จาก “กล่องดำลึกลับ” สู่เครื่องมือการลงทุนที่เข้าถึงได้
หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ Hedge Fund มาบ้างแล้ว แต่มักจะอยู่ในรูปแบบของข่าวกองทุนโกลด์แมน แซคส์หรือเฮดจ์ฟันด์ที่ “มหาเศรษฐีโลก” เข้าไปลงทุน จนทำให้หลายคนเข้าใจว่า hedge fund คือ เครื่องมือลงทุนที่ไกลตัวและเข้าไม่ถึง
แต่ความจริงแล้ว หลังจากที่ ก.ล.ต. เปิดให้มีการเสนขาย กองทุน UI ในประเทศไทย ทำให้ hedge fund คือ เครื่องมือลงทุนที่นักลงทุนไทยบางกลุ่มสามารถเข้าถึงได้แล้ว
Hedge fund คือ กองทุนที่บริหารโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาผลตอบแทนสัมบูรณ์ (Absolute Return) ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่ยืดหยุ่นมากกว่า กองทุนรวม ทั่วไป โดยสามารถใช้เครื่องมือที่ซับซ้อนอย่าง Leverage และการขายชอร์ตเพื่อสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด
บทความนี้จะไม่ได้แค่อธิบายว่า hedge fund คือ อะไร แต่จะเจาะลึกถึงวิธีการที่ ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ ในประเทศไทยจะเข้าถึงการลงทุนแบบนี้ได้อย่างไร พร้อมเงื่อนไขที่แท้จริงจาก ก.ล.ต. ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้
Hedge Fund คืออะไร: ทำความเข้าใจพื้นฐาน
คำว่า Hedge Fund มีต้นกำเนิดจากคำว่า “Hedge” ซึ่งหมายถึงการ “ป้องกันความเสี่ยง” ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดเดิมที่ต้องการลดความเสี่ยงของการลงทุนด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ
แต่ในยุคปัจจุบัน hedge fund คือ เครื่องมือที่มุ่งหาผลตอบแทนสูงมากกว่าการป้องกันความเสี่ยงเพียงอย่างเดียว ทำให้หลายคนเข้าใจว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
ในความเป็นจริง hedge fund คือ เครื่องมือที่ต้องการความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับสูง จึงไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนทั่วไป
ความแตกต่างระหว่าง “Hedge” และ “Hedge Fund”
คำว่า “Hedge” ในบริบททางการเงินโดยทั่วไปหมายถึงการป้องกันความเสี่ยง เช่น การป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Hedging) ซึ่งเป็นนโยบายที่กองทุนต่างประเทศบางแห่งใช้เพื่อลดความผันผวนของค่าเงิน
อย่างไรก็ตาม “Hedge Fund” เป็นชื่อเฉพาะของประเภทกองทุนที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อนเพื่อมุ่งหาผลตอบแทนสัมบูรณ์และบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวม ซึ่งแตกต่างจากการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินโดยตรง การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน
ประวัติและวิวัฒนาการของ Hedge Fund
Hedge Fund กองทุนแรกถือกำเนิดในปี 1949 โดย Alfred Winslow Jones นักข่าวและนักวิเคราะห์ทางการเงินชาวอเมริกัน
Jones คิดค้นกลยุทธ์ Long/Short Equity ซึ่งเป็นการซื้อหุ้นที่คาดว่าจะขึ้น (Long Position) พร้อมกับการขายชอร์ตหุ้นที่คาดว่าจะลง (Short Position) ในเวลาเดียวกัน
แนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาต่อโดยตำนานนักลงทุนอย่าง George Soros ผู้ที่สร้างชื่อจากการ “ทำลายธนาคารอังกฤษ” ในปี 1992 และ Ray Dalio ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates ที่เป็น Hedge Fund ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
