การอ่าน กราฟแท่งเทียน เป็นทักษะสำคัญสำหรับนักเทรดที่ต้องการจับโอกาสและจัดการความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ หนึ่งในรูปแบบที่นักลงทุนให้ความสนใจมากคือ Double Top Pattern ซึ่งบ่งบอกถึงสัญญาณกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นไปสู่ขาลง
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก Double Top Pattern อย่างละเอียด ตั้งแต่การสังเกตลักษณะของกราฟ องค์ประกอบสำคัญ วิธีหาจุดเข้าเทรด การตั้ง Stop Loss และเทคนิคคำนวณเป้าหมายกำไรแบบเป็นขั้นตอน เพื่อให้คุณวางแผนการเทรดได้อย่างมั่นใจและเพิ่มโอกาสทำกำไรในตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ

Double Top Pattern คืออะไร? สัญญาณกลับตัวที่นักเทรดต้องรู้

Double Top Pattern เป็นหนึ่งใน Price Pattern ที่พบได้บ่อยในตลาดการเงิน และถือเป็น สัญญาณกลับตัว ที่บ่งชี้ว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังอ่อนแรง และมีโอกาสที่ราคาจะเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลงแทน
บนกราฟ รูปแบบนี้จะมีลักษณะคล้ายตัวอักษร “M” เกิดจากราคาที่ขึ้นไปทดสอบ แนวต้านสำคัญสองครั้ง (สร้างยอดสองยอด) แต่ไม่สามารถทะลุไปได้ ก่อนจะปรับตัวลงจนหลุดจาก แนวรับสำคัญ สัญญาณนี้สะท้อนถึงความอ่อนแรงของผู้ซื้อ และการเข้ามาของแรงขายอย่างมีนัยสำคัญ
จิตวิทยาเบื้องหลัง Double Top Pattern
รูปแบบนี้เกิดขึ้นจากพฤติกรรมของนักลงทุน ลองนึกภาพว่าในช่วงแรก ราคาปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง นักลงทุนต่างคาดหวังว่าราคาจะไปต่อ แต่เมื่อขึ้นไปถึงจุดสูงสุด แรงซื้อเริ่มลดลง ขณะที่แรงขายเข้ามาเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาถูกกดลงมา
เมื่อราคาฟื้นตัวขึ้นไปทดสอบ แนวต้านเดิม อีกครั้ง นักลงทุนบางส่วนเชื่อว่าราคาจะยังไปต่อ จึงเข้าซื้อ แต่เมื่อราคาลงมาอีกครั้ง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเริ่มลดลง หลายคนเลือกเทขายเพื่อตัดขาดทุน ส่งผลให้ราคาทะลุ แนวรับ ลงไปอย่างรวดเร็ว
> อ้างอิง: https://www.investopedia.com/terms/d/double-top-and-bottom.asp
3 องค์ประกอบสำคัญของ Double Top Pattern

การมองเห็นเพียงรูปตัว “M” บนกราฟยังไม่เพียงพอ เพราะการยืนยัน Double Top Pattern ต้องพิจารณาองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ดังนี้
1. ยอดแรก (First Peak)
ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุด ก่อนถูกแรงขายกดให้ปรับตัวลงมา ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ในบริเวณนี้มักยังคงสูง แสดงถึงการเข้าซื้อที่ยังมีอยู่มาก
2. ยอดที่สอง (Second Peak)
ราคาดีดกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านเดิม แต่ไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่ายอดแรกได้ (อาจเท่ากันหรือต่ำกว่าเล็กน้อย) ที่สำคัญคือ ปริมาณการซื้อขายมักลดลงอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับยอดแรก สะท้อนถึงแรงซื้อที่อ่อนกำลังลง
3. เส้น Neckline (แนวรับ)
คือเส้นแนวรับที่ลากเชื่อมจุดต่ำสุดระหว่างยอดทั้งสอง หากราคาหลุดทะลุเส้น Neckline ลงไป ถือเป็นการยืนยัน สัญญาณกลับตัวขาลง อย่างสมบูรณ์
วิธีอ่านและยืนยันสัญญาณ Double Top Pattern
