สำหรับผู้ที่ซื้อขายในตลาดหุ้น, ฟอเร็กซ์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี การทำความเข้าใจแนวรับและแนวต้านถือเป็นพื้นฐานเริ่มต้นที่ขาดไม่ได้ แต่หากคุณต้องการก้าวข้ามระดับมือใหม่และเริ่มมองตลาดด้วยสายตาของผู้เล่นรายใหญ่ คุณต้องรู้จักกับแนวคิดที่ลึกซึ้งและทรงพลังกว่านั้น — นั่นคือ Demand Zone หรือเขตอุปสงค์ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของกลยุทธ์ Supply and Demand Trading
บทความนี้จะนำเสนอคู่มือเจาะลึกที่ครอบคลุมทุกมิติของ Demand Zone ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน วิธีระบุโซนอย่างแม่นยำ ไปจนถึงเทคนิคประเมินความแข็งแรงของโซน พร้อมตัวอย่างจริงจากตลาดหุ้นไทย โดยเน้นการใช้งานจริง คุณไม่เพียงได้เรียนรู้ทฤษฎี แต่จะได้เครื่องมือพร้อมใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจเทรด

Demand Zone คืออะไร? และทำไมต้องให้ความสำคัญ?
ลองนึกภาพว่า สถาบันการเงินขนาดใหญ่หรือ “วาฬ” ในตลาดต้องการซื้อสินทรัพย์จำนวนมาก แต่หากซื้อทั้งหมดในคราวเดียว ราคาจะพุ่งขึ้นทันที เขาจึงแอบวางคำสั่งซื้อจำนวนมาก (Pending Buy Orders) ไว้ในช่วงราคาหนึ่ง ซึ่งพื้นที่นี้เองที่กลายเป็น Demand Zone — พื้นที่ที่เต็มไปด้วยคำสั่งซื้อรออยู่เบื้องหลัง
เมื่อราคาย้อนตัวลงมาบริเวณโซนนี้อีกครั้ง คำสั่งซื้อเหล่านั้นจะถูกกระตุ้นทันที ทำให้เกิดแรงซื้ออย่างต่อเนื่องและมีพลัง ส่งผลให้ราคาสะท้อนตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่คือเหตุผลที่ Demand Zone ถือเป็น ตัวชี้วัดนำ (Leading Indicator) — ไม่ใช่แค่บอกว่า “เคยกลับตัวที่นี่” แต่บอกว่า “มีเหตุผลแท้จริงที่ราคาน่าจะกลับตัวที่นี่”
Demand Zone ต่างจากแนวรับอย่างไร? ความแตกต่างที่นักเทรดต้องรู้
แม้ในสายตาบางคนจะมองว่า Demand Zone กับแนวรับคือเรื่องเดียวกัน แต่สำหรับเทรดเดอร์ระดับมืออาชีพ ทั้งสองมีพื้นฐานเชิงตรรกะที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คุณสมบัติ | Demand Zone (เขตอุปสงค์) | Support Level (แนวรับ) |
---|
นิยาม | เป็น “พื้นที่” หรือ “โซน” ที่เกิดจากความไม่สมดุลของคำสั่งซื้อและขายจริง | เป็น “เส้นแนวนอน” ที่อ้างอิงจากพฤติกรรมราคาในอดีต |
ตรรกะ | มีคำสั่งซื้อจากสถาบันรออยู่จำนวนมาก (Smart Money) | อิงจากอารมณ์หรือความทรงจำของนักลงทุนรายย่อย |
ลักษณะ | เป็นบริเวณสี่เหลี่ยมที่มีขอบบนและล่าง | ลากเส้นผ่านจุดต่ำสุดที่เคยเกิดขึ้น |
ความแม่นยำ | มักมีอำนาจยืนยันการกลับตัวสูง เพราะสัมพันธ์กับปริมาณคำสั่ง | อาจถูกทะลุอย่างง่ายดาย หากไม่ได้รับการหนุนจากปัจจัยอื่น |