จุดเริ่มต้นนี้แสดงให้เห็นว่า Hedge Fund คือ ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการคิดค้นกลยุทธ์ใหม่เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในทุกสภาวะตลาด
Hedge Fund แตกต่างจากกองทุนรวมทั่วไปอย่างไร
สิ่งที่ทำให้ Hedge Fund คือ เครื่องมือที่แตกต่างจาก กองทุนรวม ทั่วไป คือแนวคิด “Absolute Return” หรือผลตอบแทนสัมบูรณ์
ผลตอบแทนสัมบูรณ์หมายความว่า กองทุนจะพยายามสร้างผลตอบแทนเป็นบวกให้ได้ไม่ว่าตลาดจะขาขึ้นหรือขาลง ไม่ใช่การเอาชนะดัชนีอ้างอิงเหมือน กองทุนรวม ทั่วไป
หลายกองทุนจะกำหนดเป้าหมายผลตอบแทน เช่น 8-12% ต่อปี โดยไม่คำนึงถึงทิศทางของตลาด ซึ่งเป็นแนวคิดที่ท้าทายและต้องการทักษะในการ บริหารความเสี่ยง อย่างมีประสิทธิภาพ
ความแตกต่างระหว่าง Hedge Fund และ กองทุนรวม ทั่วไปมีหลายจุดสำคัญ ซึ่งสามารถสรุปได้ในตารางต่อไปนี้
คุณสมบัติ
|
Hedge Fund
|
กองทุนรวมทั่วไป
|
---|
ปรัชญาหลัก
|
มุ่งหาผลตอบแทนสัมบูรณ์ (Absolute Return) ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง
|
มักมุ่งเอาชนะดัชนีอ้างอิง
|
---|
กฎระเบียบ
|
ข้อจำกัดน้อยกว่า ยืดหยุ่นสูง
|
ปฏิบัติตามกฎ ก.ล.ต. อย่างเคร่งครัด
|
---|
การใช้ Leverage
|
สามารถใช้เงินกู้เพื่อขยายผลตอบแทนได้
|
ไม่สามารถใช้ได้ตามกฎระเบียบไทย
|
---|
การขายชอร์ต (Short Selling)
|
สามารถทำกำไรจากการลดลงของราคาสินทรัพย์ได้
|
ส่วนใหญ่ทำไม่ได้
|
---|
เครื่องมือทางการเงิน
|
ใช้ตราสารอนุพันธ์และเครื่องมือซับซ้อนได้อิสระ
|
มีข้อจำกัดในการใช้ตราสารอนุพันธ์
|
---|
การเข้าถึง
|
จำกัดเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ
|
เปิดให้นักลงทุนทั่วไปเข้าถึงได้
|
---|
สภาพคล่อง
|
มีข้อจำกัดด้านสภาพคล่อง อาจมี Lock-up Period และ Redemption Window ที่จำกัด
|
ซื้อขายได้ทุกวันทำการ
|
---|
ค่าธรรมเนียม
|
สูงกว่ามาก มักใช้โครงสร้าง “Two and Twenty”
|
ต่ำกว่า
|
---|
ความเสี่ยง
|
มีความเสี่ยงสูงจากการลงทุนเชิงรุก แต่สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตโดยรวมได้
|
โดยทั่วไปความเสี่ยงต่ำกว่า แต่ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิง
|
---|
กลยุทธ์หลักของ Hedge Fund: สร้างผลตอบแทนได้ในทุกสภาวะตลาด
Hedge Fund ใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายและซับซ้อนเพื่อสร้างผลตอบแทนและบริหารความเสี่ยง โดยไม่ขึ้นกับทิศทางของตลาดโดยรวม
กลยุทธ์ Global Macro: การเดิมพันระดับโลก
Global Macro เป็นกลยุทธ์ที่ Hedge Fund หลายแห่งใช้เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจมหภาค
กลยุทธ์นี้เป็นการวิเคราะห์และลงทุนตามทิศทางของเศรษฐกิจโลก ทั้งเรื่องอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และนโยบายรัฐบาล
ตัวอย่างที่เข้าใจง่าย คือหาก Global Macro fund คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว อาจจะขายชอร์ตหุ้นไทย ซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือเดิมพันว่าค่าบาทจะอ่อนค่าลง
George Soros ที่มีชื่อเสียงจากการเดิมพันต่อต้านปอนด์อังกฤษ เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้กลยุทธ์ Global Macro อย่างมีประสิทธิภาพ
กลยุทธ์ Long/Short Equity: รากฐานของทุกอย่าง
Long/Short Equity เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่ Alfred Winslow Jones คิดค้นขึ้น และยังคงเป็นกลยุทธ์หลักของ Hedge Fund หลายแห่ง
หลักการคือการซื้อหุ้นที่คาดว่าจะมีผลตอบแทนดี (Long Position) พร้อมกับการขายชอร์ตหุ้นที่คาดว่าจะมีผลงานแย่ (Short Position)
