สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังมองหาเครื่องมือการลงทุนที่จัดการง่าย กระจายความเสี่ยงได้ดี และไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่เริ่มต้น “ETF” น่าจะเป็นคำที่คุณเคยได้ยินผ่านมาบ้าง แต่ยังไม่แน่ใจว่า etf คืออะไร ที่แท้จริง และทำไมจึงถูกหยิบยกขึ้นมาบ่อยในแวดวงการลงทุน

เครื่องมือการลงทุนที่ครบเครื่องในหนึ่งเดียว
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจ ETF อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่พื้นฐาน ประโยชน์ ข้อควรพิจารณา วิธีเลือก ไปจนถึงตัวอย่าง ETF ต่างประเทศที่นักลงทุนทั่วโลกเลือกใช้ เสริมด้วยขั้นตอนลงทุนจริงที่ใคร ๆ ก็ทำได้ ทั้งหมดนี้เรียบเรียงใหม่ให้กระชับ น่าอ่าน และเหมาะสมกับนักลงทุนชาวไทยในปี 2025
ETF คืออะไร? ทำความเข้าใจใน 2 นาที
หากต้องการนิยาม ETF (Exchange Traded Fund) ด้วยภาพที่จับต้องได้ ลองนึกถึง “ตะกร้าหุ้น” ใบหนึ่ง ภายในบรรจุหุ้นหรือสินทรัพย์หลายตัวรวมกัน โดยที่กองทุนนั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีหลัก เช่น SET50, S&P 500 หรือ Nasdaq-100
ดังนั้น ETF จึงเป็นการรวมจุดแข็งของ “กองทุนรวม” ที่สามารถกระจายความเสี่ยงได้ กับ ความคล่องตัวของ “หุ้น” ที่สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาเหมือนหุ้นตัวหนึ่ง
มันคือ “กองทุนรวมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์” ทำให้คุณสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ ตลอดช่วงเวลาซื้อขาย ไม่ต้องรอจนสิ้นวันอย่างกองทุนรวมทั่วไป
คำอธิบายนี้ทำให้เห็นว่า ETF ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นเครื่องมือหลักที่เหมาะกับยุคที่ผู้ลงทุนทั้งต้องการทั้งความสะดวกและควบคุมต้นทุนได้ดี

ETF ทำงานอย่างไร?
กลไกของ ETF ตั้งอยู่บนหลักการลอกเลียนผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิง แทนการเก็งกำไรหรือการตั้งใจเอาชนะตลาด ทำให้บริหารจัดการได้ไม่ซับซ้อน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) คือผู้ดูแลหลัก
ขั้นตอนเริ่มต้นคือ บลจ. จะรวบรวมหุ้นหรือสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามสัดส่วนที่ใช้คำนวณดัชนี เช่น กองทุนที่อ้างอิง SET50 ก็ต้องถือหุ้น 50 ตัวนั้นในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับดัชนี
เมื่อกองทุนตั้งตัวได้ บลจ. จะนำหน่วยลงทุนเหล่านี้ไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้นักลงทุนทั่วไปสามารถซื้อขายกันได้
ผลที่ได้คือ คุณสามารถสั่งซื้อ ETF ผ่านแอปพลิเคชันหุ้นได้เหมือนซื้อหุ้นตัวอื่น ราคาจะขึ้นลงตามแรงซื้อขาย แต่ในระยะยาวจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับดัชนีเป้าหมาย

เปรียบเทียบชัดๆ: ETF vs หุ้น vs กองทุนรวม
ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรเข้าใจความแตกต่างระหว่างสินทรัพย์สามรูปแบบนี้อย่างชัดเจน ตารางด้านล่างช่วยให้เห็นภาพรวมได้ตรงจุด
มิติการเปรียบเทียบ | ETF (Exchange Traded Fund) | หุ้น (Stock) | กองทุนรวม (Mutual Fund) |
---|
ลงทุนในอะไร | ตะกร้าสินทรัพย์ (เช่น หุ้นหลายตัว, ตราสารหนี้, ทองคำ) | บริษัทเดียว | ตะกร้าสินทรัพย์ตามนโยบายกองทุน |
การกระจายความเสี่ยง | สูงมาก (ซื้อ 1 หน่วย เหมือนได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์หลายตัว) | ต่ำ (ความเสี่ยงกระจุกตัวอยู่ที่บริษัทเดียว) | สูง (มีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย) |