ความแตกต่างนี้มีผลต่อวิธีการเทรดอย่างยิ่ง เพราะคุณจะได้เทรดจากการวิเคราะห์ สาเหตุ ของราคา ไม่ใช่แค่ ผล ที่เคยเกิดขึ้น

วิธีระบุและวาด Demand Zone บนกราฟอย่างมีประสิทธิภาพ
การหา Demand Zone ไม่ใช่การทายใจหรือการลากเส้นตามอำเภอใจ แต่ต้องตามหา “ร่องรอย” ที่ผู้เล่นรายใหญ่ทิ้งไว้บนกราฟ ซึ่งรูปแบบที่ชัดเจนที่สุดคือ Drop-Base-Rally (DBR)
- Drop (การร่วงลง): ช่วงที่ราคามีการปรับตัวลงอย่างหนักจากแรงขาย
- Base (ฐาน): ช่วงพักตัวในกรอบแคบๆ ที่สถาบันเริ่มสะสมสินทรัพย์อย่างเงียบเชียบ
- Rally (การพุ่งขึ้น): ราคาวิ่งขึ้นอย่างรุนแรงจากแรงซื้อที่ครอบงำ
วิธีวาด Demand Zone แบบ Step-by-Step
ขั้นตอนการระบุและวาดโซนมีเพียงไม่กี่ขั้นตอน แต่ต้องถี่ถ้วน:
- ค้นหารอยพุ่งขึ้น (Rally): มองหาแท่งเทียนสีเขียวขนาดใหญ่หลายแท่งที่มีแรงส่งชัดเจน หมายถึงแรงซื้อเข้ามาอย่างมั่นคง
- ย้อนกลับหาจุดเริ่มต้นของ Rally: ติดตามย้อนกลับไปยังบริเวณที่ราคายังเคลื่อนไหวช้าในกรอบแคบๆ ก่อนการพุ่งขึ้น คือบริเวณ Base
- วาดโซนสี่เหลี่ยม: ลากกรอบคลุมบริเวณ Base ทั้งหมด โดยขอบบนของโซนคือจุดสูงสุดของแท่งเทียนใน Base และขอบล่างคือจุดต่ำสุดของแท่งเทียนนั้น กรอบนี้คือ Demand Zone ที่คุณกำลังมองหา
เทคนิคนี้ใช้ได้กับทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็น EUR/USD ในฟอเร็กซ์ หุ้นไทยใน SET50 หรือแม้แต่ Bitcoin ในตลาดคริปโต

3 ปัจจัยประเมินความแข็งแกร่งของ Demand Zone
Demand Zone ทุกโซนไม่ได้มีคุณภาพเท่ากัน การแยกแยะโซนที่ “น่าสนใจ” จากโซนที่ “หลอกตา” คือความสามารถสำคัญที่จะเพิ่มอัตราการชนะในการเทรด
1. ความเร็วและพลังในการออกจากโซน
พฤติกรรมการออกจาก Base บ่งบอกถึงพลังของแรงซื้อ
- โซนแข็งแกร่ง: ราคาพุ่งออกอย่างรุนแรงด้วยแท่งเทียนสีเขียวขนาดใหญ่ เช่น Marubozu หรือแท่งยาวที่แทบไม่มีไส้เทียน ยิ่งพุ่งเร็ว ยิ่งบ่งบอกถึงความไม่สมดุลของตลาดที่รุนแรง
- โซนอ่อนแอ: ราคาขยับขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยแท่งเล็กๆ หลายแท่ง แสดงถึงแรงซื้ออ่อน หรือแรงขายยังคงมีอยู่
2. ระยะเวลาที่ใช้สร้างฐาน (Time Spent)
ยิ่งใช้เวลาน้อย ยิ่งดี นั่นแสดงว่าแรงซื้อเข้าครอบงำรวดเร็ว
- โซนแข็งแกร่ง: ใช้เวลา 1–3 แท่งเทียนในการสร้างฐานก่อนพุ่งขึ้น หมายถึงคำสั่งขายถูกดูดซับเรียบร้อย
- โซนอ่อนแอ: ใช้เวลานานหลายแท่ง แรงซื้อ-ขายยังแย่งชิงกันอยู่ น่าสงสัยในคุณภาพของโซน
3. ความ “สดใหม่” ของโซน (Freshness)
โซนที่ยังไม่เคยถูกทดสอบคือโซนที่น่าเชื่อถือที่สุด
- โซนแข็งแกร่งที่สุด: เพิ่งเกิดใหม่และยังไม่เคยมีการย่อตัวกลับลงมาทดสอบ คำสั่งซื้อยัง “เต็มถัง”