การทำ Long และ Short พร้อมกันช่วยลดความผันผวนจากการเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม และให้ผลตอบแทนมาจากการเลือกหุ้นที่ดีของผู้จัดการกองทุน
ตัวอย่างในบริบทไทย หาก Fund Manager เชื่อว่าหุ้นธนาคารจะปรับตัวดีขึ้น แต่หุ้นอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวลง อาจจะซื้อหุ้น BBL และขายชอร์ต AP ในเวลาเดียวกัน
กลยุทธ์ Event-Driven: การล่าโอกาสจากเหตุการณ์พิเศษ
Event-Driven strategies มุ่งเน้นการหาผลตอบแทนจากเหตุการณ์เฉพาะของบริษัท เช่น การควบรวม การซื้อกิจการ การปรับโครงสร้างหนี้ หรือการล้มละลาย
กลยุทธ์นี้ต้องบริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง เพราะผลตอบแทนขึ้นอยู่กับความสำเร็จของเหตุการณ์นั้น ๆ
ตัวอย่างที่เป็นไปได้ในตลาดไทย คือหากมีข่าวว่า True จะควบรวมกับ dtac (ก่อนหน้าที่จะเกิดขึ้นจริง) กองทุน Event-Driven อาจจะซื้อหุ้น dtac โดยคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวขึ้นเมื่อการควบรวมสำเร็จ
แต่หากการควบรวมไม่สำเร็จ ราคาหุ้นก็อาจจะปรับตัวลงอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นความเสี่ยงหลักของกลยุทธ์นี้
กลยุทธ์ Relative Value: หาช่องว่างราคา
กลยุทธ์ Relative Value Arbitrage มองหาช่องว่างราคาระหว่างสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกัน เช่น หุ้นสามัญและใบสำคัญแสดงสิทธิของบริษัทเดียวกัน โดยมุ่งหวังผลกำไรจากการบรรจบกันของราคา
กลยุทธ์ Market Neutral: ลดความเสี่ยงตลาด
กลยุทธ์ Market Neutral เป็นกลยุทธ์ที่ออกแบบมาเพื่อลดการเปิดรับความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม โดยมุ่งหวังผลตอบแทนที่ไม่ขึ้นกับทิศทางของตลาด ตัวอย่างเช่น กองทุน BCAP-MNH UI ที่เน้นกลยุทธ์ Market Neutral
กลยุทธ์ Activist: เข้าไปมีอิทธิพล
Activist Strategy เป็นการซื้อหุ้นในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญและเข้าไปมีอิทธิพลในการบริหารบริษัทเพื่อเพิ่มมูลค่าหุ้น
กลยุทธ์เหล่านี้ต้องการความเชี่ยวชาญสูงและเครื่องมือในการ บริหารความเสี่ยง ที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไม Hedge Fund คือ เครื่องมือลงทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์เท่านั้น
การเข้าถึง Hedge Fund สำหรับนักลงทุนไทย
ช่องทางหลัก: “กองทุน UI” (Ultra Accredited Investor Mutual Funds)
สำหรับนักลงทุนไทยแล้ว การเข้าถึง Hedge Fund โดยตรงค่อนข้างยาก เพราะต้องการเงินลงทุนขั้นต่ำที่สูงมากและกระบวนการที่ซับซ้อน
ช่องทางที่เป็นไปได้มากที่สุด คือการลงทุนผ่าน กองทุน UI หรือ “กองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ”
กองทุน UI เป็น กองทุนรวม ประเภทพิเศษที่จดทะเบียนในประเทศไทย โดยรวบรวมเงินลงทุนจาก ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ เท่านั้น เพื่อไปลงทุนใน สินทรัพย์ทางเลือก รวมถึง Hedge Fund ต่างประเทศ
ข้อดีของ กองทุน UI คือได้รับการกำกับดูแลจาก ก.ล.ต. และมี บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) ที่เป็นผู้รับผิดชอบ ทำให้มีความปลอดภัยมากกว่าการลงทุนโดยตรง
คำถามสำคัญ: คุณเป็น “ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ” หรือไม่?
ก่อนที่จะสามารถลงทุนใน กองทุน UI ได้ คุณต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติว่าเป็น ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ ตามเกณฑ์ ก.ล.ต.