สิ่งสำคัญที่นักเทรดมือใหม่มักผิดพลาดคือการรีบเข้าออเดอร์ Short ทันทีที่เห็นยอดที่สองเกิดขึ้น แต่ความจริงแล้ว Double Top Pattern จะถูกยืนยันก็ต่อเมื่อราคาปิดตัวอยู่ใต้เส้น Neckline เท่านั้น
- การยืนยันสัญญาณ: รอจนกว่าราคาจะร่วงลงมาจนหลุดเส้น Neckline และปิดตัวอยู่ใต้เส้นนี้อย่างชัดเจน
- บทบาทของ Volume: ปริมาณการซื้อขาย ที่สูงในขณะที่ราคาหลุดเส้น Neckline ยิ่งเป็นตัวช่วยยืนยันสัญญาณกลับตัวได้อย่างแม่นยำ เพราะบ่งบอกถึงแรงขายที่มหาศาล
หากคุณเข้าออเดอร์ก่อนที่ราคาจะหลุด Neckline คุณอาจจะเจอสัญญาณหลอก (False Signal) และราคาอาจจะเด้งกลับขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งได้
กลยุทธ์การเทรดด้วย Double Top Pattern
เมื่อคุณสามารถยืนยันสัญญาณ Double Top ได้แล้ว ต่อไปคือการนำไปใช้ใน กลยุทธ์การเทรด อย่างเป็นระบบ
1. จุดเข้าออเดอร์ Short (Entry Point)
นักเทรดส่วนใหญ่มักจะเข้าออเดอร์ “Short” (ขาย) ทันทีเมื่อราคาปิดตัวอยู่ใต้เส้น Neckline อย่างชัดเจน หรืออาจจะรอให้ราคา Pullback (เด้งกลับขึ้นไปทดสอบเส้น Neckline อีกครั้งจากด้านล่าง) ก่อนที่จะเข้าออเดอร์
2. การตั้งค่า Stop Loss (Stop Loss)
เพื่อจำกัดความเสี่ยง การตั้งค่า Stop Loss ที่เหมาะสมคือการวางไว้เหนือยอดที่สอง (Second Peak) เล็กน้อย หากราคาของสินทรัพย์กลับขึ้นมาสูงกว่าจุดนี้ แปลว่ารูปแบบ Double Top ไม่เป็นไปตามคาด และควรออกจากออเดอร์เพื่อป้องกันการขาดทุนที่รุนแรง
3. การคำนวณเป้าหมายกำไร (Take Profit Target)
เป้าหมายกำไรของ Double Top Pattern สามารถคำนวณได้โดยการวัดระยะห่างระหว่างยอดที่สูงที่สุดลงมาถึงเส้น Neckline จากนั้นให้ลากระยะทางเดียวกันนี้จากจุดที่ราคาหลุดเส้น Neckline ลงมา ซึ่งจะเป็นเป้าหมายกำไรคร่าวๆ ของคุณ
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีหลีกเลี่ยงสัญญาณหลอก
แม้จะดูเรียบง่าย แต่ Double Top Pattern ก็มีโอกาสที่จะเกิดสัญญาณหลอกได้บ่อยครั้ง การทำความเข้าใจรูปแบบที่ตรงข้ามกันอย่าง Double Bottom Pattern จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือข้อผิดพลาดสำคัญและวิธีแก้ไข
1. ไม่รอให้ราคาหลุด Neckline
นี่คือความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุด หลายคนรีบเข้าออเดอร์ทันทีที่เห็นรูปตัว “M” โดยไม่รอการยืนยัน นักเทรดที่ชาญฉลาดควรรอให้ราคาหลุดลงต่ำกว่า Neckline พร้อม Volume สนับสนุน ก่อนค่อยเปิดสถานะ
2. ยอดทั้งสองไม่สมดุลกัน
แม้ว่ายอดที่สองอาจสูงหรือต่ำกว่ายอดแรกเล็กน้อยได้ แต่ถ้าต่ำกว่ามากเกินไป แพทเทิร์นอาจไม่ใช่ Double Top ที่แท้จริง และมีความเสี่ยงที่จะตีความผิดเป็นเพียงการพักตัวของราคา (Pullback)
3. มองข้าม RSI Divergence
เครื่องมือเสริม เช่น RSI (Relative Strength Index) ช่วยเพิ่มความแม่นยำได้มาก หากราคาทำยอดสูงใหม่ แต่ RSI กลับทำยอดต่ำลง (Bearish Divergence) นั่นคือสัญญาณว่าแรงซื้ออ่อนกำลังลง ซึ่งช่วยกรองสัญญาณหลอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเภทของตลาดและการใช้งานร่วมกับเครื่องมืออื่น
Double Top Pattern มักปรากฏในตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและมีการซื้อขายอย่างต่อเนื่อง เช่น ตลาดหุ้น, ตลาด Forex และตลาดสกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะในช่วงที่สินทรัพย์ปรับตัวขึ้นมานานจนเริ่มอ่อนแรง แพทเทิร์นนี้จึงถูกมองว่าเป็นสัญญาณเตือนว่ากระแสขาขึ้นอาจใกล้สิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มความแม่นยำ เทรดเดอร์ไม่ควรใช้ Double Top เพียงอย่างเดียว แต่ควรหาการยืนยันจาก อินดิเคเตอร์อื่น ๆ นอกเหนือจาก Volume เช่น