- โซนอ่อนแอ: ยิ่งถูกทดสอบมากครั้ง ความแข็งแกร่งยิ่งลดลง เพราะคำสั่งซื้อถูกใช้ไปบางส่วน สตาร์ตเกิน 2–3 ครั้งควรพิจารณาตั้งข้อสังเกต
ข้อมูลจาก Investopedia ได้ย้ำว่า หลักการอุปสงค์และอุปทานคือรากฐานของราคาในตลาดการเงิน Demand Zone คือการแสดงออกทางเทคนิคที่ชัดเจนที่สุดของหลักการนี้ในเชิงปฏิบัติ

กลยุทธ์การเทรด Demand Zone แบบมืออาชีพ
ระบุโซนแล้วต้องรู้วิธีใช้ การเทรดจุดกลับตัวต้องมีแผนที่เป็นระบบ
จุดเข้า (Entry)
รอให้ราคาย้อนกลับมาทดสอบ ขอบบนของ Demand Zone เป็นครั้งแรก โดยมักจะมีสัญญาณเสริม เช่น แท่งเขียวกลับตัว หรือสัญญาณจาก Price Action เพื่อยืนยันว่าแรงซื้อกลับมาแล้ว
จุดตัดขาดทุน (Stop Loss)
ตั้งไว้ ต่ำกว่าขอบล่างของโซนเล็กน้อย — ถ้าราคาปิดต่ำกว่านั้น หมายความว่าโซนถูกทำลาย และตรรกะการเทรดล้มเหลว ควรหลีกเลี่ยงการตั้ง Stop ชิดขอบล่าง เพราะอาจถูก “เขย่า” ออกจากตำแหน่งโดยไม่จำเป็น
จุดทำกำไร (Take Profit)
เป้าหมายควรตั้งอยู่ที่ระดับ Supply Zone หรือแนวต้านที่อยู่ถัดไป โดยสามารถใช้ Fibonacci หรือจุดสูงสุดเดิมเป็นตัวช่วยวัดระยะ ควรยึดอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนอย่างน้อย 1:2 หรือมากกว่า

กรณีศึกษา: การระบุ Demand Zone ในหุ้น PTT จาก SET50
เพื่อให้เห็นภาพจริงยิ่งขึ้น ลองมาดูตัวอย่างจากหุ้นไทยที่ทุกคนรู้จัก — PTT
กรณี: หุ้น PTT (บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน))
- ระบุโครงสร้าง DBR: ในกราฟรายวัน สังเกตเห็นราคาปรับตัวลง (Drop) จากนั้นมีการพักตัว 2 วัน (Base) แล้วพุ่งขึ้นด้วยแท่งเขียวขนาดใหญ่ (Rally) — เกิด DBR ที่สมบูรณ์
- วาดโซน: ลากกรอบคลุมบริเวณพักตัว 2 วัน เกิดเป็น Demand Zone ชัดเจน
- ประเมินคุณภาพ:
- แรงพุ่งขึ้น: แท่งเทียน Marubozu สีเขียว — พลังซื้อแรงมาก
- เวลาสร้างฐาน: ใช้เพียง 2 แท่ง — เร็วและมีประสิทธิภาพ
- ความสดใหม่: ยังไม่เคยถูกทดสอบ — เต็มไปด้วยคำสั่งซื้อรออยู่
- วางแผนเทรด: วาง Alert ที่ขอบบนของโซน หากมีการรีเทสต์ในวันถัดไป จะพิจารณาเข้าซื้อ โดยตั้ง Stop Loss ใต้ขอบล่าง และเป้าหมายทำกำไรที่แนวต้านถัดไป
การใช้ Demand Zone กับหุ้นไทยเปิดโอกาสให้เทรดเดอร์ “อ่านเกม” ของนักลงทุนสถาบันได้ โดยไม่ต้องพึ่งแค่ข่าวหรืออารมณ์ตลาดเพียงอย่างเดียว แนวคิดเรื่องการตามรอย “Smart Money” ซึ่งอธิบายไว้ใน Wikipedia ถือเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากใช้เพื่อวิเคราะห์ตลาดและพัฒนาการเทรดของตนเองให้ใกล้เคียงกับมืออาชีพ

3 ข้อผิดพลาดที่เทรดเดอร์มือใหม่มักทำเมื่อใช้ Demand Zone
การใช้เครื่องมือดีๆ ผิดวิธี อาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างรวดเร็ว นี่คือข้อผิดพลาดที่ควรระวัง
