก ให้หาผลรวมของทุก “Gain” ตลอด 14 วันแรก แล้วหารด้วย 14 เพื่อได้ Average Gain เริ่มต้น และทำในทำนองเดียวกันกับ “Loss” เพื่อหาค่าเฉลี่ยแรงขาย
RSI ต่างจาก Stochastic Oscillator อย่างไร?
ทั้งสองเป็นเครื่องมือวัดโมเมนตัม แต่ RSI ดู “ความเร็วของการเปลี่ยนแปลงราคา” ขณะที่ Stochastic ว่าด้วย “ราคาปิดเทียบกับช่วงราคาทั้งหมดในช่วงเวลาที่กำหนด” ดังนั้น Stochastic มักไวต่อการเปลี่ยนแปลงมากกว่า แต่ก็ให้สัญญาณรบกวนได้เช่นกัน