- Moving Average (MA): หากราคาหลุดเส้นค่าเฉลี่ยสำคัญ เช่น MA50 หรือ MA200 จะยิ่งเพิ่มน้ำหนักของสัญญาณกลับตัว
- Bollinger Bands: เมื่อราคาทดสอบแถบบน (Upper Band) แล้วไม่สามารถผ่านไปได้ และกลับลงมาต่ำกว่าเส้นกลาง (Middle Band) มักบ่งบอกถึงแรงขายที่ชัดเจน
การผสมผสาน Double Top เข้ากับอินดิเคเตอร์เหล่านี้ ช่วยลดโอกาสการเจอสัญญาณหลอก และทำให้การวางกลยุทธ์การเทรดมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างจริงของ Double Top Pattern ในตลาด

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่า Double Top Pattern ไม่ใช่แค่ทฤษฎี เรามาดูกรณีศึกษาจากหุ้น Apple (AAPL) ในช่วงเดือนธันวาคม 2021 ถึงมกราคม 2022 ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่นักวิเคราะห์หลายคนมักยกมาอ้างอิง
ในตอนแรก ราคาหุ้น AAPL เคลื่อนไหวอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง นักลงทุนจำนวนมากยังมีความเชื่อมั่นต่อหุ้น ทำให้ราคาปรับขึ้นต่อเนื่องจนไปแตะระดับสูงสุดราว ๆ 182 ดอลลาร์ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ยอดแรก (First Peak) หลังจากนั้นแรงขายก็เริ่มเข้ามากดดัน ส่งผลให้ราคาย่อตัวลงมาชั่วคราว แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังถือว่าปลอดภัย
ต่อมา ราคาพยายามดีดกลับขึ้นไปอีกครั้งและทดสอบจุดสูงสุดเดิม ซึ่งกลายเป็น ยอดที่สอง (Second Peak) แม้จะสามารถขึ้นไปใกล้เคียงระดับ 182 ดอลลาร์ได้ แต่ก็ไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้านนี้ได้สำเร็จ ตรงนี้เองที่ทำให้หลายคนเริ่มจับตาว่า อาจกำลังเกิด Double Top Pattern
เมื่อเราลากเส้น Neckline ที่บริเวณจุดต่ำสุดระหว่างยอดทั้งสอง จะได้แนวรับอยู่แถว ๆ 170 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสำคัญที่นักเทรดจำนวนมากรอคอย และไม่นานหลังจากนั้น ราคาก็ร่วงทะลุหลุดเส้น Neckline ลงมาอย่างเด็ดขาด สิ่งที่ยืนยันการกลับตัวครั้งนี้คือปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าปกติ บ่งชี้ว่าแรงขายเข้ามามีอิทธิพลเหนือแรงซื้ออย่างชัดเจน
เหตุการณ์นี้ทำให้นักลงทุนที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถตีความได้ทันทีว่าแนวโน้มขาขึ้นก่อนหน้าสิ้นสุดลงแล้ว และตลาดกำลังเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลง ตัวอย่างนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่า Double Top Pattern ไม่เพียงแต่บอกเล่าในตำราเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยนักเทรดในตลาดจริง ๆ ให้มองเห็นจังหวะการเข้า–ออกที่มีหลักการมากขึ้น
เปรียบเทียบ Double Top และ Double Bottom

Double Top Pattern มีความสัมพันธ์และมีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับ Double Bottom Pattern ซึ่งเป็นรูปแบบกลับตัวในทางตรงกันข้าม
ลักษณะ | Double Top Pattern | Double Bottom Pattern |
---|
รูปร่าง | ตัวอักษร “M” | ตัวอักษร “W” |
---|