การเป็น ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ ไม่ใช่เรื่องง่าย ก.ล.ต. กำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดทั้งด้านฐานะทางการเงินและความรู้หรือประสบการณ์
เกณฑ์นี้มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องนักลงทุนทั่วไปจากการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงและซับซ้อน ซึ่งต้องการความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง
การที่ ก.ล.ต. กำหนดเกณฑ์เหล่านี้ไว้ เป็นการสะท้อนว่า hedge fund คือ เครื่องมือลงทุนที่ต้องการการเตรียมตัวและความรู้ในระดับมืออาชีพ
เกณฑ์มาตรฐาน ก.ล.ต. สำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (บุคคลธรรมดา)
หมวดหมู่
|
เงื่อนไข
|
รายละเอียด
|
---|
ฐานะทางการเงิน
|
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ
|
≥ 70 ล้านบาท
|
---|
|
รายได้ประจำปี
|
≥ 15 ล้านบาท
|
---|
|
การลงทุนโดยตรง
|
≥ 40 ล้านบาท ในผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน
|
---|
ความรู้หรือประสบการณ์
|
ประสบการณ์การลงทุน
|
การลงทุนในตลาดทุน ≥ 1 ปี
|
---|
|
ประสบการณ์การทำงาน
|
≥ 2 ปี ในงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน
|
---|
|
คุณวุฒิการศึกษา
|
ปริญญาตรีขึ้นไป ด้านเศรษฐศาสตร์, การเงิน, การลงทุน, การบัญชี
|
---|
|
ใบอนุญาตวิชาชีพ
|
CFA, FRM หรือใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง
|
---|
หมายเหตุ: ข้อมูลอิงจากประกาศ ก.ล.ต. และอาจมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ผู้สนใจควรตรวจสอบเกณฑ์ปัจจุบันจากเว็บไซต์ www.sec.or.th โดยตรง
นักลงทุนต้องผ่านเกณฑ์ อย่างน้อย 1 เงื่อนไข ในหมวด “ฐานะทางการเงิน” และ อย่างน้อย 1 เงื่อนไข ในหมวด “ความรู้หรือประสบการณ์”
เกณฑ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ก.ล.ต. ต้องการให้ผู้ลงทุนที่จะเข้าถึง Hedge Fund มีทั้งความพร้อมทางการเงินและความรู้ความเข้าใจที่เพียงพอ
การหา กองทุน UI ในประเทศไทย
ปัจจุบัน บลจ. หลายแห่งในประเทศไทยเสนอขาย กองทุน UI ที่เปิดโอกาสให้เข้าถึง Hedge Fund และ สินทรัพย์ทางเลือก ระดับโลก
ตัวอย่างกองทุนที่มีอยู่ในตลาด เช่น BCAP-MNH UI (กองทุนที่เน้น Market Neutral strategies), ASP-LEGACY-UI (กองทุนที่ลงทุนใน Multi-strategy hedge funds), และ KFGPE-UI (กองทุนที่เน้น Private Equity และ Alternative Investments)
กองทุนเหล่านี้มักจะมี ค่าธรรมเนียม การจัดการที่สูงกว่า กองทุนรวม ทั่วไป เพราะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ Hedge Fund ต้นทางด้วย
คำเตือน: ข้อมูลกองทุนข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง ผู้สนใจควรศึกษารายละเอียดจาก Fact Sheet และ Prospectus ล่าสุดก่อนตัดสินใจลงทุน
นักลงทุนที่สนใจควรติดต่อ บลจ. โดยตรงหรือผ่านที่ปรึกษาการลงทุนเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมและตรวจสอบคุณสมบัติ
สมดุลที่สำคัญ: การชั่งน้ำหนักผลประโยชน์กับความเป็นจริง
ข้อดี: เหตุผลที่คุ้มค่าการพิจารณา
- การกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ: ข้อดีหลักของ Hedge Fund คือความสามารถในการบริหารความเสี่ยงผ่านการกระจายการลงทุนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นทั่วไป
- ศึกษาจาก Hedge Fund Research (HFR) พบว่า Hedge Fund Index มี Correlation กับตลาดหุ้นโลก (MSCI World) เพียง 0.6-0.7 ขณะที่กองทุนหุ้นทั่วไปมี Correlation เกือบ 1.0
- นั่นหมายความว่าเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลง 20% Hedge Fund อาจปรับตัวลงเพียง 10-15% หรืออาจจะขึ้นได้ด้วยซ้ำ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ที่ใช้
