เมื่อพูดถึงการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือภาพรวมเศรษฐกิจโลก ชื่อของ “ดาวโจนส์” มักเป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในใจนักลงทุนและสื่อมวลชนทั่วโลก แต่สำหรับประชาชนทั่วไป หรือแม้แต่นักลงทุนมือใหม่ในประเทศไทย อาจยังตั้งคำถามว่า ดาวโจนส์ คืออะไรกันแน่ ทำไมข่าวเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับการขึ้นหรือลงของตัวเลขนี้จึงสามารถส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดได้ทั่วโลก และที่สำคัญที่สุด — เราในฐานะนักลงทุนต่างชาติจะสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมกับโอกาสในการลงทุนจากดัชนีระดับตำนานนี้ได้อย่างไร

ต้นกำเนิดของดัชนีระดับตำนาน
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงทุกมุมของ
ดัชนีดาวโจนส์ ตั้งแต่ความหมายเบื้องต้น ส่วนประกอบของดัชนี กลไกการคำนวณที่ไม่เหมือนใคร ไปจนถึงการวิเคราะห์ความแตกต่างจากดัชนีหลักอื่นๆ อย่าง S&P 500 และ Nasdaq จากนั้นเราจะปิดท้ายด้วยแนวทางปฏิบัติสำหรับนักลงทุนชาวไทยที่ต้องการขยายพอร์ตการลงทุนไปยังตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างมีระบบ ปลอดภัย และเข้าถึงได้จริง

ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones) คืออะไร?
คำว่า “ดัชนีดาวโจนส์” ที่เรามักได้ยินในข่าว มีชื่อเต็มว่า ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average – DJIA) เป็นหนึ่งในดัชนีหุ้นที่เก่าแก่และได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดในโลก มันถูกจัดทำขึ้นเพื่อวัดผลตอบแทนรวมของบริษัทชั้นนำจำนวน 30 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น New York Stock Exchange (NYSE) หรือ Nasdaqดัชนีนี้มีต้นกำเนิดมาจากแนวคิดของ ชาร์ลส์ ดาว (Charles Dow) และ เอ็ดเวิร์ด โจนส์ (Edward Jones) นักหนังสือพิมพ์เจ้าของ The Wall Street Journal ที่เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1896 โดยจุดประสงค์คือการสร้างมาตรวัดที่สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยอายุกว่า 125 ปี DJIA จึงไม่เพียงแค่เป็นตัวเลขผลลัพธ์รายวัน แต่กลายเป็น “สัญลักษณ์” ของเสถียรภาพและความเชื่อมั่นในตลาดการเงินโลก เมื่อสื่อทั่วไปรายงานว่า “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตัวสูงขึ้น” บ่อยครั้งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของดัชนีนี้หากคุณต้องการศึกษาข้อมูลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับดัชนีนี้ สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์
S&P Dow Jones Indices ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลดัชนีตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นไป โดยมีหน้าที่ควบคุมนโยบายการคำนวณ รวมถึงการปรับเปลี่ยนบริษัทที่มีสิทธิ์อยู่ในดัชนี

บริษัทใดบ้างที่อยู่ในดัชนีดาวโจนส์?
กุญแจสำคัญของ DJIA คือ “บริษัท 30 แห่ง” ที่เป็นสมาชิกของดัชนี ซึ่งล้วนเป็น หุ้นบลูชิพ (Blue-chip Stocks) — คำที่ใช้เรียกบริษัทขนาดใหญ่ มีเสถียรภาพทางการเงินสูง มีประวัติการดำเนินงานยาวนาน และมักจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ พวกเขายังเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมและรู้จักกันดีในแวดวงผู้บริโภคทั่วโลกแม้ชื่อจะมีคำว่า “อุตสาหกรรม” แต่ในความเป็นจริง บริษัทในดัชนีไม่ได้จำกัดแค่สายการผลิตหรือการขนส่งเท่านั้น กลับมีสัดส่วนของธุรกิจหลากหลาย ตั้งแต่เทคโนโลยี การเงิน การบริการสุขภาพ ไปจนถึงร้านค้าปลีกรายใหญ่ ทำให้สามารถสะท้อนภาพรวมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในยุคปัจจุบันตัวอย่างของบริษัทชั้นนำที่มีบทบาทในดัชนี ณ ปีล่าสุด:
- Apple Inc. (AAPL)
- Microsoft Corporation (MSFT)
- The Coca-Cola Company (KO)
- Visa Inc. (V)
- Johnson & Johnson (JNJ)
- Walmart Inc. (WMT)
- The Goldman Sachs Group, Inc. (GS)
สำคัญที่ควรทราบคือ รายชื่อนี้ไม่ได้ถูกยึดตายตัว คณะกรรมการผู้ดูแลมีการทบทวนและเปลี่ยนแปลงบริษัทในดัชนีเป็นระยะ เมื่อบริษัทใดเริ่มไม่สะท้อนแนวโน้มทางเศรษฐกิจอีกต่อไป เช่น การถอด Cisco หรือ Intel และเพิ่ม NVIDIA หรือ Apple ในช่วงหลัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าดัชนีพยายาม “อัปเดต” ตัวเองอยู่เสมอเพื่อคงความน่าเชื่อถือคุณสามารถตรวจสอบรายชื่อล่าสุดได้จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น
CNN Business หรือเว็บไซต์ของ S&P Dow Jones Indices โดยข้อมูลเหล่านี้ถูกอัปเดตทันทีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง

กลไกการคำนวณ: วิธีราคาถ่วงน้ำหนัก (Price-Weighted)
จุดที่ทำให้ดัชนีดาวโจนส์แตกต่างจากดัชนีส่วนใหญ่ในปัจจุบันคือวิธีการคำนวณที่เรียกว่า “การถ่วงน้ำหนักด้วยราคา” หรือ Price-Weighted ซึ่งหมายความว่า “หุ้นที่มีราคาต่อหน่วยสูงกว่า” จะมีอิทธิพลต่อดัชนียิ่งกว่า ไม่ว่าบริษัทนั้นจะใหญ่หรือเล็กก็ตาม
ตัวอย่างเพื่อความเข้าใจ:สมมติว่าดัชนีมีเพียง 2 ตัวหุ้น:
- หุ้น X: ราคา $160
- หุ้น Y: ราคา $40
ถ้าหุ้น X เพิ่มขึ้น $2 และหุ้น Y เพิ่มขึ้น $2 การขยับขึ้น “เท่ากัน” ในมูลค่า 2 ดอลลาร์จะส่งผลต่อดัชนี “เท่ากัน” แม้หุ้น Y จะเพิ่ม 5% ในขณะที่หุ้น X เพิ่มแค่ 1.25% เท่านั้นสิ่งนี้หมายความว่า บริษัทที่หุ้นราคาสูงอย่าง UnitedHealth Group (UHG) หรือ Goldman Sachs อาจมีอิทธิพลมากกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon หรือ Microsoft ที่แม้จะมีมูลค่าตลาดใหญ่กว่ามาก แต่ราคาหุ้นละหน่วยอาจไม่เท่ากับบางบริษัทวิธีการนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย:
- ข้อดี: ใช้สูตรง่าย และสามารถคำนวณได้ด้วยเครื่องมือพื้นฐานในยุคที่ยังไม่มีคอมพิวเตอร์
- ข้อเสีย: อาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท และทำให้เกิดการครอบงำของหุ้นราคาสูง ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมตลาดผิดเพี้ยนอย่างมีนัยสำคัญ
ในทางตรงกันข้าม ดัชนีอย่าง
S&P 500 คืออะไร ใช้วิธี “ถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตลาด (Market Cap-Weighted)” ซึ่งพิจารณาจากขนาดของบริษัท เป็นที่ยอมรับในแวดวงวิชาการว่า “สมเหตุสมผล” มากกว่า เพราะสะท้อนแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจจริงได้ดีกว่า
เหตุผลที่ดัชนีดาวโจนส์ยังคงมีอิทธิพลสูง
แม้จะมีข้อถกเถียงในการคำนวณ แต่ DJIA ยังคงมีสถานะพิเศษในตลาดการเงินโลก เพราะเหตุผลสำคัญ 3 ประการ:
- ตัวชี้วัดเศรษฐกิจ: บริษัท 30 แห่งนี้มีธุรกิจที่ส่งผลโดยตรงต่อการจ้างงาน การบริโภค และอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ การขึ้นลงของดัชนีจึงถือเป็นสัญญาณนำทาง (Leading Indicator) ด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ
- ตัวถังอารมณ์ตลาด: สำหรับสาธารณชนทั่วไป และแม้แต่สื่อสังคมออนไลน์ การแจ้งว่า “ดาวโจนส์ปิดบวก” หรือ “ร่วงหนัก” เป็นวิธีสื่อสารอารมณ์ของตลาดได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด
- ผลพวงต่อตลาดโลก: เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงราคาที่สำคัญในตลาดหุ้นจะส่งผลต่อเนื่อง (Spillover Effect) ไปยังตลาดหลักทรัพย์เอเชีย เช่น SET ในประเทศไทย นิกเกอิของญี่ปุ่น หรือหุ้นฮ่องกง
เปรียบเทียบดัชนีหลัก США: DJIA vs S&P 500 vs Nasdaq
เพื่อให้เห็นภาพต่างกันอย่างชัดเจน ลองดูตารางเปรียบเทียบ 3 ดัชนีสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ:
ตารางเปรียบเทียบดัชนีหลักของสหรัฐฯ
ลักษณะ | DJIA (ดาวโจนส์) | S&P 500 | Nasdaq Composite |
---|
จำนวนบริษัท | 30 บริษัท | ประมาณ 500 บริษัท | กว่า 3,000 บริษัท |
ลักษณะบริษัท | บริษัทใหญ่ ที่มั่นคง และเป็นผู้นำตลาด | ครอบคลุมทุกองค์ประกอบเศรษฐกิจ ตั้งแต่พลังงาน สาธารณูปโภค ถึงเทคโนโลยี | เน้นบริษัทกลุ่มเทคโนโลยี นวัตกรรม และการเติบโตสูง (Growth Stocks) |
วิธีคำนวณ | ถ่วงน้ำหนักตามราคา (Price-Weighted) | ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Cap-Weighted) | ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Cap-Weighted) |
ใช้เป็นตัวแทน | หัวกะทิของตลาด บริษัทหลัก 30 แห่ง | ภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ครอบคลุมและแม่นยำที่สุด | เทรนด์นวัตกรรม ดิจิทัล และเมกะเทรนด์ในอนาคต |
โดยสรุป:
- DJIA: สมบูรณ์แบบสำหรับคนที่ชอบความเรียบง่ายของบริษัทชั้นนำ
- S&P 500: ตัวเลือกสำหรับนักลงทุนรายย่อย ที่ต้องการกระจายความเสี่ยง
- Nasdaq: สำหรับกลุ่มที่มองหามูลค่าเติบโตจากบริษัทเทคโนโลยี

