หลายคนคงเคยรู้สึกหงุดหงิดกับการเคลื่อนไหวของตลาดที่ดูเหมือนจะคาดเดาไม่ได้ วันนี้ขึ้น พรุ่งนี้ลง ไม่มีสัญญาณใดที่บอกล่วงหน้าได้เลย แต่จริงๆ แล้วตลาดการเงินมีรูปแบบที่ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนกับจังหวะของหัวใจมนุษย์
Elliott Wave คือ เทคนิคที่จะช่วยให้เราเข้าใจ “บุคลิก” ของตลาดนี้ได้ดีขึ้น ไม่ใช่การทำนายอนาคต แต่เป็นการอ่าน จิตวิทยาตลาด ที่แฝงอยู่ในทุกการเคลื่อนไหว ทฤษฎีเอลเลียตเวฟ เชื่อว่าตลาดเคลื่อนไหวตามรูปแบบที่คาดการณ์ได้ เพราะคนเรามีอารมณ์แบบเดียวกัน
เมื่อราคาขึ้น เราโลภ อยากได้มากกว่านี้ เมื่อราคาลง เรากลัว อยากขายทิ้งให้เร็ว อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเป็นรอบ เป็นวงจร และสะท้อนออกมาในรูปของ รูปแบบคลื่น ที่เราเรียกว่า Elliott Wave
วันนี้เราจะมาเรียนรู้การ สอนนับคลื่น ตั้งแต่พื้นฐาน ไปจนถึงการใช้ Fibonacci ร่วมกับ MACD และ RSI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ทำไมต้องเรียนรู้ Elliott Wave เทคนิคที่เทรดเดอร์มืออาชีพเลือกใช้
การทำความเข้าใจ Elliott Wave ไม่ได้เป็นเพียงการเรียนรู้รูปแบบกราฟเท่านั้น แต่เป็นการเปิดประตูสู่การทำความเข้าใจ จิตวิทยาตลาด และพฤติกรรมของมวลชนที่ขับเคลื่อนราคา
ความสามารถในการระบุรูปแบบคลื่นซ้ำๆ ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์ทิศทางของราคาได้ด้วยความน่าจะเป็นที่สูงขึ้น การประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้ช่วยให้สามารถมองหาจุดเข้าออกที่เหมาะสม เพิ่มโอกาสในการทำกำไร และสร้างความมั่นใจในการลงทุนระยะยาว
แม้ Elliott Wave จะถูกพัฒนาขึ้นเพื่อการเทรดหุ้นในตอนแรก แต่หลักการของมันสามารถนำไปปรับใช้กับตลาดการเงินอื่นๆ ได้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็น Elliott Wave Forex, Elliott Wave หุ้น, Elliott Wave คริปโต หรือสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ เพราะพื้นฐานของทฤษฎีนี้อิงอยู่กับ จิตวิทยาตลาด ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายสินทรัพย์ประเภทใดก็ตาม
การเรียนรู้ Elliott Wave จึงเป็นหนึ่งใน เทคนิค Elliott Wave ที่สำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถ “อ่านใจตลาด” ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เบื้องหลังของคลื่น: ประวัติและจิตวิทยาของ Elliott Wave
ในช่วงปี 1930 ชายชื่อ Ralph Nelson Elliott ได้ใช้เวลาหลายปีศึกษาข้อมูลตลาดหุ้นย้อนหลังไป 75 ปี สิ่งที่เขาค้นพบไม่ใช่สูตรคำนวณหรือตัวชี้วัดทางเทคนิค แต่เป็นการค้นพบว่าตลาดการเงินเคลื่อนไหวตามรูปแบบที่สามารถคาดการณ์ได้