- โอกาสผลตอบแทนที่สูงขึ้น: ความยืดหยุ่นในการใช้ Leverage การขายชอร์ต และกลยุทธ์ที่ซับซ้อน ทำให้ Hedge Fund มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าการลงทุนทั่วไป
- Hedge Funds ในปี 2024 สร้างผลตอบแทน +9.7% โดยเฉพาะ Long/Short Equity และ Event-Driven strategies ที่มีผลงานดีเด่น
- การเข้าถึงผู้จัดการระดับโลก: กองทุน UI เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยเข้าถึงผู้จัดการกองทุนระดับโลกที่มีประสบการณ์และ track record ที่พิสูจน์แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะหาได้ในตลาดไทย
ข้อเสีย: สิ่งที่ต้องระวัง
- ค่าธรรมเนียมสูง: ข้อเสียที่สำคัญที่สุดของ Hedge Fund คือโครงสร้าง ค่าธรรมเนียม “Two and Twenty”
- หลาย Hedge Fund เก็บค่าธรรมเนียมการจัดการ 2% ของเงินลงทุนต่อปี บวกกับ Performance Fee 20% ของผลกำไรที่เกิดขึ้น
- เมื่อรวมกับ ค่าธรรมเนียม ของ กองทุน UI ที่ต้องจ่ายใน**บลจ.**ไทย อาจทำให้ค่าใช้จ่ายรวมสูงถึง 3-4% ต่อปี
- ข้อจำกัดด้านสภาพคล่อง (Liquidity): Hedge Fund หลายแห่งมี Lock-up Period หรือระยะเวลาที่ไม่สามารถขายได้ ตั้งแต่ 6 เดือนถึง 3 ปี
- นอกจากนี้ยังมี Redemption Window ที่จำกัด เช่น สามารถขายได้เฉพาะไตรมาสสุดท้ายของแต่ละปี และต้องแจ้งล่วงหน้า 3-6 เดือน
- นั่นหมายความว่าหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินต้องการเงิน นักลงทุนอาจไม่สามารถเบิกเงินได้ทันที ซึ่งแตกต่างจาก กองทุนรวม ทั่วไปที่สามารถขายได้ทุกวันทำการ
- ความซับซ้อนและความโปร่งใส: กลยุทธ์การลงทุนของ Hedge Fund มักซับซ้อนและยากต่อการเข้าใจ ผู้จัดการกองทุนมักเปิดเผยข้อมูลน้อย เพื่อปกป้องกลยุทธ์การลงทุน
- ข้อมูลการลงทุนมักจะได้รับไม่บ่อยนัก เช่น รายงานผลงานเดือนละครั้ง หรือไตรมาสละครั้ง ทำให้นักลงทุนไม่สามารถติดตามได้แบบ Real-time
- ความเสี่ยงจากผู้จัดการ (Manager Risk): ผลงานของ Hedge Fund ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้จัดการกองทุนเป็นหลัก หากผู้จัดการมีผลงานไม่ดีหรือเกิดปัญหา อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อผลตอบแทน
- ในช่วงวิกฤต 2008 มี Hedge Fund หลายแห่งล้มเหลวหรือสูญเสียเงินลงทุนมากกว่า 50% เนื่องจากการใช้ Leverage มากเกินไปหรือการประเมินความเสี่ยงผิดพลาด
สรุป: เครื่องมือทรงพลังสำหรับนักลงทุนที่มีคุณสมบัติ
Hedge fund คือ เครื่องมือการลงทุนที่ยืดหยุ่น ทรงพลัง และซับซ้อน ที่มุ่งหาผลตอบแทนสัมบูรณ์ด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่างจาก กองทุนรวม ทั่วไป
สำหรับนักลงทุนไทย การเข้าถึงไม่ได้เป็นแบบโดยตรง แต่สามารถทำได้ผ่าน กองทุน UI เฉพาะสำหรับ ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ ที่ผ่านเกณฑ์เข้มงวดของ ก.ล.ต.
ข้อสรุปสุดท้าย คือ hedge fund ไม่ใช่ “เครื่องมือวิเศษ” สำหรับการสร้างความมั่งคั่ง แต่เป็นเครื่องมือทรงพลังที่เมื่อใช้อย่างเหมาะสมโดยนักลงทุนที่มีคุณสมบัติ เข้าใจความเสี่ยง ค่าใช้จ่าย และข้อจำกัดด้านสภาพคล่องอย่างถ่องแท้แล้ว สามารถเป็นองค์ประกอบที่มีค่าในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้
หากคุณเชื่อว่าตนเองมีคุณสมบัติเป็น ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ และสนใจศึกษาว่า สินทรัพย์ทางเลือก อย่าง hedge fund จะเข้ากับแผนการเงินส่วนตัวได้อย่างไร ขั้นตอนสำคัญถัดไป คือการปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินที่ได้รับใบอนุญาต
ที่ปรึกษาทางการเงิน สามารถช่วยประเมินสถานการณ์การเงินส่วนตัว ความสามารถในการรับความเสี่ยง และกำหนดวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Hedge Fund คืออะไร และต่างจากกองทุนรวมอย่างไร?
