Dow Theory คืออะไร? ทำความรู้จักทฤษฎีที่เป็นรากฐานของ Technical Analysis
Dow Theory หรือที่รู้จักในชื่อ ทฤษฎีดาว เป็นหนึ่งในแนวคิดวิเคราะห์ตลาดการเงินที่วางรากฐานให้กับการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) อย่างแท้จริง นับแต่ต้นศตวรรษที่ 20 ทฤษฎีนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางโดยนักลงทุนและเทรดเดอร์ทั่วโลก โดยมีต้นกำเนิดมาจากแนวคิดของ ชาลส์ เอช. ดาว (Charles H. Dow) ผู้ร่วมก่อตั้ง The Wall Street Journal และเป็นบุคคลหลักในการพัฒนาดัชนีหุ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก อย่าง ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average)

รากฐานการวิเคราะห์ทางเทคนิคจากบิดาผู้สร้าง
แก่นหลักของ Dow Theory ไม่ได้อยู่ที่การดูหุ้นรายตัว แต่อยู่ที่การอ่านภาพรวมของตลาด โดยเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวมสามารถสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจและจิตวิทยาของนักลงทุนได้อย่างลึกซึ้ง แม้ชาลส์ ดาว จะไม่ได้รวบรวมแนวคิดของเขามาเขียนเป็นหนังสือโดยตรง แต่หลักการสำคัญต่างๆ ถูกดัดแปลงและเรียบเรียงจากบทบรรณาธิการหลายชิ้นที่เขาได้ลงพิมพ์ใน Wall Street Journal ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเสาหลักของการวิเคราะห์ทางเทคนิคในยุคปัจจุบัน ใครก็ตามที่ต้องการทำความเข้าใจพฤติกรรมของตลาดอย่างแท้จริง การเริ่มต้นจากทฤษฎีนี้ถือเป็นก้าวที่มั่นคงและสำคัญ

หลักการสำคัญ 6 ข้อของทฤษฎีดาว (The 6 Tenets of Dow Theory)
Dow Theory ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์หลัก 6 ประการ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนมองภาพตลาดได้อย่างชัดเจนและเป็นระบบ ไม่ใช่แค่การเดาหรือคาดเดา แต่เป็นการตีความพฤติกรรมของราคาอย่างมีเหตุมีผล ด้วยหลักการทั้ง 6 ข้อนี้ นักวิเคราะห์สามารถกำหนดทิศทางของแนวโน้ม ประเมินความน่าเชื่อถือ และตัดสินใจเข้าหรือออกจากการเทรดได้อย่างมีวินัย
1. ตลาดสะท้อนทุกปัจจัยไว้แล้ว (The market discounts everything)
หนึ่งในแนวคิดที่ปฏิวัติวงการการเงินคือ ราคาตลาดรวม (เช่น ดัชนีหรือหุ้นแต่ละตัว) มีการสะท้อนข้อมูลทุกด้านที่เกี่ยวข้องไว้ก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นข่าวเศรษฐกิจ ผลประกอบการบริษัท ความคาดหวังของนักลงทุน จนถึงอารมณ์ร่วมอย่างความกลัวหรือความโลภ ทั้งหมดล้วนถูกถ่ายทอดออกมาผ่านการซื้อและขายที่เกิดขึ้น ดังนั้น ราคาที่เราเห็นในช่วงเวลานั้น จึงไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นผลสรุปของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาด
จากมุมมองนี้ การวิเคราะห์กราฟราคา จึงไม่ใช่การมอง “ราคาเฉยๆ” แต่เป็นการอ่านผลลัพธ์สุดท้ายของปัจจัยทั้งหมดที่มีผลต่อสินทรัพย์นั้น ซึ่งทำให้การศึกษากราฟเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใจพฤติกรรมตลาดโดยไม่ต้องพึ่งข้อมูลแยกส่วนทั้งหมด
2. ตลาดมี 3 แนวโน้มหลัก (The market has three trends)
Dow Theory แบ่งการเคลื่อนไหวของตลาดออกเป็น 3 ระดับตามระยะเวลาและน้ำหนักของแต่ละคลื่น ซึ่งเปรียบได้กับการดูคลื่นในทะเล โดยมีขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก
- แนวโน้มหลัก (Primary Trend): คือ “กระแสสังเคราะห์” ของตลาดที่มีอายุยืนยาวตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป อาจยืดไปถึงหลายปี เป็นทิศทางหลักที่กำหนดภาพรวมของตลาด โดยถ้าเป็นขาขึ้น (Bull Market) จะเห็นลักษณะ “จุดสูงใหม่และจุดต่ำใหม่สูงขึ้นเรื่อยๆ” แต่ถ้าเป็นขาลง (Bear Market) ราคาจะทิ้งจุดสูงและต่ำที่ต่ำลงเรื่อยๆ
- แนวโน้มรอง (Secondary Trend): หรือเรียกอีกอย่างว่า “การปรับฐาน (Correction)” ในขาขึ้น หรือ “ดีดตัวกลับ (Rally)” ในขาลง เป็นการเคลื่อนไหวที่สวนทางกับแนวโน้มหลัก โดยมักกินเวลา 3 สัปดาห์ถึงหลายเดือน นี่คือช่วงที่นักลงทุนต้องใจเย็น และใช้วินัยสูงในการรับมือ เพราะหากเข้าใจผิดก็อาจคิดว่าแนวโน้มหลักราวกับกลับทิศ
- แนวโน้มย่อย (Minor Trend): เป็นการเคลื่อนที่ของราคาในระยะสั้น เช่น ภายใน 1–3 สัปดาห์ ซึ่งมีความผันผวนสูงและมักถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ “ไม่น่าสนใจ” หรือ Noise ที่อาจจะรบกวนมุมมองภาพใหญ่ โดยทฤษฎีดาวให้ความสำคัญต่ำในการวิเคราะห์ในระดับนี้ เพราะมันมักถูกขับเคลื่อนด้วยเหตุการณ์ชั่วคราวหรืออารมณ์การค้าในระยะสั้น

3. แนวโน้มหลักมี 3 ระยะ (Major trends have three phases)
ตลาดไม่เคลื่อนที่จากศูนย์ถึงจุดสูงสุดในทันที แต่เกิดขึ้นเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งแต่ละช่วงสะท้อนพฤติกรรมของกลุ่มนักลงทุนที่แตกต่างกัน
- ระยะที่ 1: ระยะสะสม (Accumulation Phase): เกิดขึ้นหลังจากราคาสินทรัพย์ตกต่ำมาอย่างต่อเนื่อง แต่มือโปรที่มีความรู้ลึกซึ้งเริ่มประเมินว่า “มันถูกเกินไปแล้ว” และเริ่มซื้อสะสมตำแหน่งอย่างเงียบๆ โดยที่นักลงทุนทั่วไปยังไม่สนใจหรือยังคงกลัวอยู่ ในทางกลับกัน ในตลาดขาลง ระยะนี้คือ “ระยะแจกจ่าย (Distribution)” ที่นักลงทุนรายใหญ่เริ่มทยอยขายหุ้นออก ก่อนที่ข่าวร้ายจะตีแผ่ทั่ว
- ระยะที่ 2: ระยะที่สาธารณชนเข้าร่วม (Public Participation Phase): เมื่อรูปแบบเริ่มชัดเจน ข่าวเริ่มเป็นบวก นักวิเคราะห์เริ่มออกบทวิเคราะห์ในเชิงบวก นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากจึงเข้าร่วม ทำให้ราคาเร่งตัวสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด นี่คือช่วงที่ตลาด “เห็นได้ชัด” และมีแรงซื้อเข้มแข็งที่สุด
- ระยะที่ 3: ระยะตื่นตระหนก หรือ แจกจ่าย (Panic or Distribution Phase): สำหรับในขาขึ้น ข่าวนับพันล้านกลายเป็นบวก ทั้งสื่อและเพื่อนบ้านเริ่มพูดถึงการเล่นหุ้น เกิดเฟื่องฟูแห่งยุค นี่คือจุดที่นักลงทุนรายใหม่ที่เพิ่งรู้จักหุ้นเริ่มเข้ามาซื้อด้วยความโลภ ส่วนกลุ่มแรกที่สะสมมาตั้งแต่ต้นก็เริ่มขายทำกำไรหรือแจกจ่ายหุ้นให้กับนักเก็งกำไรรายย่อยเหล่านี้ กลับกันในขาลง นี่คือช่วงที่นักลงทุนทั่วไปยอมแพ้และขายหุ้นออกมาด้วยความตระหนก เช่นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
4. ดัชนีต้องยืนยันซึ่งกันและกัน (Indices must confirm each other)
ชาลส์ ดาว ยึดมั่นในความสอดคล้องของข้อมูล หากเศรษฐกิจกำลังเติบโต ทั้งภาคการผลิตและภาคการขนส่งควรขยายตัวไปพร้อมกัน เขาใช้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) และดัชนีขนส่งดาวโจนส์ (DJTA) มาเปรียบเทียบกัน โดยถือว่า “หาก DJIA ทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ DJTA ทำไม่ได้ แสดงว่าแนวโน้มขาขึ้นอาจไม่แข็งพอ”
หลักนี้ยังคงประยุกต์ใช้ได้ในตลาดปัจจุบัน เช่น นักวิเคราะห์ในไทยอาจดูความสัมพันธ์ระหว่าง SET Index และ SET50 Index หรือกลุ่มอุตสาหกรรมหลักอย่างพลังงานกับการเงิน หากทุกกลุ่มเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน จะช่วยยืนยันความมั่นใจในทิศทางของตลาดได้สูง แต่หากมีขัดแย้งกัน ก็ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
5. ปริมาณการซื้อขายต้องยืนยันแนวโน้ม (Volume must confirm the trend)
ปริมาณการซื้อขาย (Volume) คือ “พลังงาน” ที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคา หากแนวโน้มมีแรงหนุนจาก Volume ที่เพิ่มขึ้น จะสะท้อนถึงความมั่นใจของผู้เล่นรายใหญ่
- ในตลาดขาขึ้น: ราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น ต้องมาพร้อมกับ Volume ที่เพิ่มขึ้น ส่วนการปรับฐานย่อตัวลง (Pullback) ควรมี Volume ต่ำ แสดงว่าแรงขายไม่เข้มข้น
- ในตลาดขาลง: การตกของราคาในช่วงดิ่ง ควรมาพร้อมกับ Volume ที่สูง ส่วนช่วงดีดตัวขึ้นกลับมา ควรมาพร้อมกับ Volume ที่เบา แสดงว่าแรงซื้อไม่มั่นคง
หาก Volume ขัดแย้งกับราคา เช่น ราคาพุ่งแต่ Volume ต่ำ หรือราคาขึ้นด้วยแรงน้อย นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มอาจอ่อนกำลังหรือใกล้สิ้นอายุ ข้อมูลจาก Forbes Advisor ชี้ชัดว่า Volume เป็นตัวยืนยันที่มีบทบาทเสริมอย่างสำคัญในกลุ่มนักวิเคราะห์ทางเทคนิค
6. แนวโน้มจะดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน (A trend is assumed to be in effect until it gives definite signals that it has reversed)
นี่คือหลักคิดพื้นฐานของนักเทรดตามแนวโน้มทุกคน คือ “แนวโน้มคือเพื่อน” ตราบใดที่แนวโน้มยังไม่ถูกหักล้าง นักลงทุนควรมั่นคงในทิศทางเดิม ไม่ควรรีบคาดการณ์ว่า “จะถึงจุดยอดแล้ว” หรือ “น่าจะถึงก้นแล้ว” โดยเร็ว
สัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน เช่น ราคาในแนวโน้มขาขึ้นไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ และเริ่มทิ้ง “จุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม” หรือในขาลง ซึ่งหยุดทำจุดต่ำสุดใหม่ และเริ่มยกจุดสูงสุดขึ้นกว่าเดิม ตามที่ Dow Theory อธิบาย การรอจุดกลับตัวที่ชัดเจน ช่วยให้หลีกเลี่ยงการตัดสินใจเร็วเกินไปจากอารมณ์หรือความผันผวนระยะสั้น

วิธีการนำ Dow Theory ไปประยุกต์ใช้ในการเทรดจริง
แม้ทฤษฎีดาวจะเน้นภาพรวม แต่ก็สามารถประยุกต์สู่การเทรดที่เป็นรูปธรรมได้ด้วยการนำแนวคิดมาผสานกับการสังเกตกราฟอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
- การระบุแนวโน้ม (Trend Identification): เริ่มต้นด้วยการดูกราฟดัชนีโดยรวม เช่น SET Index โดยพิจารณาจากลักษณะของ High และ Low หาก High และ Low อยู่สูงขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าอยู่ในขาขึ้น แต่หากต่ำลงเรื่อยๆ คือขาลง ส่วนช่วงที่ไม่ชัดเจน เรียกว่าตลาดไซด์เวย์ที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
- การหาจุดเข้าซื้อ-ขายในแต่ละระยะ:
- ในแนวโน้มขาขึ้น: จุดเข้าที่ดีที่สุดคือช่วงปลายของการปรับฐาน หรือเมื่อเห็นสัญญาณของ Higher Low พร้อม Volume ที่เพิ่มในขาขึ้น ขณะเดียวกัน ควรเริ่มระวังเมื่อเริ่มเห็นพฤติกรรม “แจกจ่าย” เช่น ราคาขึ้นแรงแต่ Volume อ่อน หรือความร้อนแรงของข่าวเกินจริง
- ในแนวโน้มขาลง: สำหรับผู้ที่ลงทุนฝั่ง Short จุดเข้าที่ดีคือช่วงที่ราคาดีดตัวขึ้นแต่ยังไม่สามารถทำจุดสูงใหม่ และ Volume ของขาดีดตัวกลับนั้นเบา หมายถึงแรงซื้อไม่มั่นคง
- การใช้ Volume ประกอบการตัดสินใจ: ทุกครั้งที่ราคาเบรคผ่านแนวต้านหรือแนวรับสำคัญ ควรตรวจสอบว่า Volume หนุนหรือไม่ หากเบรคด้วย Volume สูง จะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับการเคลื่อนไหวนั้น
ตัวอย่างเช่น ในปี 2566 ถ้าสังเกตเห็นว่าดัชนี SET เริ่มสร้างจุดสูงใหม่และจุดต่ำใหม่ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มในช่วงขึ้น นั่นคือสัญญาณที่ว่าตลาดกำลังเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นตาม Dow Theory ซึ่งเป็นสัญญาณให้นักลงทุนตั้งท่าหาโอกาสเข้าซื้อในจังหวะที่เหมาะสม

ข้อจำกัดของ Dow Theory และความท้าทายในตลาดปัจจุบัน
ไม่ว่าทฤษฎีนี้จะทรงคุณค่าแค่ไหน ก็มีข้อจำกัดที่ต้องเข้าใจในการนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เป็นตัวชี้วัดที่ให้สัญญาณช้า (Lagging Indicator): เนื่องจากเน้นการยืนยันแนวโน้ม จึงมักจะให้สัญญาณช้าไปเล็กน้อย อาจทำให้พลาดช่วงขาขึ้นหรือขาลงแรกๆ ของแนวโน้ม แต่ในทางกลับกัน มันก็ช่วยให้หลีกเลี่ยงสัญญาณปลอม (False Signal) ได้บ้าง
- ไม่สามารถระบุเป้าหมายราคาหรือเวลาได้: ทฤษฎีนี้ช่วยบอกทิศทางได้ดี แต่ไม่ได้บอกว่า “จะไปถึงเท่าไร” หรือ “จะอยู่นานแค่ไหน” ดังนั้นต้องอาศัยเครื่องมืออื่นเสริมในการระบุจุดถัดไป
- อาจไม่แม่นยำในช่วงตลาดไซด์เวย์: เมื่อตลาดไม่มีทิศทางแน่นอน หลักการของทฤษฎีดาวอาจให้สัญญาณขัดแย้งหรือผิดพลาดบ่อย โดยเฉพาะเมื่อดัชนีไม่สามารถยืนยันกันได้ หรือ Volume ไม่ชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ นักวิเคราะห์รุ่นใหม่จึงไม่ใช้ Dow Theory แบบเดี่ยวๆ แต่ใช้เป็นกรอบภาพรวมก่อน จากนั้นประยุกต์กับเครื่องมืออื่น เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average), RSI หรือ MACD เพื่อเติมเต็มข้อบกพร่อง ตามแนวทางที่ Technical Analysis (Refresher Reading) ของ CFA Institute เสนอคือ การรักษารากฐานของทฤษฎีคลาสสิก แต่ต่อยอดด้วยเครื่องมือยุคใหม่
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Dow Theory (FAQ)
Dow Theory มีหลักการสำคัญกี่ข้อ?
ทฤษฎีดาวมีหลักการสำคัญทั้งหมด 6 ข้อ ได้แก่ 1) ตลาดสะท้อนทุกปัจจัยไว้แล้ว 2) ตลาดมี 3 แนวโน้มหลัก 3) แนวโน้มหลักมี 3 ระยะ 4) ดัชนีต้องยืนยันซึ่งกันและกัน 5) ปริมาณการซื้อขายต้องยืนยันแนวโน้ม และ 6) แนวโน้มจะดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน
ใครคือผู้คิดค้น Dow Theory?
ชาลส์ เอช. ดาว (Charles H. Dow) นักข่าวและผู้ร่วมก่อตั้ง The Wall Street Journal ผู้สร้างดัชนีดาวโจนส์ ถือเป็นผู้ริเริ่มแนวคิดและเป็นบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค
Dow Theory กับ Elliott Wave ต่างกันอย่างไร?
Dow Theory ใช้ระบุทิศทางแนวโน้มในภาพกว้างจากพฤติกรรมราคา ส่วน Elliott Wave เจาะรายละเอียดรูปแบบคลื่น (5 ขึ้น 3 ลง) เพื่อคาดการณ์โครงสร้างและเป้าหมายราคา
ทฤษฎีดาวยังใช้ได้ผลในปัจจุบันหรือไม่?
ยังคงใช้ได้และมีประโยชน์ในการแยกแนวโน้มหลักกับแนวโน้มชั่วคราว แต่เพราะเป็นตัวชี้วัดแบบ Lagging จึงควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น เช่น MA, RSI, MACD
ลุงโฉลกใช้ Dow Theory หรือไม่?
ใช่ โฉลก สัมพันธารักษ์มักอ้างอิงแนวคิดของ Dow Theory โดยเฉพาะการวิเคราะห์ Market Trend เพื่อวางกลยุทธ์ระยะยาว เช่น หลีกเลี่ยงการซื้อในตลาดขาลง