วิธีการซื้อขาย | ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แบบเรียลไทม์ผ่านบัญชีหุ้น | ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แบบเรียลไทม์ผ่านบัญชีหุ้น | ซื้อขายผ่าน บลจ. หรือตัวแทนขาย ณ ราคา NAV สิ้นวันทำการ |
สภาพคล่อง | สูง สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาที่ตลาดเปิด | สูง (ขึ้นอยู่กับหุ้นแต่ละตัว) | ต่ำกว่า ซื้อขายได้วันละ 1 ครั้ง |
ค่าธรรมเนียม | ต่ำ (โดยเฉพาะค่าบริหารจัดการ) แต่อาจมีค่าคอมมิชชั่นซื้อขาย | มีเฉพาะค่าคอมมิชชั่นซื้อขาย | สูงกว่า ETF (มีทั้งค่าบริหารจัดการ, ค่าธรรมเนียมซื้อ-ขาย) |
ความโปร่งใส | สูงมาก สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ทุกวันทำการ | สูง สามารถติดตามข้อมูลบริษัทได้ตลอดเวลา | น้อยกว่า จะประกาศพอร์ตการลงทุนเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส |
จะเห็นได้ว่า ETF อยู่ตรงกลางระหว่างหุ้นและกองทุนรวม ให้ความยืดหยุ่นสูงกว่ากองทุน แต่ความเสี่ยงต่ำกว่าการซื้อหุ้นรายตัว
ความได้เปรียบของ ETF จึงไม่ใช่เพียงเรื่องค่าใช้จ่าย แต่รวมถึงการควบคุมพฤติกรรมการลงทุนของผู้ลงทุนด้วย คือไม่ต้องไปเลือก “หุ้นดวงดี” หรือ “หุ้นร้อน” ให้เหนื่อย
อย่างไรก็ตาม การซื้อ ETF ก็ยังมี “ราคาทางเทคนิค” ที่อาจเบี่ยงเบนจากมูลค่าสุทธิ (NAV) เล็กน้อย ขึ้นอยู่กับแรงซื้อขาย นี่คือสิ่งที่นักเก็งกำไรบางรายใช้ประโยชน์ แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาว ควรมองข้ามความผันผวนเล็กน้อยนี้
ข้อมูลจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยืนยันว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของ ETF มีแนวโน้มต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไปอย่างชัดเจน สะท้อนถึงประสิทธิภาพของโครงสร้างการบริหารแบบ Passive
ข้อดี-ข้อเสียของ ETF ที่นักลงทุนต้องรู้
ข้อดีของ ETF
- กระจายความเสี่ยงสูง (High Diversification): ซื้อ ETF แค่ตัวเดียว ก็เหมือนซื้อหุ้นหลายสิบ หรือหลายร้อยตัวในคราวเดียว ส่งผลให้ไม่ว่าหุ้นใดตัวหนึ่งจะผันผวนรุนแรงแค่ไหน พอร์ตของคุณก็ไม่เสียหายหนักจากหุ้นตัวเดียว
- ค่าธรรมเนียมต่ำ (Low Cost): ETF ส่วนใหญ่ใช้แนวทางบริหารเชิงรับ (Passive Management) วิ่งตามดัชนีโดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องมีทีมวิเคราะห์ใหญ่ ทำให้ค่าใช้จ่ายต่อปี (Total Expense Ratio) ต่ำกว่ากองทุนรวมที่จัดการเชิงรุกมาก
- ซื้อขายสะดวก สภาพคล่องสูง (High Liquidity): ซื้อหรือขายเมื่อไหร่ก็ได้ในช่วงเวลาทำการ ไม่ต้องรอถึงเย็นเหมือนกองทุนรวม ช่วยให้ปรับพอร์ตได้ทันสถานการณ์
- โปร่งใส (Transparency): บลจ. ต้องทยอยเปิดเผยรายการถือครองสินทรัพย์ของ ETF ทุกวันทำการ ทำให้รู้ว่าเงินไปอยู่ที่ใด ไม่ต้องเดาใจผู้จัดการกองทุน
ข้อเสียของ ETF
- มีความผันผวนตามตลาด (Market Volatility): หากทั้งตลาดหดตัว หรือดัชนีอ้างอิงปรับตัวลง ETF ก็ต้องลงตาม ไม่มีทางหนีความเสี่ยงของระบบได้โดยสมบูรณ์
- อาจมีส่วนต่างของราคากับมูลค่าสินทรัพย์ (Tracking Error): ผลตอบแทนของ ETF อาจ “เบี่ยงเบน” จากดัชนีอ้างอิงเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับค่าธรรมเนียม ความล่าช้าในการปรับพอร์ต หรือปัจจัยเทคนิค เช่น กรณีที่ดัชนีใช้หุ้นที่ซื้อขายไม่ได้ในตลาด
- ค่าธรรมเนียมแฝง (Hidden Costs): แม้ค่าบริหารต่ำ แต่การซื้อขายบ่อย ๆ จะเจอค่าคอมมิชชั่นจากโบรกเกอร์ซ้ำ ๆ หากซื้อรายเดือนซ้ำๆ อาจเพิ่มต้นทุนโดยรวม ควรเลือกโบรกเกอร์ที่คิดค่าคอมต่ำ หรือมีแพ็กเกจไม่กินค่าธรรมเนียม

เปิดโลก ETF ยอดนิยม: มีประเภทไหนบ้าง?
ETF ไม่ได้มีแค่การลงทุนในหุ้นไทย แต่มีการออกแบบครอบคลุมหลายกลุ่มสินทรัพย์ ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดต่าง ๆ ได้หลากหลาย แบ่งตามประเภทหลัก ๆ ได้ดังนี้
- ETF อ้างอิงดัชนีหุ้นในประเทศ: เช่น TDEX ที่ติดตาม SET50 หรือ THDEX ที่เน้นหุ้นปันผลสูงใน SET 30 เป็นทางเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยแบบง่าย ๆ
- ETF อ้างอิงดัชนีหุ้นต่างประเทศ: เปิดโอกาสให้ลงทุนในบริษัทระดับโลกผ่านตลาดไทย ไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีต่างประเทศก็เริ่มได้
- ETF อ้างอิงตราสารหนี้: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ ด้วยการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้ภาคเอกชน
- ETF อ้างอิงสินค้าโภคภัณฑ์: ที่ได้รับความนิยมสูงคือ ETF ทองคำ ทำให้ลงทุนในราคาทองโดยไม่ต้องจัดเก็บทองแท่ง ลดต้นทุนการขนส่งและความเสี่ยงเรื่องปลอดภัย
เจาะลึก ETF ต่างประเทศยอดนิยมระดับโลก
การเข้าถึง ETF ต่างประเทศ โดยเฉพาะที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้กลายเป็นทางลัดของนักลงทุนไทย ที่ต้องการกระจายพอร์ตไปยังเศรษฐกิจชั้นนำ
เริ่มต้นที่ IVV และ VOO — กองทุนที่ติดตามดัชนี S&P 500 ซึ่งรวมบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ 500 แห่ง เช่น Apple, Microsoft, Amazon การลงทุนใน IVV หรือ VOO จึงเหมือนซื้อ “ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ” โดยตรง ค่าใช้จ่ายต่อปีเพียง 0.03% ถือว่าต่ำมาก
ต่อมาคือ QQQ — ETF ที่ติดตามดัชนี Nasdaq-100 ซึ่งเน้นเทคโนโลยี ดิจิทัล และนวัตกรรม โดยไม่รวมสถาบันการเงิน ทำให้คุณได้ exposure ตรงกับบริษัทชั้นนำอย่าง NVIDIA, Tesla, Google ถือเป็นตัวเลือกหลักสำหรับคนที่เชื่อมั่นในเทคโนโลยี
ข้อได้เปรียบของ ETF สหรัฐฯ คือสภาพคล่องสูง เข้า-ออกง่าย และมีข้อมูลโปร่งใส ทำให้ถือได้นานหลายสิบปีโดยไม่ต้องกังวลเรื่อง “การจัดการ” ผิดพลาด

3 ขั้นตอนง่ายๆ ในการเริ่มลงทุน ETF
ขั้นตอนที่ 1: เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์
การลงทุนใน ETF ไม่ว่าจะเป็นไทยหรือต่างประเทศ ต้องใช้บัญชีหลักทรัพย์ (หรือที่เรียกว่า “พอร์ตหุ้น”) เช่นเดียวกับการซื้อหุ้นทั่วไป
ปัจจุบันหลายโบรกเกอร์ เช่น บัวหลวง ซีไอเอ็มบี สยามทิพย์ รองรับการซื้อขายทั้ง ETF ไทยและต่างประเทศ คุณสามารถ SCBS ได้ผ่านระบบออนไลน์ภายในไม่กี่นาที ใช้เพียงบัตรประชาชนและบัญชีธนาคาร
หลังเปิดบัญชี ควรตรวจสอบว่าโบรกเกอร์นั้นรองรับการซื้อขายหุ้นต่างประเทศหรือไม่ และมีความเข้าใจว่าจะต้องโอนเงินเป็นสกุล USD หากซื้อ ETF สหรัฐฯ
ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีแอปใช้งานง่าย ค่าคอมต่ำ และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ ETF
ขั้นตอนที่ 2: เลือก ETF ที่ใช่สำหรับเรา
การเลือก ETF ควรเริ่มจาก “เป้าหมายการลงทุน” และ “ระดับความเสี่ยงที่รับได้” เช่น คุณต้องการเติบโตในระยะยาว หรือต้องการรายได้ประจำ?
พิจารณาจาก
- ดัชนีอ้างอิง: เชื่อมั่นตลาดใด? ถ้าคิดว่าโลกจะเติบโตทางเทคโนโลยี อาจจะเลือก QQQ; ถ้าต้องการความสมดุล ให้ลองมอง S&P 500 แทน
- ค่าธรรมเนียม: เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายรวม (TER) ระหว่างกองทุนที่ติดตามดัชนีเดียวกัน โดยเลือกตัวที่ค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดเพื่อผลตอบแทนระยะยาว
- สภาพคล่อง: ดูปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Volume) หากต่ำเกินไปอาจมี Spread หรือค่าส่วนต่างระหว่างราคา Bid กับ Ask สูง
ขั้นตอนที่ 3: ส่งคำสั่งซื้อขายผ่านแอปพลิเคชัน
เมื่อตัดสินใจแล้ว ให้ล็อกอินเข้าแอปพลิเคชันของโบรกเกอร์ จากนั้นค้นหา “สัญลักษณ์” (Ticker) ของ ETF นั้น เช่น กรอก “QQQ” หรือ “TDEX”
ระบุจำนวนหน่วยที่ต้องการ แล้วตั้งราคา — หากต้องการซื้อทันที อาจเลือกราคา “ตลาด” (Market Order) หรือจะตั้งราคา “ลิมิต” (Limit Order) เพื่อควบคุมต้นทุนก็ได้
ยืนยันคำสั่ง และรอให้คำสั่งสำเร็จภายในไม่กี่วินาที ขึ้นอยู่กับตลาด
แนะนำให้เริ่มจากจำนวนไม่มาก ทดลองระบบซื้อ-ขายก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มเงินในระยะยาวผ่าน “การลงทุนรายเดือน” (DCA)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ETF (FAQ)
กองทุน ETF เหมาะกับใคร?
เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงโดยไม่ต้องศึกษาหุ้นทีละตัว รวมถึงผู้ที่ไม่มีเวลาตามตลาดประจำ แต่อยากได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับเศรษฐกิจโดยรวม
ข้อเสียของ ETF มีอะไรบ้าง?
ต้องเผชิญความผันผวนของตลาดเหมือนหุ้น อาจเกิด Tracking Error จากค่าใช้จ่ายและการบริหารเชิงเทคนิค และหากซื้อขายบ่อยจะมีค่าคอมมิชชั่นสะสม
กองทุน ETF ถือกี่ปี?
ไม่มีข้อกำหนดระยะเวลาบังคับ สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการเหมือนหุ้น นักลงทุนจำนวนมากเลือกถือยาวหลายปีเพื่อรับผลตอบแทนตามการเติบโตของเศรษฐกิจ
ETF กับ หุ้น ต่างกันอย่างไร?
ETF คือการลงทุนในตะกร้าสินทรัพย์หลายตัว (เช่น หุ้นหลายสิบตัวในดัชนี) จึงกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า ขณะที่หุ้นคือการลงทุนในบริษัทเดียว ความเสี่ยงกระจุกตัวสูงกว่า
ETF กับ กองทุนรวม ต่างกันอย่างไร?
ETF ซื้อขายแบบเรียลไทม์ในตลาดหุ้นและมีค่าบริหารจัดการต่ำกว่ามาก ขณะที่กองทุนรวมซื้อขายที่ราคา NAV สิ้นวันและมักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า อ้างอิงข้อมูลจาก Money Buffalo ที่ชี้ว่าโครงสร้าง ETF ช่วยลดต้นทุนระยะยาวได้ชัดเจน