สำหรับผู้เริ่มต้นในตลาดหุ้นหรือฟอเร็กซ์ การเข้าใจเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ การรู้จักสัญญาณต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนกราฟ ไม่เพียงแต่ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของราคา แต่ยังเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อขายได้อย่างแม่นยำด้วย หนึ่งในสัญญาณที่มีน้ำหนักและถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายคือ Divergence หรือที่บางครั้งผู้ลงทุนอาจเรียกว่า “การแยกระดับ” อย่างไรก็ตาม คำนี้มักถูกเข้าใจผิดหรือใช้คลาดเคลื่อนไปจากความหมายที่แท้จริง ในบทความนี้ เราจะพาคุณเจาะลึกตั้งแต่พื้นฐาน ไปจนถึงการประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง เพื่อให้คุณสามารถใช้ Divergence เป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจในตลาดได้อย่างมั่นใจ

สัญญาณเตือนล่วงหน้าก่อนตลาดกลับตัว
Divergence แปลว่าอะไร? ความหมายที่นักเทรดควรรู้
หากดูจากพจนานุกรม คำว่า Divergence หมายถึง “การแยกออก” หรือ “ความผิดแผกแตกต่าง” ซึ่งเป็นความหมายทั่วไปที่ใช้ในหลายสาขา แต่เมื่อนำมาใช้ในบริบทของการซื้อขาย คำนี้มีนัยสำคัญเฉพาะเจาะจงที่แตกต่างออกไป
Divergence ในตลาดการเงิน หมายถึง สถานการณ์ที่การเคลื่อนไหวของราคาและอินดิเคเตอร์ (Indicator) แสดงทิศทางที่ขัดแย้งกัน ปกติแล้ว ราคากับตัวชี้วัดโมเมนตัม เช่น RSI หรือ MACD มักจะขยับไปในทางเดียวกัน แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้ “แยกทางกัน” มันจึงกลายเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าแรงหนุนของแนวโน้มเดิมนั้นอาจกำลังอ่อนตัวลง และตลาดอาจกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง
ด้วยเหตุนี้ Divergence จึงถูกมองว่าเป็น “สัญญาณชี้นำ” (Leading Indicator) ที่มีค่ามาก เพราะช่วยให้นักเทรดสังเกตความผิดปกติในโมเมนตัมก่อนที่ราคาจะกลับตัวจริง ทำให้มีเวลาเตรียมพร้อมหรือปรับกลยุทธ์ล่วงหน้า

รู้จักประเภทของ Divergence: สัญญาณกลับตัวกับการต่อเนื่องของแนวโน้ม
Divergence ไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่แบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลักที่นักเทรดควรเข้าใจอย่างชัดเจน คือ Regular Divergence ซึ่งเน้นการกลับตัวของแนวโน้ม และ Hidden Divergence ที่เกี่ยวข้องกับการเดินหน้าต่อของทิศทางเดิม
Regular Divergence: สัญญาณการกลับตัวของแนวโน้ม
ประเภทนี้เป็นที่รู้จักกันดีที่สุด และมักถูกใช้เพื่อคาดการณ์การพลิกตัวของราคา มี 2 ลักษณะหลัก คือ Bullish Divergence และ Bearish Divergence
Bullish Divergence (สัญญาณซื้อ)
สัญญาณนี้มักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดกำลังเคลื่อนลงมาอย่างต่อเนื่อง และเริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัว ลักษณะเฉพาะ คือ
- ราคา: สร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดครั้งก่อน (Lower Low)
- อินดิเคเตอร์: แต่กลับสร้างจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Low)
แม้ว่าราคาจะลงไปต่ำกว่าเดิม แต่การแสดงผลของอินดิเคเตอร์บ่งชี้ว่าแรงขายเริ่มอ่อนลง โมเมนตัมขาลงกำลังหายไป ซึ่งอาจเป็นอาการของแนวโน้มขาลงที่ใกล้ถึงจุดสิ้นสุด และนักเทรดเริ่มเห็นโอกาสเข้าซื้อในระดับราคาที่ถูก
