ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่เคยเจอวันที่ circuit breaker หุ้นไทย ถูกเปิดใช้งาน คุณคงจะรู้สึกว่าโลกกำลังจะแตก ตลาดหุ้นหยุดเทรดกะทันหัน ทุกคนเริ่ม panic sell กันเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องเราทุกคนจากการตัดสินใจแบบหัวร้อน
ในบทความนี้ เราจะไปดูกันว่า เซอร์กิตเบรกเกอร์ คืออะไร มีประวัติศาสตร์อย่างไร และสำคัญที่สุดคือ เมื่อมันเกิดขึ้น เราควรทำอย่างไรเพื่อให้ ลงทุนอย่างมีสติ และเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส
ไม่ใช่สวิตช์ไฟฟ้านะ! Circuit Breaker คืออะไร และทำไมถึงมีขึ้นมา
หลายคนอาจจะสับสนว่า circuit breaker คือ อะไร เพราะคำนี้ดูเหมือนจะเกี่ยวกับเรื่องไฟฟ้า แต่ในโลกของการเงิน เซอร์กิตเบรกเกอร์ หมายถึงกลไกที่ใช้หยุดการซื้อขายหุ้นชั่วคราว เมื่อตลาดผันผวนอย่างรุนแรง
หลักการทำงานก็เหมือนกับเบรกเกอร์ไฟฟ้าจริงๆ คือเมื่อมีกระแสไฟฟ้าเกินขีดจำกัด เบรกเกอร์จะตัดวงจรเพื่อป้องกันอุปกรณ์เสียหาย ในตลาดหุ้นก็เช่นกัน เมื่อดัชนีตกลงเกินกำหนด ระบบจะหยุดการเทรดเพื่อป้องกันการ panic sell ที่อาจจะทำให้ตลาดพังหนักกว่าที่ควรจะเป็น
เป้าหมายหลักของ เซอร์กิตเบรกเกอร์ คือให้เวลานักลงทุนได้หายใจลึกๆ ประเมินสถานการณ์ใหม่ และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล แทนที่จะขายทิ้งแบบหัวร้อน
กฎ Circuit Breaker หุ้นไทยล่าสุด: เกณฑ์ 8%, 15%, 20% ทำงานอย่างไร
ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มาตรการควบคุมความผันผวนของตลาดไทยมีกฎ Circuit Breaker ที่ชัดเจน ซึ่งมีการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาด ปัจจุบันเกณฑ์การทำงานของ Circuit Breaker แบ่งออกเป็น 3 ระดับตามความรุนแรงของการตกลงของดัชนี SET Index
ตารางสรุประดับ Circuit Breaker 3 ขั้น
ระดับ
|
เปอร์เซ็นต์ที่ตกลง
|
ระยะเวลาหยุดเทรด
|
เงื่อนไข
|
---|
1
|
8%
|
30 นาที
|
นับจากราคาปิดวันก่อนหน้า
|
---|
2
|
15%
|
30 นาที
|
นับจากราคาปิดวันก่อนหน้า (หากเกิดขึ้นหลังระดับ 1)
|
---|
3
|
20%
|
1 ชั่วโมง
|
นับจากราคาปิดวันก่อนหน้า (หลังจากนี้จะไม่มีการหยุดเทรดอีกในวันนั้น)
|
---|
การนับเปอร์เซ็นต์นี้จะเริ่มนับใหม่ทุกวัน โดยใช้ราคาปิดของวันก่อนหน้าเป็นฐาน และจะมีผลตลอดช่วงเวลาเทรด ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าหรือบ่าย หาก Circuit Breaker ถูกเปิดใช้งานในช่วงเวลาที่เหลือของตลาดน้อยกว่าระยะเวลาหยุดเทรดที่กำหนด การหยุดเทรดจะสิ้นสุดลงเมื่อตลาดปิดในรอบนั้น และจะกลับมาเปิดตามปกติในรอบถัดไป
กรณีศึกษา: การปรับกฎชั่วคราวช่วงวิกฤต COVID-19
สิ่งที่น่าสนใจคือช่วงวิกฤต โควิด-19 ตลาดหุ้น ปี 2020 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ปรับกฎชั่วคราวโดยลดเกณฑ์การเปิดใช้งาน circuit breaker จาก 10% เหลือ 8% เพื่อให้สามารถควบคุมความผันผวนได้ดีขึ้น
การปรับกฎแบบชั่วคราวนี้แสดงให้เห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ มีบทบาทเป็นผู้ปกป้องตลาดอย่างแข็งขัน และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกฎเมื่อสถานการณ์ต้องการ
Circuit Breaker หุ้นไทย: ไม่ใช่แค่หยุด แต่เพื่ออะไร
มาตรการ Circuit Breaker ไม่ได้มีขึ้นเพียงเพื่อหยุดการซื้อขายชั่วคราวเท่านั้น แต่มีวัตถุประสงค์ที่ลึกซึ้งกว่านั้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดและปกป้องนักลงทุน
- ลดความตื่นตระหนก (Panic Selling): เมื่อตลาดดิ่งลงอย่างรุนแรง นักลงทุนมักจะตัดสินใจด้วยอารมณ์และเร่งเทขายหุ้นออกไปอย่างไม่สมเหตุสมผล การหยุดเทรดชั่วคราวช่วยให้ทุกคนได้มีเวลาหายใจ ประเมินสถานการณ์ และทบทวนข้อมูลก่อนที่จะตัดสินใจเพิ่มเติม
- ให้เวลาประเมินข้อมูล: ในช่วงเวลาที่ตลาดหยุด นักลงทุน ผู้จัดการกองทุน และนักวิเคราะห์มีโอกาสในการรวบรวมข้อมูลข่าวสาร วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น และทำความเข้าใจสาเหตุของการตกลงอย่างแท้จริง ซึ่งช่วยให้การตัดสินใจหลังจากตลาดเปิดใหม่มีเหตุผลมากขึ้น
- ป้องกันการล่มสลายของระบบ: การเทขายจำนวนมากและรวดเร็วเกินไปอาจทำให้ระบบการซื้อขายทำงานผิดปกติ หรือเกิดความเสียหายต่อสถาบันการเงินได้ Circuit Breaker จึงทำหน้าที่เป็น “เบรกเกอร์” ที่ตัดวงจรเพื่อป้องกันความเสียหายที่รุนแรงกว่า
- สร้างความมั่นใจในตลาด: การมีกลไกป้องกันที่ชัดเจนช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจว่าตลาดมีมาตรการในการจัดการกับความผันผวนรุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นในการลงทุนระยะยาว
ทำไมหุ้นขึ้นไม่เบรก: ข้อสงสัยที่นักลงทุนควรรู้
นักลงทุนหลายคนอาจสงสัยว่าทำไม Circuit Breaker ถึงทำงานเฉพาะเมื่อดัชนีตลาดตกลงอย่างรุนแรง แต่ไม่ทำงานเมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เหตุผลหลักคือวัตถุประสงค์ของมาตรการนี้มุ่งเน้นไปที่การป้องกันความเสียหายที่เกิดจากความตื่นตระหนกและการเทขาย
เมื่อดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว มักจะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากการเข้ามาของนักลงทุนใหม่ หรือความคาดหวังเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัท การเพิ่มขึ้นของตลาดมักไม่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อระบบโดยรวมเท่ากับการตกลงอย่างรุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดสภาพคล่อง การผิดนัดชำระหนี้ หรือความเสียหายต่อสถาบันการเงินได้
ดังนั้น Circuit Breaker จึงถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดการกับความผันผวนในทิศทางขาลงโดยเฉพาะ เพื่อให้ตลาดมีเวลาปรับสมดุลและลดผลกระทบทางจิตวิทยาจากการเทขายแบบหัวร้อน
ประวัติศาสตร์ Circuit Breaker หุ้นไทย: ย้อนรอย 6 ครั้งที่เกิดขึ้น
ตั้งแต่ที่มีระบบ circuit breaker ในตลาดหุ้นไทย มีการเปิดใช้งานไปแล้วทั้งหมด 6 ครั้ง แต่ละครั้งล้วนมีเหตุการณ์ที่น่าสนใจ และสะท้อนถึงปัญหาเศรษฐกิจใหญ่ๆ ของโลก
ประวัติ circuit breaker หุ้นไทย เริ่มต้นจากวิกฤตในประเทศ แล้วค่อยๆ กลายเป็นผลพวงจากปัญหาทั่วโลก แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยเชื่อมโยงกับตลาดโลกมากขึ้นเรื่อยๆ
ตาราง: ประวัติ Circuit Breaker หุ้นไทย [Added]
ครั้งที่
|
วันที่
|
เหตุการณ์สำคัญ
|
SET Index ตกลง (ประมาณ)
|
ระยะเวลาหยุดเทรด
|
---|
1
|
19 ธันวาคม 2549
|
วิกฤตมาตรการควบคุมเงินทุน (กันสำรอง 30% เงินร้อน)
|
>15%
|
30 นาที
|
---|
2
|
10 ตุลาคม 2551
|
วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (Lehman Brothers ล้มละลาย)
|
ตามตลาดโลก
|
30 นาที
|
---|
3
|
27 ตุลาคม 2551
|
วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (ปัญหาซับไพรม์ลุกลาม)
|
ตามตลาดโลก
|
30 นาที
|
---|
4
|
12 มีนาคม 2563
|
วิกฤต COVID-19 (ความกังวลการแพร่ระบาด)
|
10% (125 จุด)
|
30 นาที
|
---|
5
|
13 มีนาคม 2563
|
วิกฤต COVID-19 (ดิ่งต่อเนื่อง)
|
10% (111.52 จุด)
|
30 นาที
|
---|
6
|
23 มีนาคม 2563
|
วิกฤต COVID-19 (ใช้กฎ 8% ครั้งแรก)
|
>90 จุด
|
30 นาที
|
---|
ครั้งที่ 1: วิกฤตมาตรการควบคุมเงินทุน (2006)
วันที่ 19 ธันวาคม 2006 เป็นวันที่ circuit breaker ถูกเปิดใช้งานครั้งแรกในประเทศไทย สาเหตุมาจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศมาตรการใหม่ในการควบคุมเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าประเทศ
มาตรการนี้กำหนดให้นักลงทุนต่างชาติต้องฝากเงินประกันร้อยละ 30 ของจำนวนเงินที่นำเข้ามาลงทุน ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติตกใจและเร่งขายหุ้นออกไปเป็นจำนวนมาก
ผลที่ตามมาคือดัชนี SET ตกลงกว่า 15% ในวันเดียว ทำให้ circuit breaker ต้องเปิดใช้งาน และเป็นบทเรียนสำคัญให้เห็นว่านโยบายเศรษฐกิจสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้อย่างรุนแรง
ครั้งที่ 2-3: วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (2008)
ปี 2008 เป็นปีที่หนักหนาสาหัสสำหรับตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรือวิกฤตการเงินโลกครั้งใหญ่ที่เริ่มจากการล้มละลายของธนาคารลีแมน บราเธอร์ส ในสหรัฐฯ
ในเดือนตุลาคม 2008 ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบหนักจากความกลัวที่แพร่กระจายไปทั่วโลก นักลงทุนเทขายทุกสิ่งที่มีความเสี่ยง ทำให้ circuit breaker ถูกเปิดใช้งาน 2 ครั้งในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
การที่ หุ้นตก หนักในช่วงนี้ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจไทยมีปัญหา แต่เป็นผลมาจากความกลัวที่แพร่กระจายจากตลาดหุ้นโลก แสดงให้เห็นว่าในยุคโลกาภิวัตน์ ไม่มีตลาดหุ้นไหนที่สามารถอยู่ได้ตัวคนเดียว
ครั้งที่ 4-6: วิกฤตใหญ่ COVID-19 (2020)
ปี 2020 กลายเป็นปีที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อไวรัส โควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก และทำให้เศรษฐกิจโลกต้องหยุดชะงัก ผลกระทบต่อตลาดหุ้นโลกรุนแรงกว่าวิกฤตการเงินปี 2008 เสียอีก
ในประเทศไทย circuit breaker ถูกเปิดใช้งาน 3 ครั้งในเดือนมีนาคม 2020 ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความกลัวจากการแพร่ระบาดของไวรัสและการปิดเมืองในหลายประเทศ
สิ่งที่น่าสนใจคือในช่วงนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ปรับกฎชั่วคราวลดเกณฑ์การเปิดใช้งาน circuit breaker จาก 10% เหลือ 8% เพื่อให้สามารถควบคุมความผันผวนได้ดีขึ้น
เปรียบเทียบ Circuit Breaker ไทยกับตลาดโลก: เราเหมือนหรือต่างจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และฮ่องกง
การเปรียบเทียบระบบ circuit breaker ของประเทศต่างๆ จะช่วยให้เราเห็นภาพใหญ่ของการบริหารจัดการความเสี่ยงในตลาดหุ้นได้ดีขึ้น แต่ละประเทศมีปรัชญาและวิธีการที่แตกต่างกัน
สหรัฐอเมริกา (NYSE): ระบบ 2 ชั้นของ Market-Wide และ LULD
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีระบบ circuit breaker ที่ซับซ้อนกว่าประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 ระดับคือ Market-Wide Circuit Breaker ที่ดูจากดัชนี S&P 500 และระบบ LULD (Limit Up-Limit Down) ที่ควบคุมหุ้นแต่ละตัว
Market-Wide Circuit Breaker จะเปิดใช้งานเมื่อ S&P 500 ตกลง 7%, 13% และ 20% โดยการหยุดเทรดจะมีระยะเวลาแตกต่างกันและขึ้นอยู่กับเวลาที่เกิดขึ้นด้วย
ส่วนระบบ LULD จะควบคุมหุ้นแต่ละตัวไม่ให้เปลี่ยนแปลงราคาเกินกำหนดในเวลาสั้นๆ ซึ่งช่วยป้องกันการถูกเล่นราคาหรือข้อมูลผิดพลาด
ญี่ปุ่น (Nikkei): เน้นควบคุม Futures และ Daily Price Limit
ประเทศญี่ปุ่นมีแนวทางที่แตกต่างจากประเทศอื่น โดยเน้นไปที่การควบคุม Futures ของดัชนี Nikkei และใช้ระบบ Daily Price Limit สำหรับหุ้นแต่ละตัว
แทนที่จะหยุดเทรดทั้งตลาดเมื่อดัชนีตกลงหนัก ญี่ปุ่นจะควบคุมที่ตัว futures ก่อน และใช้ระบบจำกัดการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นแต่ละตัวในแต่ละวัน
วิธีการนี้ช่วยให้ตลาดยังคงเทรดได้ต่อเนื่อง แต่ความผันผวนจะถูกควบคุมอยู่ในระดับที่จัดการได้
ฮ่องกง (Hang Seng): ระบบ VCM “คูลลิ่งออฟ” แทนการหยุดเทรด
ฮ่องกงใช้แนวทางที่อ่อนนุ่มกว่า ด้วยระบบ VCM (Volatility Control Mechanism) ที่สร้างช่วงเวลา “คูลลิ่งออฟ” สำหรับหุ้นใหญ่ที่ผันผวนมากเกินไป
แทนที่จะหยุดเทรดทั้งตลาด ระบบ VCM จะหยุดเฉพาะหุ้นที่ผันผวนมากเกินไป เป็นเวลา 5 นาที เพื่อให้นักลงทุนได้ประเมินสถานการณ์ใหม่
วิธีการนี้ช่วยให้ตลาดมีสภาพคล่องต่อเนื่อง แต่ยังคงสามารถควบคุมความผันผวนได้ในระดับหนึ่ง
ข้อดี ข้อเสีย: “Magnet Effect” และดาบสองคมของ Circuit Breaker
แม้ว่า circuit breaker จะถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันตลาด แต่ก็มีนักวิชาการหลายคนที่ตั้งข้อสงสัยว่าระบบนี้อาจจะมีผลเสียมากกว่าผลดี
หนึ่งในข้อกังวลหลักคือเรื่อง “Magnet Effect” คือการที่นักลงทุนรู้ว่าหาก SET Index ตกลงใกล้ 10% ตลาดจะหยุดเทรด เขาจึงเร่งขายก่อนที่จะถึงจุดนั้น ทำให้การขายเกิดขึ้นเร็วขึ้นและรุนแรงขึ้น
อีกหนึ่งปัญหาคือ “Contagion Paradox” คือการที่ปัญหาในภาคส่วนหนึ่งกลายเป็นปัญหาของทั้งตลาด เพราะเมื่อ circuit breaker ทำงาน ทุกหุ้นจะหยุดเทรด ไม่ว่าจะมีปัญหาหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนการใช้ circuit breaker เพราะช่วยลดการซื้อขายแบบหัวร้อนและให้เวลานักลงทุนได้ประเมินสถานการณ์ใหม่
กลยุทธ์นักลงทุน: เมื่อตลาดหุ้นชน Circuit Breaker เราต้องทำอย่างไร
สำหรับนักลงทุนทั่วไป การที่ หุ้นตกทำไง เป็นคำถามสำคัญที่ต้องตอบให้ได้ การมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนจะช่วยให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์วิกฤตได้
ก่อนที่จะเกิดขึ้น: เตรียม “กระสุน” ของคุณให้พร้อม
หลักสำคัญของการลงทุนคือการเตรียมพร้อมล่วงหน้า การมี เงินสดสำรอง หรือที่เรียกว่า “dry powder” เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักลงทุนที่ต้องการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้น
นักลงทุนควรมีการกำหนดจุด cut loss ที่ชัดเจนสำหรับหุ้นแต่ละตัว และควรมีการทบทวนพอร์ตการลงทุนเป็นประจำ เพื่อให้รู้ว่าหุ้นไหนที่เราถือมีความแข็งแกร่งพอที่จะผ่านพ้นวิกฤตได้
การศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบริษัทที่ลงทุนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลเมื่อเกิดวิกฤต แทนที่จะปล่อยให้อารมณ์มาครอบงำ
ระหว่างช่วงพัก 30 นาที: เช็กลิสต์เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส
เมื่อ circuit breaker ทำงาน 30 นาทีที่ตลาดหยุดเทรดกลายเป็นเวลาทองคำสำหรับการคิดอย่างมีเหตุผล สิ่งแรกที่ต้องทำคือหายใจลึกๆ และไม่ให้อารมณ์มาครอบงำ
ใช้เวลานี้ในการหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ตลาดตกลงหนัก เป็นปัญหาระยะสั้นหรือระยะยาว มีผลกระทบต่อหุ้นที่เราถืออย่างไร
ทำการทบทวนพอร์ตการลงทุนและเตรียมแผนสำหรับเมื่อตลาดเปิดใหม่ หากเป็นโอกาสที่ดี ควรมีรายการหุ้นที่สนใจซื้อเพิ่มเตรียมไว้ และหากเป็นสัญญาณเตือนให้ขาย ก็ควรมีแผนการขายที่ชัดเจน
หลังตลาดเปิดใหม่: อย่าเพิ่งรีบ “จับหุ้นตก” และมองหาหุ้นคุณภาพ
เมื่อตลาดเปิดเทรดใหม่ มักจะมีความผันผวนสูงมาก นักลงทุนหลายคนจะเพิ่งรีบ “จับหุ้นตก” หวังว่าจะได้ราคาถูก แต่ต้องระวังอย่าให้เป็นการ “จับมีดที่กำลังตก”
การ ลงทุนอย่างมีสติ ในช่วงนี้หมายถึงการยึดตามแผนที่วางไว้ล่วงหน้า ไม่ให้ความโลภหรือความกลัวมาครอบงำการตัดสินใจ
หากตัดสินใจซื้อเพิ่ม ให้มองหาหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดดี และมีแนวโน้มการเติบโตที่ยั่งยืน มากกว่าการไปซื้อหุ้นที่ตกลงมากเพียงเพราะราคาถูกลง
ไม่ใช่แค่ Circuit Breaker: ทำความรู้จักเครื่องมือคุมเสถียรภาพอื่นๆ ของ SET
circuit breaker เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือหลายอย่างที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้ในการรักษาเสถียรภาพของตลาด มีเครื่องมืออื่นๆ อีกมากมายที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้ตลาดมีความเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ
Dynamic Price Band เป็นระบบที่ควบคุมไม่ให้ราคาหุ้นแต่ละตัวเปลี่ยนแปลงเกินกำหนดในช่วงเวลาสั้นๆ ช่วยป้องกันการถูกเล่นราคาหรือข้อมูลผิดพลาด
Uptick Rule เป็นกฎที่ควบคุมการ short selling ไม่ให้เกิดขึ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาล่าสุด ช่วยป้องกันการกดราคาหุ้นลงอย่างมีเจตนา
นอกจากนี้ยังมีการควบคุม High-Frequency Trading (HFT) และกำหนดให้มีการรักษา Cash Balance ที่เหมาะสม เพื่อให้ตลาดมีสภาพคล่องที่ดีแต่ไม่ผันผวนเกินไป
ข้อสรุป
Circuit breaker หุ้นไทย เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยปกป้องตลาดจากความผันผวนที่รุนแรงเกินไป แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเรื่องประสิทธิภาพ แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าระบบนี้ช่วยให้นักลงทุนมีเวลาคิดอย่างมีเหตุผลมากกว่าการตัดสินใจแบบหัวร้อน
สำหรับนักลงทุนรายย่อย การเตรียมพร้อมล่วงหน้าและการมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์วิกฤตได้ แทนที่จะเป็นเหยื่อของความผันผวน
การมี เงินสดสำรอง การศึกษาพื้นฐานบริษัทอย่างต่อเนื่อง และการ ลงทุนอย่างมีสติ คือกุญแจสำคัญในการเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: Circuit breaker จะทำงานในช่วงใดบ้าง?
A: เซอร์กิตเบรกเกอร์ ทำงานตลอดเวลาเทรดปกติของตลาด ทั้งช่วงเช้า (10:00-12:30) และช่วงบ่าย (14:30-16:30) โดยนับเปอร์เซ็นต์จากราคาปิดของวันก่อนหน้า
Q: ถ้าหุ้นตัวเดียวตกลงหนัก จะเปิด circuit breaker ได้ไหม?
A: ไม่ได้ circuit breaker ดูจากดัชนี SET Index เท่านั้น ไม่ได้ดูจากหุ้นแต่ละตัว แต่จะมีระบบ Dynamic Price Band คอยควบคุมหุ้นแต่ละตัวแทน
Q: หลังจาก circuit breaker ทำงาน ราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงไหม?
A: ระหว่างที่หยุดเทรด ราคาจะคงที่ แต่เมื่อตลาดเปิดใหม่ ราคาอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตามกลไลการตลาด
Q: นักลงทุนต่างชาติสามารถเทรดได้ปกติหลัง circuit breaker ไหม?
A: ได้ circuit breaker ไม่ได้จำกัดเฉพาะนักลงทุนกลุมใดกลุ่มหนึ่ง ทุกคนสามารถเทรดได้เหมือนเดิมเมื่อตลาดเปิดใหม่
Q: มีวิธีเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ circuit breaker อย่างไร?
A: ควรมี เงินสดสำรอง ประมาณ 20-30% ของพอร์ต กำหนดจุด cut loss ที่ชัดเจน ศึกษาพื้นฐานบริษัทอย่างสม่ำเสมอ และไม่ตัดสินใจแบบหัวร้อน
Q: ประเทศไทยมีการใช้ circuit breaker บ่อยไหมเมื่อเทียบกับประเทศอื่น?
A: ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้เพียง 6 ครั้ง ซึ่งถือว่าไม่บ่อยมาก แสดงว่าตลาดไทยมีความเสถียรในระดับหนึ่ง