สัญญาณ | สัญญาณกลับตัว เป็นขาลง (Bearish Reversal) | สัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal) |
---|
แนวรับ/แนวต้าน | มีเส้น Neckline เป็นแนวรับสำคัญ | มีเส้น Neckline เป็นแนวต้านสำคัญ |
---|
การเทรด | เข้าออเดอร์ Short (ขาย) เมื่อหลุดแนวรับ | เข้าออเดอร์ Long (ซื้อ) เมื่อทะลุแนวต้าน |
---|
ข้อดีและข้อเสียของ Double Top Pattern
ทุกเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคย่อมมีทั้งจุดแข็งและข้อจำกัด การเข้าใจข้อดีและข้อเสียของ Double Top จะช่วยให้คุณเลือกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากการตีความผิดพลาด
ข้อดี
- เป็นรูปแบบการกลับตัวที่ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเกิดหลังจากแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแรง
- ช่วยให้เทรดเดอร์วางแผนการเข้าออเดอร์ (Entry) และการออกออเดอร์ (Exit) ได้อย่างมีระบบ
- ใช้ร่วมกับเครื่องมือยืนยัน เช่น Volume หรืออินดิเคเตอร์ (MACD, RSI) จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณ
ข้อเสีย
- มักเกิดสัญญาณหลอก (False Breakout) ได้บ่อย หากรีบเข้าขายโดยไม่รอการยืนยันที่เส้น Neckline
- ต้องใช้เวลาในการก่อตัว ซึ่งอาจไม่เหมาะกับนักเทรดที่เน้นจังหวะเร็ว
- หากใช้เพียงแพทเทิร์นนี้โดยไม่พิจารณาปัจจัยเสริมอื่น ๆ เช่น แนวโน้มตลาดใหญ่ (Market Trend) หรือข่าวพื้นฐาน อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้
บทสรุป: Double Top Pattern เครื่องมือสำคัญที่ต้องใช้ให้เป็น
สรุปแล้ว Double Top Pattern คือ สัญญาณการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลงที่นักเทรดควรรู้จัก เพราะช่วยให้เรามองเห็นจังหวะการเปลี่ยนทิศทางของราคาได้ชัดเจนขึ้น แต่การใช้งานจริงก็ไม่ควรรีบร้อน ต้องรอให้ราคาหลุด Neckline อย่างชัดเจน และสังเกตปริมาณการซื้อขายควบคู่ไปด้วย
เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ควรใช้ Double Top ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เช่น RSI หรือแนวรับแนวต้าน และที่สำคัญที่สุดคืออย่าลืมตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง เพราะในโลกของการเทรด การรักษาเงินทุนให้อยู่รอดนั้นสำคัญไม่แพ้การทำกำไรเลยครับ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Double Top Pattern ใช้ได้จริงไหม?
Double Top Pattern เป็นหนึ่งในรูปแบบกราฟที่มีความน่าเชื่อถือสูง แต่ก็ไม่ใช่ 100% การใช้งานได้จริงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการยืนยันสัญญาณด้วยปริมาณการซื้อขาย, การตั้งค่า Stop Loss และการนำไปใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ
ความแตกต่างระหว่าง Double Top กับ Triple Top คืออะไร?
Double Top มีสองยอด ในขณะที่ Triple Top จะมีสามยอด ซึ่ง Triple Top นั้นเป็นสัญญาณกลับตัวที่รุนแรงกว่าและหายากกว่า โดยแสดงให้เห็นว่าราคาพยายามทะลุแนวต้านถึงสามครั้งแต่ไม่สำเร็จ
Double Top Pattern ใช้ได้กับ Timeframe ไหนบ้าง?
คุณสามารถพบ Double Top Pattern ได้ในทุก Timeframe ตั้งแต่รายนาทีไปจนถึงรายวันหรือรายสัปดาห์ แต่โดยทั่วไปแล้ว รูปแบบที่เกิดขึ้นใน Timeframe ที่ใหญ่กว่า เช่น รายวันหรือรายสัปดาห์ จะมีความน่าเชื่อถือและมีโอกาสที่จะเกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงกว่า