Bearish Divergence (สัญญาณขาย)
ในทางตรงกันข้าม สัญญาณนี้บ่งบอกถึงการเริ่มหมดแรงของแนวโน้มขึ้น ลักษณะคือ
- ราคา: สร้างจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าเดิม (Higher High)
- อินดิเคเตอร์: แต่กลับทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High)
แม้ราคาจะพุ่งขึ้นต่อเนื่อง แต่อินดิเคเตอร์กลับไม่ตามทัน บ่งชี้ว่าแรงซื้อบางลง การที่ราคาขึ้นได้โดยไม่มีแรงสนับสนุนที่แข็งแรง ทำให้ความเสี่ยงในการย้อนกลับลงมามีสูงขึ้น นักเทรดจึงเริ่มมองหาจังหวะในการทำ ขายหรือ Short
| ลักษณะ | Bullish Divergence (สัญญาณซื้อ) | Bearish Divergence (สัญญาณขาย) |
|---|
| การเคลื่อนที่ของราคา | ทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) | ทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) |
| การเคลื่อนที่ของอินดิเคเตอร์ | ทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Low) | ทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High) |
| ความหมาย | สัญญาณเตือนว่าแรงขายกำลังอ่อนแอ มีโอกาสกลับตัวเป็นขาขึ้น | สัญญาณเตือนว่าแรงซื้อกำลังอ่อนแอ มีโอกาสกลับตัวเป็นขาลง |

เครื่องมือวัด Divergence ยอดนิยม: RSI และ MACD
การสังเกต Divergence ต้องอาศัยอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่มีไว้เพื่อวัดความเร็วและแรงโมเมนตัมของราคา ส่วนที่นิยมมากที่สุด 2 ตัว ได้แก่ RSI และ MACD
ใช้ RSI ตรวจหา Divergence
RSI (Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือวัดระดับความแรงของราคาว่าอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยปกติจะแสดงเป็นเส้นกราฟที่วิ่งอยู่ระหว่าง 0-100
การหา Divergence RSI คือการเปรียบเทียบจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของราคากับจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของเส้น RSI ตรงกันข้ามกัน ตัวอย่างเช่น
- ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 1.2000 แล้วขึ้นไปที่ 1.2050 แต่เส้น RSI กลับทำจุดสูงสุดที่ 70 แล้วลดลงมาที่ 65 ในครั้งถัดไป → นี่คือ Bearish Divergence ที่บอกว่าแรงขึ้นไม่แข็งแรงพอ
จุดสำคัญคือ การดู “รูปแบบ” ของเส้น RSI ว่าตกลงไปอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ควรใช้เส้นกรอบแนวโน้ม (trend line) วาดเชื่อมจุดเพื่อให้เห็นความขัดแย้งอย่างชัดเจน
ใช้ MACD ในการมอง Divergence
MACD มีโครงสร้างที่ประกอบด้วยเส้น MACD line, Signal line และแท่งฮิสโตแกรม (Histogram) ซึ่งเป็นตัวช่วยชั้นดีในการมอง Divergence โดยเฉพาะฮิสโตแกรมที่แสดงโมเมนตัมในรูปแบบของแท่ง
ตัวอย่างการสังเกต
- หากราคาทำจุดต่ำสุดที่ 1.1800 แล้วลดลงมาที่ 1.1750 (Lower Low) แต่แท่งฮิสโตแกรมกลับมีขนาดเล็กลงหรือต่ำลงน้อยกว่าก่อนหน้า (Higher Low) → นี่คือ Bullish Divergence
MACD เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ชอบดูภาพรวมของโมเมนตัม เพราะสามารถมองทั้งเส้นและแท่งร่วมกัน ช่วยยืนยันสัญญาณได้ดีกว่าการอิงเส้นเดียว
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การใช้ MACD จะช่วยเสริมความเข้าใจเรื่องโครงสร้างและกลยุทธ์การใช้งาน
วิธีสังเกตให้แม่นยำ
ให้เริ่มจาก
- มองหาจุดต่ำสุดหรือจุดสูงสุด 2 จุดบนกราฟราคา
- วาดเส้นเชื่อมระหว่างจุดเหล่านั้น
- ทำเช่นเดียวกันกับเส้นอินดิเคเตอร์
- เปรียบเทียบทิศทางของเส้นทั้งสอง ถ้าวิ่งสวนทางกัน → Divergence เกิดขึ้น
การใช้เทคนิคนี้ช่วยลดความผิดพลาดจากความรู้สึกและเพิ่มความแม่นยำได้มาก

Hidden Divergence: สัญญาณที่นักเทรดมือใหม่มักมองข้าม
นอกเหนือจาก Regular Divergence แล้ว ยังมีอีกประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ Hidden Divergence หรือ Divergence แฝง ซึ่งให้สัญญาณตรงข้ามกับ Regular คือ ไม่ใช่การกลับตัว แต่เป็นการยืนยันแนวโน้มเดิมที่จะ “เดินต่อ”
Hidden Bullish Divergence (สัญญาณซื้อตามแนวโน้มขาขึ้น)
เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดกำลังย่อตัวลง แต่แนวโน้มหลักยังเป็นขาขึ้น
- ราคา: สร้างจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Low)
- อินดิเคเตอร์: สร้างจุดต่ำสุดที่ต่ำลง (Lower Low)
สถานการณ์เช่นนี้แสดงว่า แม้โมเมนตัมจะดูอ่อนลง แต่ราคาไม่ได้ลงไปต่ำเท่าเดิม ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแรงซื้อยังอยู่ พร้อมขยับขึ้นต่อ นักเทรดที่เน้นตามแนวโน้ม (Trend Follower) มักใช้จุดนี้เข้าซื้อเพื่อ “ขึ้นรถ” หลังการพักตัว
Hidden Bearish Divergence (สัญญาณขายตามแนวโน้มขาลง)
ในทางตรงกันข้าม
- ราคา: ทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High)
- อินดิเคเตอร์: สร้างจุดสูงสุดที่สูงขึ้น (Higher High)
ถึงแม้โมเมนตัมจะพุ่งขึ้น แต่ราคาไม่สามารถพากันไปได้ไกล แสดงว่าแรงซื้อไม่สามารถต้านทานแรงขายได้ ตลาดยังคงอยู่ภายใต้แนวโน้มขาลง จุดนี้อาจเหมาะกับการเปิดสถานะขายหรือเพิ่มออเดอร์เดิม
Hidden Divergence จึงเป็นเครื่องมือที่มีค่ามากสำหรับผู้ที่ใช้กลยุทธ์ตามทิศทาง เพราะช่วยให้เข้าใจว่า “การย่อตัว” หรือ “การดีดตัว” นั้นเป็นเพียงชั่วคราว ไม่ใช่การกลับตัว

ข้อผิดพลาดที่นักเทรดควรระวังเมื่อใช้ Divergence
แม้ Divergence จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่เวทมนตร์สุดท้าย หลายครั้งที่เทรดเดอร์เห็นสัญญาณแล้วรีบลงมือ จนส่งผลให้ขาดทุนโดยไม่จำเป็น นี่คือ 3 ข้อผิดพลาดร้ายแรงที่ควรระวัง
1. รีบเข้าเทรดทันทีที่เห็น Divergence
Divergence เป็นเพียง “คำเตือน” ไม่ใช่ “คำสั่ง” กล่าวคือ มันบ่งบอกว่าแนวโน้มอาจเริ่มอ่อนแรง แต่ไม่ได้หมายความว่าราคาจะกลับตัวในทันที บางครั้ง Divergence อาจเกิดขึ้นหลายครั้งก่อนที่ราคาจะเปลี่ยนทิศอย่างแท้จริง
ทางออก: ควรรอให้มีสัญญาณยืนยันอื่นประกอบ เช่น การเบรคแนวรับ-แนวต้าน การเกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวอย่าง Engulfing หรือ Hammer หรือการเปลี่ยนทิศของเส้นแนวโน้ม
2. ใช้ Divergence ในตลาดไร้แนวโน้ม (Sideways Market)
Divergence ทำงานได้ดีที่สุดในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน ไม่ว่าจะขาขึ้นหรือขาลง แต่ในตลาดที่ราคาวิ่งขึ้นลงในกรอบแคบ (Sideways) สัญญาณที่ได้อาจเป็น “สัญญาณหลอก” หรือ False Signal เนื่องจากโมเมนตัมไม่สะสมต่อเนื่อง
ทางออก: ใช้เครื่องมืออื่นร่วม เช่น Moving Average หรือ ADX เพื่อช่วยระบุว่าตลาดอยู่ในเทรนด์จริงหรือไม่ก่อนใช้ Divergence
3. มองข้าม Timeframe ใหญ่กว่า
สัญญาณ Divergence ที่เกิดบน Timeframe เล็ก เช่น 5 นาที หรือ 15 นาที อาจเป็นเพียงการเคลื่อนไหวระยะสั้น และไม่สะท้อนภาพรวมของแนวโน้มหลัก การซื้อขายตามสัญญาณเล็ก ๆ โดยไม่มองภาพใหญ่อาจทำให้คุณเทรดสวนทางกับเทรนด์ใหญ่
ทางออก: เสมอตรวจสอบความสอดคล้องของ Divergence บน Timeframe ใหญ่ เช่น 4 ชั่วโมงหรือรายวัน เพื่อยืนยันว่าคุณไม่ได้กำลังต่อสู้กับตลาดหลัก
สรุป: เทคนิคใช้ Divergence อย่างมืออาชีพ
Divergence ไม่ใช่แค่เครื่องมือวิเคราะห์ แต่เป็น “สัญญาณล่วงหน้า” ที่ช่วยให้คุณอ่านตลาดได้ลึกยิ่งขึ้น ด้วยการเชื่อมโยงพฤติกรรมของราคาและโมเมนตัม มันสามารถเตือนคุณก่อนที่แนวโน้มจะกลับตัว หรือยืนยันว่าแนวโน้มหลักยังคงแข็งแรง
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่าใช้ Divergence โดด ๆ หากต้องการเพิ่มความแม่นยำ ควรนำมายืนยันร่วมกับเครื่องมืออื่น เช่น
- การเบรคเส้นแนวโน้ม (Trend Line Break)
- รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว เช่น Pin Bar, Doji, หรือ Harami
- แนวรับ-แนวต้านที่ชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณจุดสำคัญที่เคยมีการเด้งตัวหรือร่วงลงในอดีต
- การใช้ร่วมกับ ความรู้ด้านเทคนิคอื่นๆ เพื่อสร้างระบบเทรดที่มีความสมบูรณ์
Divergence จึงไม่ใช่เครื่องชี้ขาด แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ดี หากใช้งานร่วมกันอย่างมีวินัย จะช่วยให้คุณเข้าใจจังหวะของตลาด จับจังหวะการพลิกตัว หรือการเดินหน้าของแนวโน้มได้อย่างแม่นยำ มากกว่าการแค่ดูราคาผิวเผิน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Divergence (FAQ)
Divergence ของหุ้นคืออะไร?
Divergence ของหุ้นเกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ขัดแย้งกับอินดิเคเตอร์ เช่น ราคาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแต่ RSI กลับเริ่มลดลง ซึ่งสะท้อนว่าแรงซื้อหมดแรงลง และอาจบ่งบอกการกลับตัวในอนาคต
Bullish Divergence ดูยังไง?
ให้มองหาบริเวณที่ราคาสร้างจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่าเดิม แต่อินดิเคเตอร์ เช่น RSI หรือ MACD กลับสร้างจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น สัญญาณนี้บ่งบอกถึงศักยภาพในการกลับตัวขึ้น และเป็นจุดสนใจสำหรับการซื้อ
Bearish Divergence คืออะไร?
Bearish Divergence คือเงื่อนไขที่ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่อินดิเคเตอร์กลับทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง แสดงว่าแรงซื้อไม่สามารถดันราคาให้ขึ้นต่อด้วยพลังเท่าเดิม ความเสี่ยงการกลับตัวลดลงจึงมีสูง
Divergence RSI คืออะไร?
เป็นการเปรียบเทียบการเคลื่อนที่ของราคากับเส้น RSI เพื่อหาความขัดแย้ง เช่น ราคาขึ้น แต่ RSI ลง หรือราคาลง แต่ RSI พักตัวไม่ต่ำเท่าเดิม ถือว่าเป็นวิธีหนึ่งในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Convergence and Divergence แตกต่างกันอย่างไร?
Divergence คือ ราคาและอินดิเคเตอร์เคลื่อนที่สวนทางกัน แสดงสัญญาณการเปลี่ยนทิศทางของแนวโน้ม ในขณะที่ Convergence คือ ทั้งสองอย่างเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน แสดงถึงความสอดคล้องและยืนยันว่าแนวโน้มยังคงแข็งแกร่งอยู่