1. เทรดทุกโซนที่เห็น
ไม่ประเมินความแข็งแกร่งก่อนเข้า เทรดเพียงเพราะ “เคยเห็นมีโซน” ทั้งที่อาจอยู่ในโซนอ่อน หรือเคยถูกทดสอบหลายรอบ
2. ใช้โซนที่ไม่สด (Stale Zone)
โซนที่ราคาย่อยตัวกลับมาทดสอบแล้ว 3–4 ครั้ง ไม่ควรถือว่าน่าเชื่อถือ เพราะวาฬอาจไม่เหลือคำสั่งซื้อรอแล้ว การยึดติดกับโซนเหล่านี้อาจทำให้ “ติดดอย”
3. ตั้ง Stop Loss ชิดเกินไป
บางคนตั้ง Stop ที่ “ใต้แท่งเทียนที่เปิด” หรือ “ใกล้ขอบล่าง” เพื่อหวังลดความเสี่ยง แต่กลับถูกเขย่าออกในช่วงความผันผวนสั้นๆ ควรเผื่อพื้นที่เล็กน้อยเพื่อให้ตำแหน่ง “หายใจ” ได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Demand Zone(FAQ)
Q1: Demand Zone ใช้ได้กับทุก Timeframe หรือไม่?
A: ได้ครบทุกระดับตั้งแต่ 1 นาทีไปจนถึงรายสัปดาห์ แต่ยิ่ง Timeframe ใหญ่ (เช่น รายวัน รายสัปดาห์) ความน่าเชื่อถือของโซนยิ่งสูง เพราะสะท้อนพฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่
Q2: ถ้าราคาทะลุ Demand Zone ลงไป จะหมายความว่าอย่างไร?
A: แสดงว่าแรงซื้อในโซนนั้นหมดแล้ว และตลาดกลับไปอยู่ใต้การควบคุมของแรงขาย โซนเดิมนี้อาจเปลี่ยนบทบาทเป็น แนวต้านหรือ Supply Zone ได้ในอนาคต
Q3: Demand Zone ต่างจากแนวรับอย่างไร?
A: แนวรับเป็นเส้นอ้างอิงจากจุดต่ำสุดเดิม ส่วน Demand Zone เป็นพื้นที่ที่เกิดจากคำสั่งซื้อจริงของสถาบัน จึงอธิบาย “เหตุผล” ที่ราคากลับตัวได้ดีกว่า
Q4: จะเลือกเทรด Demand Zone อันไหนดีที่สุด?
A: เลือกโซนที่มีคุณสมบัติครบตาม “3 ปัจจัยหลัก” — พุ่งออกมาด้วยพลัง ใช้เวลาสร้างฐานสั้น และยังไม่เคยถูกทดสอบ หรือถูกทดสอบเพียงหนึ่งครั้ง
Q5: ใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นได้ไหม?
A: ได้ยิ่งดี! ถ้า Demand Zone เกิดร่วมกับ RSI ที่ Oversold หรือ MACD Bullish Divergence จะเพิ่มความน่าเชื่อถืออย่างมาก โดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เน้นย้ำว่า การใช้เครื่องมือร่วมกันช่วยให้การวิเคราะห์มีมิติและลดความผิดพลาด
Q6: ทำไมบางครั้งราคาไม่ลงมาถึงโซนแต่ก็เด้งกลับ?
A: การเด้งก่อนถึงโซนอาจเกิดจากแรงซื้อที่ “กระตือรือร้น” โดยเฉพาะในช่วงขาขึ้นแรง ผู้ซื้อมองล่วงหน้าและเริ่มไล่ซื้อก่อนราคาถึงโซน ซึ่งนี่ก็เป็นสัญญาณว่าตลาดยังเข้มแข็
Q7: Drop-Base-Rally เป็นรูปแบบเดียวหรือไม่?
A: เป็นรูปแบบหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ยังมีแบบ Rally-Base-Rally ที่ราคาขึ้น, พักฐาน, แล้วขึ้นต่อไป — ก็สามารถสร้าง Demand Zone ที่น่าสนใจได้เช่นกัน โดยเฉพาะในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแรง