สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่กำลังมองหาช่องทางสร้างรายได้ที่มั่นคงและมีความผันผวนต่ำกว่าการเล่นหุ้น หุ้นกู้อาจเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุด

สร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงให้พอร์ตของคุณ
ต่างจากหุ้นที่ให้กำไรมากแต่เสี่ยงสูง หุ้นกู้ให้ผลตอบแทนที่ชัดเจน และค่อนข้างแน่นอน ถือเป็น “เสาหลัก” ในพอร์ตลงทุนสำหรับคนที่ต้องการความมั่นคง
แต่ถึงอย่างนั้น การจะเลือกลงทุนในหุ้นกู้ “ไม่ใช่แค่ดูดอกเบี้ยสูงสุดแล้วตัดสินใจ” คุณต้องเข้าใจทั้งเรื่องอันดับความน่าเชื่อถือ ระยะเวลา ความเสี่ยงต่าง ๆ และภาระภาษีที่ตามมา
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกหุ้นกู้ทุกมิติ ตั้งแต่พื้นฐานที่สุด ไปจนถึงขั้นตอนการซื้อจริง พร้อมตัวอย่างและแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจในปี 2568 และปีต่อ ๆ ไป

หุ้นกู้คืออะไร? อธิบายให้เข้าใจง่าย
หากพูดให้เห็นภาพ หุ้นกู้ คือ สัญญาเงินกู้ระหว่างคุณกับบริษัท
คุณนำเงินไปให้บริษัทกู้ แล้วบริษัทก็จะมีภาระต้องจ่าย “ดอกเบี้ย” ให้คุณสม่ำเสมอในทุกงวด (เช่น ทุก 3 หรือ 6 เดือน) และเมื่อครบกำหนด จะคืน “เงินต้น” ทั้งก้อนให้คุณกลับคืน
นั่นหมายความว่า คุณไม่ใช่เจ้าของบริษัท แต่เป็น “เจ้าหนี้” หรือผู้ให้กู้
องค์ประกอบสำคัญบน “สัญญา” นี้มีดังนี้:
- ผู้ออกหุ้นกู้: บริษัทเอกชนที่ต้องการระดมทุน อาจเป็นบริษัทจดทะเบียนหรือไม่ก็ได้
- ผู้ถือหุ้นกู้: นักลงทุนที่ซื้อหุ้นกู้ ก็คือคุณนั่นเอง
- อัตราดอกเบี้ย: ผลตอบแทนรายปีที่คุณจะได้รับ เช่น 5% ต่อปี
- วันครบกำหนด (Maturity Date): วันที่บริษัทจะคืนเงินต้นทั้งหมดให้คุณ
- มูลค่าที่ตราไว้: มักอยู่ที่ 1,000 บาทต่อหน่วย
สิ่งที่ต้องเข้าใจให้ชัดคือ หุ้นกู้แตกต่างจาก “พันธบัตรรัฐบาล” ที่ออกโดยภาครัฐ โดยพันธบัตรรัฐบาลมีความเสี่ยงต่ำกว่ามาก เพราะแทบไม่มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ ในขณะที่หุ้นกู้เอกชนขึ้นอยู่กับสถานะการเงินของบริษัทที่ออก
6 ปัจจัยสำคัญที่ต้องดูก่อนลงทุน
การเลือกหุ้นกู้ไม่ใช่แค่เลือกดอกเบี้ยสูงที่สุด แต่ต้องพิจารณาทั้ง 6 องค์ประกอบนี้เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจ
1. อายุหุ้นกู้ (Tenure)
ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ออกจนถึงวันครบกำหนด แบ่งเป็น:
- ระยะสั้น: ไม่เกิน 1 ปี
- ระยะกลาง: 1-5 ปี
- ระยะยาว: มากกว่า 5 ปี
โดยทั่วไป ยิ่งอายุยาว ยิ่งให้ดอกเบี้ยสูง แต่ก็ยิ่งเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาด
2. อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate)
มี 2 แบบหลัก:
- ดอกเบี้ยคงที่: เช่น 6% ต่อปีตลอดสัญญา คำนวณง่าย เหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคง
- ดอกเบี้ยลอยตัว: เปลี่ยนตามอัตราอ้างอิง (เช่น BIBOR + 2%) เหมาะกับกรณีคาดว่าดอกเบี้ยตลาดจะเพิ่มขึ้น
3. อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating)
ถือเป็น “ตัวชี้วัดความปลอดภัย” ที่สำคัญที่สุด จัดทำโดยสถาบันอิสระ เช่น Credit Rating ของบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด
ระดับสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้:
- Investment Grade: ตั้งแต่ BBB- ขึ้นไป เช่น A, AA ถือว่าค่อนข้างมั่นคง เสี่ยงต่อการผิดนัดต่ำ
- Speculative Grade: ต่ำกว่า BBB- ไป เช่น B, CCC – ความเสี่ยงสูง แต่ให้ผลตอบแทนมาก การลงทุนควรใช้สัดส่วนน้อยในพอร์ต
4. ประเภทของหุ้นกู้
- หุ้นกู้มีประกัน (Secured) vs. ไม่มีประกัน (Unsecured): แบบมีประกันผูกกับสินทรัพย์ ถ้าบริษัทเจ๊งยังมีทรัพย์มาขายใช้หนี้ได้
- ไม่ด้อยสิทธิ (Senior) vs. ด้อยสิทธิ (Subordinated): กรณีเลิกกิจการ แบบ Senior จะได้คืนก่อน
5. ความถี่การจ่ายดอกเบี้ย
โดยทั่วไปจ่ายทุก 3 หรือ 6 เดือน เป็นข้อมูลสำคัญสำหรับคนที่ต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอ
6. มูลค่าที่ตราไว้
ในประเทศไทย มักกำหนดที่ 1,000 บาทต่อหน่วย หมายความว่าหากต้องการคูปอง 100,000 บาท ต้องซื้อ 100 หน่วย