Hedge fund คือ กองทุนที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่ยืดหยุ่นและซับซ้อน มุ่งหาผลตอบแทนสัมบูรณ์ ไม่ว่าตลาดจะขาขึ้นหรือขาลง ต่างจาก กองทุนรวม ทั่วไปที่มักเทียบผลงานกับดัชนีอ้างอิง
คนไทยธรรมดาสามารถลงทุน Hedge Fund ได้หรือไม่?
นักลงทุนไทยทั่วไปไม่สามารถลงทุน Hedge Fund ได้โดยตรง ต้องเป็น ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ ตามเกณฑ์ ก.ล.ต. เท่านั้น และลงทุนผ่าน กองทุน UI
เกณฑ์การเป็น ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ ต้องมีสินทรัพย์สุทธิอย่างน้อย 70 ล้านบาท หรือรายได้ 15 ล้านบาทต่อปี พร้อมความรู้ความเข้าใจด้านการลงทุน
การลงทุนใน Hedge Fund มีความเสี่ยงมากแค่ไหน?
Hedge Fund มีความเสี่ยงที่หลากหลายและซับซ้อน รวมถึงความเสี่ยงจากการใช้ Leverage ความเสี่ยงสภาพคล่อง และความเสี่ยงจากผู้จัดการ
ค่าธรรมเนียม สูง (อาจถึง 3-4% ต่อปี) และ Lock-up Period ที่ยาวนาน ทำให้ไม่เหมาะสำหรับเงินลงทุนที่อาจต้องใช้ในระยะสั้น
ค่าธรรมเนียมของ Hedge Fund สูงแค่ไหน?
Hedge Fund ส่วนใหญ่ใช้โครงสร้าง “Two and Twenty” คือ ค่าธรรมเนียม การจัดการ 2% ต่อปี บวก Performance Fee 20% ของกำไร
เมื่อลงทุนผ่าน กองทุน UI ในไทย ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มให้ บลจ. ไทย ทำให้ค่าใช้จ่ายรวมอาจสูงถึง 3-4% ต่อปี
จะหา กองทุน UI ที่ลงทุนใน Hedge Fund ได้ที่ไหน?
บลจ. หลายแห่งในไทยเสนอขาย กองทุน UI ที่ลงทุนใน Hedge Fund เช่น ธนาคารกรุงเทพ, กสิกรไทย, SCB และอื่น ๆ
ควรติดต่อ บลจ. โดยตรงหรือผ่าน ที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อขอข้อมูลและตรวจสอบคุณสมบัติก่อนลงทุน
Global Macro Strategy คืออะไร?
Global Macro เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่วิเคราะห์และเดิมพันตามทิศทางเศรษฐกิจมหภาค ทั้งอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน และนโยบายรัฐบาล
George Soros ที่มีชื่อเสียงจากการเดิมพันต่อต้านปอนด์อังกฤษ เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้กลยุทธ์ Global Macro อย่างประสบความสำเร็จ
ทำไมต้องมีเกณฑ์การเป็น “ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ”?
ก.ล.ต. กำหนดเกณฑ์เพื่อปกป้องนักลงทุนทั่วไปจากผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงและซับซ้อน ซึ่งต้องการความรู้และความสามารถทางการเงินเป็นพิเศษ
การมีเกณฑ์นี้ช่วยให้มั่นใจว่าผู้ลงทุนมีทั้งทุนที่เพียงพอรับความเสี่ยงและความรู้ความเข้าใจเพียงพอต่อการตัดสินใจ
Hedge Fund สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าการลงทุนทั่วไปจริงหรือ?
ผลงานของ Hedge Fund ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และความสามารถของผู้จัดการ ในปี 2024 Hedge Fund โดยรวมสร้างผลตอบแทน +9.7%
ข้อดีหลักไม่ใช่ผลตอบแทนที่สูง แต่คือการกระจายความเสี่ยงเพราะมี Correlation ต่ำกับตลาดหุ้นทั่วไป ทำให้ช่วยบริหารความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนได้ดีขึ้น