แกนหลักของ ทฤษฎีเอลเลียตเวฟ คือการเข้าใจว่าราคาในตลาดขับเคลื่อนด้วย จิตวิทยาตลาด มากกว่าข่าวสารหรือปัจจัยภายนอก ลองนึกดูว่าข่าวเดียวกันสามารถทำให้ตลาดขึ้นในบางวันและลงในอีกวันหนึ่งได้ยังไง นั่นเป็นเพราะจิตวิทยาของผู้คนในตลาดแตกต่างกัน
ความพิเศษของ Elliott Wave อยู่ที่คุณสมบัติ “Fractal” หมายความว่า รูปแบบคลื่น เหล่านี้ปรากฏซ้ำในทุกกรอบเวลา ไม่ว่าจะเป็นกราฟ 1 นาที หรือกราฟรายเดือน เหมือนกับเส้นชายฝั่งที่ดูคล้ายกันไม่ว่าจะมองจากมุมไหน
หลักการนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถใช้ Elliott Wave ได้ในทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็น Forex หุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะจิตวิทยาของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่ Elliott Wave Forecast
จังหวะพื้นฐาน: รูปแบบคลื่น 5-3
หัวใจของ Elliott Wave อยู่ที่การเข้าใจรูปแบบพื้นฐาน 5-3 ซึ่งประกอบด้วยคลื่นหลัก 2 ประเภท
Motive Waves (คลื่นส่ง) เป็นคลื่น 5 ลูกที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางของเทรนด์หลัก มีหมายเลข 1-2-3-4-5 โดยคลื่น 1, 3, และ 5 เป็น Impulse Waves ที่ผลักดันราคาไปข้างหน้า ส่วนคลื่น 2 และ 4 เป็น Corrective Waves ที่เป็นการพักการเคลื่อนไหว
Corrective Waves (คลื่นปรับฐาน) เป็นคลื่น 3 ลูกที่เคลื่อนไหวย้อนกลับเทรนด์หลัก มีตัวอักษร A-B-C ทำหน้าที่เป็นการพักหายใจของตลาดก่อนจะเริ่มต้นรอบใหม่
ตารางรูปแบบคลื่นพื้นฐาน
ประเภทคลื่น
|
จำนวนลูก
|
ทิศทาง
|
หน้าที่
|
---|
Motive Wave
|
5 ลูก (1-2-3-4-5)
|
ตามเทรนด์
|
ขับเคลื่อนราคา
|
---|
Corrective Wave
|
3 ลูก (A-B-C)
|
ย้อนเทรนด์
|
การปรับฐาน
|
---|
เมื่อรวมกันแล้วจะได้วงจร 8 ลูกที่สมบูรณ์ และวงจร 8 ลูกนี้สามารถเป็นเพียงคลื่นเดียวในระดับที่ใหญ่กว่า นี่คือหลักการ Fractal ที่ Elliott ค้นพบ
เจาะลึก: กายวิภาคของ Motive Waves (1-2-3-4-5)
กฎเหล็ก 3 ข้อที่ห้ามละเมิด
ในการ สอนนับคลื่น มีกฎสำคัญ 3 ข้อที่เรียกว่า กฎ Elliott Wave ที่ไม่มีข้อยกเว้น หากผิดแม้ข้อเดียว แสดงว่าการนับคลื่นผิด ต้องนับใหม่
กฎข้อที่ 1: คลื่น 2 ห้าม Retrace เกิน 100% ของคลื่น 1
หมายความว่าคลื่น 2 ห้ามลงต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1 เด็ดขาด
กฎข้อที่ 2: ในบรรดาคลื่น 1, 3, และ 5 คลื่น 3 ห้ามเป็นคลื่นที่สั้นที่สุด
คลื่น 3 มักจะเป็นคลื่นที่แรงและยาวที่สุด แต่อย่างน้อยก็ห้ามสั้นที่สุด
กฎข้อที่ 3: คลื่น 4 ห้าม Overlap กับพื้นที่ราคาของคลื่น 1
คลื่น 4 สามารถปรับฐานลึกได้ แต่ห้ามเข้าไปแตะพื้นที่ของคลื่น 1
บุคลิกของคลื่น Impulse แต่ละลูก
สิ่งที่ทำให้ Elliott Wave พิเศษคือการให้ “บุคลิก” กับแต่ละคลื่น ซึ่งสะท้อน จิตวิทยาตลาด ในแต่ละช่วง
คลื่น 1 – ความหวังที่เปราะบาง
เป็นจุดเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่ แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อ มองว่าเป็นแค่การ Bounce ชั่วคราว Volume มักจะต่ำ เพราะมีคนเข้าร่วมน้อย
คลื่น 2 – การทดสอบความเชื่อ
เป็น Bear Trap ที่ทำให้คนเหล่านั้นที่ขายช่วงคลื่น 1 รู้สึกถูกต้อง คลื่น 2 มักจะ Retrace กลับมาเยอะพอสมควร แต่ Volume จะน้อยกว่าคลื่น 1
คลื่น 3 – ความมั่นใจที่แท้จริง
นี่คือตัวเอกของเทรนด์ เป็นคลื่นที่แรงและยาวที่สุด คนทั่วไปเริ่มเข้าร่วม ข่าวเริ่มดี การ Pullback จะสั้นและตื้น
คลื่น 4 – ความสับสนและเหนื่อยล้า
เป็นการพักที่ซับซ้อนและน่าหงุดหงิด มักเคลื่อนไหวไปข้างๆ ใช้เวลานาน รูปแบบสามเหลี่ยมมักเกิดขึ้นในช่วงนี้
คลื่น 5 – ความโลภครั้งสุดท้าย
ความมั่นใจในตลาดอยู่ในระดับสูง แต่ Momentum ที่วัดด้วย RSI หรือ MACD มักจะอ่อนกว่าคลื่น 3 เกิด Divergence นี่คือช่วงที่คนมาทีหลังซื้อที่จุดสูงสุด
Motive Waves ขั้นสูง: คลื่นขยาย คลื่นไม่สมบูรณ์ และคลื่นแนวขวาง
คลื่นขยาย (Extensions)
ปกติจะมีคลื่น Impulse หนึ่งคลื่น (1, 3, หรือ 5) ที่ยาวผิดปกติ และมีโครงสร้าง 5 คลื่นย่อยชัดเจน คลื่น 3 มักจะเป็นคลื่นที่ขยายบ่อยที่สุด
คลื่นไม่สมบูรณ์ (Truncation)
เป็นกรณีหายากที่คลื่น 5 ไม่สามารถทำราคาสูงใหม่เกินคลื่น 3 ได้ แสดงถึงความอ่อนแอของเทรนด์อย่างรุนแรง
คลื่นแนวขวาง (Diagonals)
เป็นรูปแบบลิ่มที่ยังคงผลักดันตลาดไปข้างหน้า แต่แสดง Momentum ที่ลดลง
- Leading Diagonal – โครงสร้าง 5-3-5-3-5 ปรากฏในตำแหน่งคลื่น 1
- Ending Diagonal – โครงสร้าง 3-3-3-3-3 ปรากฏในตำแหน่งคลื่น 5
เจาะลึก: การรับมือกับ Corrective Waves (A-B-C)
การเข้าใจ คลื่นปรับฐาน เป็นสิ่งที่ยากที่สุดใน Elliott Wave เพราะมีหลายรูปแบบและซับซ้อนกว่า Motive Waves
การปรับฐานแบบง่าย: ซิกแซก (5-3-5)
ซิกแซก เป็นการปรับฐานแบบรุนแรงที่เคลื่อนไหวย้อนเทรนด์หลัก มีโครงสร้างภายใน 5-3-5 คลื่น B มักจะเป็น Retracement ที่ตื้นของคลื่น A
รูปแบบนี้มักเกิดขึ้นเมื่อการปรับฐานต้องการความรวดเร็วและชัดเจน ราคาจะเคลื่อนไหวในแนวทแยงลงอย่างรุนแรง
การปรับฐานแบบข้าง: แฟลต (3-3-5)
แฟลต เป็นการปรับฐานที่เคลื่อนไหวไปข้างๆ มีโครงสร้างภายใน 3-3-5 แบ่งออกเป็น 3 ประเภท:
Regular Flat
คลื่น B กลับไปใกล้จุดเริ่มต้นของคลื่น A และคลื่น C จบใกล้จุดสิ้นสุดของคลื่น A
Expanded Flat
คลื่น B เลยจุดเริ่มต้นของคลื่น A และคลื่น C ก็เลยจุดสิ้นสุดของคลื่น A เป็นรูปแบบ “Stop Hunt” ที่เจอบ่อย
Running Flat
คลื่น B เลยจุดเริ่มต้นของคลื่น A แต่คลื่น C ไม่ถึงจุดสิ้นสุดของคลื่น A แสดงว่าเทรนด์หลักแรงมาก
รูปแบบการพักตัว: สามเหลี่ยม (3-3-3-3-3)
สามเหลี่ยม เป็นการปรับฐานแบบ 5 คลื่น (A-B-C-D-E) ที่เคลื่อนไหวไปข้างๆ มีโครงสร้างภายใน 3-3-3-3-3 มักปรากฏในตำแหน่งคลื่น 4
รูปแบบนี้บ่งบอกว่าตลาดกำลังสะสมพลังงานก่อนการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ถัดไป มี 2 ประเภทหลัก คือ Contracting Triangle และ Expanding Triangle
การปรับฐานแบบซับซ้อน: Double และ Triple Threes (W-X-Y)
เมื่อการปรับฐานแบบธรรมดาไม่เพียงพอ ตลาดจะรวมหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน เช่น Zigzag ตามด้วยคลื่น X เชื่อมต่อ แล้วตามด้วย Flat
รูปแบบ W-X-Y ทำให้การปรับฐานใช้เวลานานขึ้น และซับซ้อนขึ้น ต้องใช้ความอดทนในการวิเคราะห์
เครื่องมือสำหรับเทรดเดอร์: การประยุกต์ใช้ด้วย Fibonacci และ Indicators
การวัดตลาดด้วย Fibonacci
Fibonacci เป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในการวิเคราะห์ Elliott Wave เพราะอัตราส่วนธรรมชาติเหล่านี้สะท้อนถึงจิตวิทยาของมนุษย์
Fibonacci Retracement
ใช้ในการคาดการณ์จุดสิ้นสุดของ คลื่นปรับฐาน (คลื่น 2 และ 4)
- คลื่น 2 มักจะ Retrace ประมาณ 50% หรือ 61.8% ของคลื่น 1
- คลื่น 4 มักจะ Retrace ประมาณ 38.2% หรือ 50% ของคลื่น 3
Fibonacci Extension
ใช้ในการคาดการณ์เป้าหมายของคลื่น Impulse (คลื่น 3 และ 5)
- ความยาวของคลื่น 3 มักจะเป็น 1.618 เท่าของคลื่น 1
- ความยาวของคลื่น 5 มักจะเป็น 1.000 หรือ 0.618 เท่าของคลื่น 1
ตารางอัตราส่วน Fibonacci ที่ใช้บ่อย
คลื่น
|
Fibonacci Level
|
การใช้งาน
|
---|
คลื่น 2
|
50%, 61.8%
|
Retracement
|
---|
คลื่น 3
|
161.8% ของคลื่น 1
|
Extension
|
---|
คลื่น 4
|
38.2%, 50%
|
Retracement
|
---|
คลื่น 5
|
100%, 61.8% ของคลื่น 1
|
Extension
|
---|
การยืนยันคือหัวใจหลัก: การใช้ MACD และ RSI
การนับคลื่นอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีการยืนยันจาก Technical Indicators
MACD สำหรับ Momentum และ Trend
- MACD Line Cross ช่วยยืนยันจุดเริ่มต้นของคลื่น 3
- MACD Histogram ที่ขยายตัวยืนยัน Momentum ที่แรงในคลื่น 3
RSI/MACD สำหรับการกลับตัว (Divergence)
การใช้ Divergence เป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูง เมื่อราคาทำ High ใหม่ (คลื่น 5 > คลื่น 3) แต่ RSI หรือ MACD ทำ Lower High นี่คือสัญญาณเตือนที่แรงว่าเทรนด์กำลังจะอ่อนแอ
RSI สำหรับแยกแยะคลื่น 4 กับคลื่น 2
ในเทรนด์ขาขึ้นที่แรง RSI ระหว่างคลื่น 4 มักจะอยู่เหนือระดับ 40 ส่วนคลื่น 2 อาจลงไปใกล้ระดับ 30 (Oversold)
การประยุกต์ใช้ Elliott Wave ในการเทรดจริง
Elliott Wave ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังเมื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการเทรดจริง การเข้าใจรูปแบบคลื่นช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุจุดเข้า-ออกที่มีศักยภาพ และบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างการเทรดทีละขั้นตอน
มาดูตัวอย่างการประยุกต์ใช้ Elliott Wave ในการเทรด Forex ด้วยคู่สกุลเงิน EUR/USD บนกรอบเวลา H4 กัน ว่ามีอะไรบ้าง
ขั้นตอนที่ 1: ระบุเทรนด์ใหญ่
- เริ่มจากกราฟ Daily เพื่อดูภาพรวม พบว่ากำลังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นระยะกลาง
ขั้นตอนที่ 2: มองหา Setup ที่มีศักยภาพ
- เปลี่ยนมาดูกราฟ H4 พบการเคลื่อนไหวแบบ 5 คลื่นที่สมบูรณ์ ตามด้วยการปรับฐาน A-B-C
ขั้นตอนที่ 3: ประยุกต์ใช้ Fibonacci
- ใช้ Fibonacci Retracement กับคลื่น Impulse แรก พบว่าการปรับฐาน A-B-C จบที่ระดับ 61.8%
ขั้นตอนที่ 4: หาการยืนยัน
- ตรวจสอบ RSI และ MACD พบ Bullish Divergence ที่ด้านล่างของคลื่น C
ขั้นตอนที่ 5: วางแผนการเทรด
- จากสัญญาณที่การปรับฐานกำลังจะจบ วางแผน Entry Long ที่จุดเริ่มต้นของคลื่น Impulse ใหม่
ขั้นตอนที่ 6: กำหนด Target และ Stop Loss
- Stop Loss ไว้ใต้ Low ของคลื่น C
- ใช้ Fibonacci Extension คาดการณ์เป้าหมายของคลื่น 3 ใหม่
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในตลาดคริปโต
Elliott Wave สามารถใช้ได้กับตลาดคริปโตเช่นกัน
สมมติว่าในกราฟ Bitcoin รายวัน พบ Impulse Wave 1-5 ที่ชัดเจนตามด้วย Corrective Wave A-B-C การที่ราคาปรับฐานในคลื่น 2 ลงมาที่ระดับ Fibonacci 50% ของคลื่น 1 และ MACD แสดงสัญญาณ Bullish Cross เป็นจุดเข้าซื้อที่น่าสนใจเพื่อจับคลื่น 3 ที่คาดว่าจะแข็งแกร่ง
การตั้ง Stop Loss ไว้ใต้จุดต่ำสุดของคลื่น 2 และใช้ Fibonacci Extension เพื่อกำหนดเป้าหมายคลื่น 3 ที่ 161.8% ของคลื่น 1 จะช่วยให้บริหารความเสี่ยงและผลตอบแทนได้
Elliott Wave ใช้ Log หรือ Linear Scale ในการนับคลื่น?
หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยและเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักเรียน Elliott Wave คือการเลือกใช้สเกล Logarithmic (Log) หรือ Linear ในการนับคลื่น การเลือกสเกลที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความแม่นยำในการนับคลื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวิเคราะห์กราฟในกรอบเวลาที่ยาวนานหรือสินทรัพย์ที่มีการเคลื่อนไหวของราคาเป็นเปอร์เซ็นต์สูง
- Linear Scale: แสดงการเคลื่อนไหวของราคาในหน่วยเท่ากันตามแกน Y เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ในกรอบเวลาสั้นๆ หรือสินทรัพย์ที่มีการเคลื่อนไหวของราคาไม่รุนแรงนัก
- Logarithmic Scale: แสดงการเคลื่อนไหวของราคาตามเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการวิเคราะห์กราฟในกรอบเวลาที่ยาวนาน (เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน) หรือสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง เช่น หุ้นที่มีการเติบโตสูง หรือ Cryptocurrency
- เนื่องจาก Elliott Wave อิงตามจิตวิทยาตลาดและการเคลื่อนไหวเป็นเปอร์เซ็นต์ การใช้ Logarithmic Scale มักจะให้ภาพที่แม่นยำและสอดคล้องกับหลักการของคลื่นมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคลื่นมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
- การใช้ Log Scale จะช่วยให้คลื่น 3 และ 5 ไม่ดูยาวผิดปกติเมื่อเทียบกับคลื่น 1 ทำให้การวิเคราะห์รูปแบบคลื่นเป็นไปตามสัดส่วนที่ถูกต้องมากขึ้น
ข้อแนะนำ: สำหรับการวิเคราะห์ Elliott Wave ในระยะยาวหรือในตลาดที่มีความผันผวนสูง ควรใช้ Logarithmic Scale เพื่อให้การนับคลื่นสะท้อนความเป็นจริงและสัดส่วนของคลื่นตามหลักการ Fibonacci ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับการเทรดระยะสั้นหรือ Day Trade การใช้ Linear Scale อาจยังคงเหมาะสม ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลและลักษณะของสินทรัพย์
ก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพ: 7 ข้อผิดพลาดที่ต้องหลีกเลี่ยง
การเรียนรู้จาก ข้อผิดพลาด ของคนอื่นจะช่วยให้เราเก่งขึ้นเร็วกว่าการลองผิดลองถูกเอง เรามาดูข้อผิดพลาดที่พบเห็นได้บ่อยครั้งกัน เพื่อที่เราจะได้ศึกษาและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเหล่านี้
ข้อผิดพลาดที่ 1: บังคับให้ตลาดเข้าแบบ
พยายามให้ตลาดเข้ากับรูปแบบคลื่นที่เราคิดไว้ล่วงหน้า แทนที่จะปล่อยให้รูปแบบเกิดขึ้นเอง
ข้อผิดพลาดที่ 2: ละเลยกฎเหล็ก 3 ข้อ
เป็นความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุด เมื่อกฎ Elliott Wave ถูกละเมิด การนับคลื่นนั้นก็ย่อมผิดไปด้วย
ข้อผิดพลาดที่ 3: เริ่มต้นจากกรอบเวลาผิด
วิเคราะห์จากกราฟ 5 นาทีโดยตรง โดยไม่เข้าใจบริบทจากกราฟ 4 ชั่วโมงหรือรายวัน
ข้อผิดพลาดที่ 4: ตีความคลื่นปรับฐานผิด
เข้าใจผิดระหว่างรูปแบบ คลื่นปรับฐาน ที่ซับซ้อนกับคลื่น Impulse ใหม่