หุ้นกู้ vs หุ้นทุน: ต่างกันยังไง?
หลายคนสับสนเพราะคำว่า “หุ้น” เหมือนกัน แต่ความแตกต่างมีเยอะมาก
| ด้านเปรียบเทียบ | หุ้นกู้ | หุ้นทุน (หุ้น) |
|---|
| สถานะ | เจ้าหนี้ (Creditor) | เจ้าของ (Owner) |
| ได้ผลตอบแทน | ดอกเบี้ย (แน่นอน) | เงินปันผล (ไม่แน่นอน) + กำไรจากราคาหุ้น |
| ความเสี่ยง | ต่ำกว่า | สูงกว่า |
| สิทธิในบริษัท | ไม่มีสิทธิออกเสียง | มีสิทธิเข้าประชุมและลงคะแนน |
| ลำดับการได้เงินคืน | ได้ก่อน | ได้ทีหลัง (สุดท้าย) |
สรุปสั้น ๆ: หุ้นกู้ = ให้กู้กินดอก / หุ้น = เป็นเจ้าของลุ้นเติบโต

ข้อดี-ข้อเสีย และความเสี่ยงของหุ้นกู้
ข้อดี
- เงินเข้าสม่ำเสมอ: ได้ดอกเบี้ยตามรอบ ช่วยบริหารรายรับ
- ได้เงินต้นคืน: หากบริษัทไม่ผิดนัด จะได้คืนเต็มจำนวน
- ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก: โดยทั่วไปให้ดอกเบี้ยมากกว่าบัญชีเงินฝากประจำ
- ความผันผวนต่ำ: ราคาไม่โยโย่เหมือนหุ้น
ข้อเสียและความเสี่ยงหลัก
- ความเสี่ยงการผิดนัด (Default Risk): บริษัทล้มละลาย อาจไม่ได้ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้นคืน
- ความเสี่ยงสภาพคล่อง: ขายต่อในตลาดรองยากกว่าหุ้น และอาจต้องขายต่ำกว่าทุน
- ความเสี่ยงดอกเบี้ย: ถ้าคุณถือหุ้นกู้ดอกเบี้ย 4% แต่ตลาดให้ 6% แล้ว ราคาหุ้นกู้ของคุณจะถูกลง