ข้อผิดพลาดที่ 5: ไม่ใช้ Fibonacci ยืนยัน
นับคลื่นอย่างเดียวโดยไม่ตรวจสอบว่าสอดคล้องกับอัตราส่วน Fibonacci หรือไม่
ข้อผิดพลาดที่ 6: มองข้าม Divergence
พึ่งพาการนับคลื่นอย่างเดียว โดยพลาด Divergence ที่สำคัญจาก Indicators
ข้อผิดพลาดที่ 7: ขาดความอดทน
ตัดสินใจเร็วเกินไปก่อนที่รูปแบบคลื่นจะสมบูรณ์และได้รับการยืนยัน
ข้อผิดพลาดสำคัญเพิ่มเติมที่ควรระวัง:
นอกเหนือจากข้อผิดพลาดพื้นฐานแล้ว เทรดเดอร์ที่เริ่มใช้ Elliott Wave ขั้นสูง มักเผชิญกับความท้าทายในการระบุรูปแบบที่ซับซ้อน:
- การระบุคลื่นขยาย (Extension) ผิดพลาด: บางครั้งคลื่นขยายอาจทำให้การนับคลื่นดูเหมือนมี 9 คลื่นแทนที่จะเป็น 5 คลื่นย่อยในคลื่น Impulse การเข้าใจโครงสร้างภายในของคลื่นขยายจะช่วยให้ไม่นับผิดพลาด
- การสับสนระหว่าง Leading Diagonal กับ Impulse Wave: ทั้งสองมีโครงสร้าง 5 คลื่น แต่ Leading Diagonal มีการทับซ้อนกันของคลื่น 2 และ 4 การสังเกตการทับซ้อนนี้เป็นสิ่งสำคัญ
- การตีความ Flat Correction ผิดประเภท: Flat Correction มีหลายรูปแบบ (Regular, Expanded, Running Flat) ซึ่งแต่ละแบบมีนัยยะที่แตกต่างกัน การเข้าใจความแตกต่างจะช่วยให้คาดการณ์การเคลื่อนไหวของคลื่น C ได้แม่นยำขึ้น
- การละเลย Guideline of Alternation: การไม่สังเกตว่าคลื่น 2 และ 4 มักจะสลับรูปแบบการปรับฐาน (เช่น ถ้าคลื่น 2 เป็น Sharp Correction คลื่น 4 มักจะเป็น Sideways Correction) อาจทำให้การคาดการณ์ผิดพลาด
บทสรุป: แผนที่สู่จิตวิทยาตลาดของคุณ
Elliott Wave ไม่ใช่แค่เทคนิคการวิเคราะห์ธรรมดา แต่เป็นแผนที่ที่นำทางเราผ่าน จิตวิทยาตลาด ที่ซับซ้อน การเข้าใจรูปแบบ 5-3 เป็นจังหวะพื้นฐานที่ต้องฝึกฝนจนชำนาญ
สิ่งที่สำคัญคือ ต้องจำไว้ว่าการวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพต้องผ่านกระบวนการ “รูปแบบ → Fibonacci → Indicators” อย่างครบถ้วน ไม่ใช่การดูแค่คลื่นอย่างเดียว
การเรียนรู้ทฤษฎีเอลเลียตเวฟ ต้องใช้เวลาและความอดทน อย่าหวังผลลัพธ์ทันที แต่ให้มองเป็นทักษะที่จะพัฒนาไปเรื่อยๆ เมื่อเข้าใจ รูปแบบคลื่น และ จิตวิทยาตลาด อย่างแท้จริงแล้ว จะพบว่าตลาดไม่ได้คาดเดาไม่ได้อย่างที่คิด
การ สอนนับคลื่น ที่ถูกต้องจะเปิดมุมมองใหม่ให้กับการเทรด ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมราคาถึงเคลื่อนไหวแบบนั้น และสามารถคาดการณ์ทิศทางต่อไปได้อย่างมีเหตุผล
หากพร้อมที่จะเริ่มต้นเดินทางสู่การเป็นนักวิเคราะห์ Elliott Wave มืออาชีพ ให้เริ่มจากการเปิดบัญชีทดลองและฝึกระบุ รูปแบบคลื่น บนกราฟจริง การเดินทางสู่การเข้าใจ จิตวิทยาตลาด เริ่มต้นขึ้นแล้ววันนี้
พร้อมที่จะอ่านใจตลาดผ่าน Elliott Wave แล้วใช่ไหม? เริ่มต้นฝึกฝนการระบุรูปแบบคลื่นบนกราฟจริงวันนี้ และค้นพบความลับของ จิตวิทยาตลาด ที่ซ่อนอยู่ในทุกการเคลื่อนไหวของราคาได้เลย
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Elliott Wave คืออะไร?
Elliott Wave คือทฤษฎีการวิเคราะห์ตลาดการเงินที่อธิบายการเคลื่อนไหวของราคาผ่านรูปแบบคลื่นที่เกิดขึ้นซ้ำ โดยอิงจากจิตวิทยาของมวลชนและพฤติกรรมการซื้อขายที่เป็นวงจร ประกอบด้วยคลื่นหลัก 5 ลูก (Motive) และคลื่นปรับฐาน 3 ลูก (Corrective)
ทฤษฎีเอลเลียตเวฟใช้ได้กับตลาดไหนบ้าง?
ทฤษฎีเอลเลียตเวฟ สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็น Forex, หุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์, Cryptocurrency หรือแม้กระทั่งดัชนีต่างๆ เพราะหลักการของทฤษฎีอิงจาก จิตวิทยาตลาด ของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะซื้อขายอะไร
การสอนนับคลื่นเริ่มต้นจากไหนดี?
การ สอนนับคลื่น ควรเริ่มจากการทำความเข้าใจ กฎ Elliott Wave 3 ข้อพื้นฐานให้แม่น จากนั้นฝึกระบุ รูปแบบคลื่น 5-3 บนกราฟที่ชัดเจน เริ่มจากกรอบเวลาใหญ่ (Daily หรือ H4) ก่อนลงไปยังกรอบเวลาเล็ก และต้องใช้ Fibonacci ยืนยันเสมอ
MACD และ RSI ช่วยยืนยัน Elliott Wave ได้อย่างไร?
MACD ช่วยยืนยัน Momentum ของแต่ละคลื่น โดยเฉพาะการ Cross ของ MACD Line ที่บ่งบอกจุดเริ่มต้นของคลื่น 3 ส่วน RSI ช่วยระบุ Divergence ที่ปลายคลื่น 5 เมื่อราคาทำ High ใหม่แต่ RSI ทำ Lower High นี่คือสัญญาณเตือนที่แรงของการกลับตัว
Fibonacci มีความสำคัญกับ Elliott Wave มากแค่ไหน?
Fibonacci เป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ เพราะช่วยวัดความลึกของการ Retracement และความยาวของการ Extension ทำให้การนับคลื่นมีความแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ระดับ 38.2%, 50%, 61.8% และ 161.8% ในการคาดการณ์จุดสิ้นสุดของแต่ละคลื่น
จิตวิทยาตลาดมีผลต่อ Elliott Wave อย่างไร?
จิตวิทยาตลาด คือหัวใจหลักของทฤษฎีนี้ แต่ละคลื่นสะท้อนอารมณ์ของนักลงทุน เช่น คลื่น 1 เป็นความหวังระยะแรก คลื่น 3 เป็นความมั่นใจ คลื่น 5 เป็นความโลภสุดท้าย การเข้าใจจิตวิทยาจะช่วยให้เราคาดการณ์พฤติกรรมของตลาดได้ดีขึ้น
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Elliott Wave คืออะไร?
ข้อผิดพลาด ที่พบบ่อยสุดคือการบังคับให้ตลาดเข้ากับแบบที่เราคิด การละเลย กฎ Elliott Wave 3 ข้อ การเริ่มวิเคราะห์จากกรอบเวลาเล็กเกินไป และการไม่ใช้ Fibonacci กับ Indicators ยืนยัน การหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้จะทำให้การวิเคราะห์แม่นยำขึ้นมาก