คู่มือซื้อหุ้นกู้ฉบับมือใหม่: 5 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1: ประเมินความเสี่ยงของคุณ
คุณเป็นคนรับความเสี่ยงได้น้อยหรือมาก?
- ถ้ารับเสี่ยงต่ำ: เลือกหุ้นกู้ Investment Grade (AAA, AA, A, BBB)
- ถ้ารับเสี่ยงได้: อาจหยิบ Speculative Grade แต่จำกัดสัดส่วนในพอร์ต เช่น ไม่เกิน 20%
ขั้นตอนที่ 2: อ่านหนังสือชี้ชวน (Fact Sheet)
นี่คือ “เอกสารสำคัญ” ที่ให้ข้อมูลทั้งหมดของหุ้นกู้รุ่นนั้น เช่น วัตถุประสงค์การระดมทุน โครงสร้างหนี้ของบริษัท และเงื่อนไขครบถ้วน
สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของ สำนักงาน ก.ล.ต.
ขั้นตอนที่ 3: ตรวจสอบอันดับความน่าเชื่อถือ
อย่าเพียงมอง “ดอกเบี้ย 8%” แล้วดึงดูดใจ ต้องดูว่า Credit Rating เป็นเท่าไหร่ บริษัทมีการเงินดีหรือเปล่า ติดตามข่าวสารของบริษัทเป็นประจำเพื่อรับรู้ความเสี่ยงก่อนสาย
ขั้นตอนที่ 4: เข้าใจเรื่องภาษี
ดอกเบี้ยจากหุ้นกู้จะถูก หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ทุกครั้งที่ได้รับ
คุณมี 2 ทางเลือก:
- ยอมให้ 15% เป็น “ภาษีสุดท้าย” (Final Tax) – ไม่ต้องยื่นเพิ่ม
- นำไปรวมคำนวณในภ.ง.ด.90 หากคุณมีรายได้อื่นน้อย เกรดภาษีต่ำกว่า 15% อาจขอคืนได้
ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้จากภาษีตราสารหนี้/ภาษีดอกเบี้ยหุ้นกู้โดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA)
ขั้นตอนที่ 5: จองซื้อผ่านบริษัทหลักทรัพย์
วิธีซื้อหุ้นกู้รุ่นใหม่ (Primary Market) คือ ต้องจองผ่าน “ผู้จัดจำหน่าย” ซึ่งมักเป็นธนาคารหรือบล. ชั้นนำ
ขั้นตอนมีดังนี้:
- เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์
- รอประกาศเสนอขาย (จาก ก.ล.ต. หรือธนาคาร)
- ยื่นคำสั่งจองซื้อออนไลน์
- ชำระเงินเมื่อได้รับการจัดสรรสินทรัพย์
โดยทั่วไปต้องซื้อครั้งละ 100,000 บาท (หรือ 100 หน่วย) ขึ้นไป แต่ต้องตรวจสอบจากหนังสือชี้ชวนอีกครั้ง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหุ้นกู้ (FAQ)
หุ้นกู้คืออะไร?
หุ้นกู้คือตราสารหนี้ที่บริษัทเอกชนออกเพื่อระดมทุน นักลงทุนในฐานะเจ้าหนี้จะได้รับดอกเบี้ยตามงวด (เช่น ทุก 3 หรือ 6 เดือน) และได้เงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด
หุ้นกู้มีความเสี่ยงไหม?
มี โดยทั่วไปต่ำกว่าหุ้นทุน ความเสี่ยงหลักคือการผิดนัดชำระหนี้ (Default) จึงควรพิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของผู้ออกเป็นสำคัญ
หุ้นกู้เหมาะกับใคร?
เหมาะกับผู้ต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอและความผันผวนต่ำ เช่น ผู้ใกล้เกษียณ หรือผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในพอร์ต และพร้อมถือจนครบกำหนด
หุ้นกู้ได้เงินคืนไหม?
ตามปกติจะได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวนเมื่อครบกำหนด แต่หากผู้ออกมีปัญหาทางการเงิน/ล้มละลาย อาจได้คืนไม่ครบหรือไม่ได้เลย ทั้งนี้ขึ้นกับเงื่อนไข เช่น มีประกัน/ลำดับสิทธิ (Senior/Subordinated)
หุ้นกู้ต้องซื้อขั้นต่ำกี่บาท?
ขึ้นกับรุ่นที่เสนอขาย โดยทั่วไปขั้นต่ำราว 100,000 บาท (มูลค่าที่ตราไว้ 1,000 บาท/หน่วย × 100 หน่วย) ควรตรวจสอบหนังสือชี้ชวนของรุ่นนั้นก่อนตัดสินใจ