นักลงทุนไทยจะลงทุนในดาวโจนส์ได้อย่างไร?
แม้คุณจะไม่สามารถซื้อ “ดัชนี” โดยตรงได้ แต่สามารถลงทุนในตัวแทนที่ติดตามผลตอบแทนของ DJIA ได้ 3 วิธีหลัก ซึ่งเหมาะกับระดับประสบการณ์และงบประมาณที่แตกต่างกัน
1. กองทุนรวมในประเทศ (Mutual Funds)
ทางเลือกที่เหมาะกับมือใหม่คือการซื้อกองทุนรวมในประเทศไทยที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกองทุนชนิด Feeder Fund ที่ลงทุนในกองทุนต่างประเทศที่เลียนแบบผลตอบแทนของ DJIAคุณสามารถซื้อได้ผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร หรือผู้ให้บริการกองทุน เช่น SCBAM, Bangkok Fund หรือ TMBAM ข้อดีคือไม่ต้องเปิดบัญชีต่างประเทศ เริ่มต้นเพียงหลักพันบาท และมีผู้จัดการกองทุนช่วยบริหาร แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ที่อาจสูงกว่า
2. ETF: กองทุนซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์
หากคุณต้องการควบคุมการลงทุนเอง แนะนำให้เลือกลงทุนผ่าน
SPDR Dow Jones Industrial Average ETF Trust (DIA) ซึ่งเป็น ETF ที่จัดทำขึ้นมาเพื่อติดตามผลตอบแทนของ DJIA อย่างเป็นทางการคุณสามารถเปิดบัญชีซื้อขายต่างประเทศผ่านโบรกเกอร์ในไทยที่ให้บริการ เช่น หยวนต้า, หลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกร หรือบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำที่รองรับการซื้อ ETF ต่างประเทศ และซื้อขาย DIA ได้เหมือนหุ้นปกติข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนนี้ เช่น ค่าธรรมเนียม, ประวัติผลตอบแทน, และองค์ประกอบการลงทุน สามารถดูได้จากเว็บไซต์ของ
State Street Global Advisors ซึ่งเป็นผู้จัดตั้งข้อดีของ ETF คือค่าธรรมเนียมต่ำ ความโปร่งใสสูง ซื้อขายได้ตลอดเวลาที่ตลาดเปิด และสามารถลงทุนได้ขั้นต่ำเพียง 1 หน่วย
3. สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFDs)
สำหรับนักเก็งกำไรหรือผู้มีประสบการณ์ วิธีนี้ให้คุณ “เก็งกำไร” จากการเคลื่อนไหวของดัชนีโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์ CFDs อนุญาตให้คุณลงทุนทั้งขาขึ้นและขาลง และบางโบรกเกอร์ยังเปิดตลาด 24 ชั่วโมง (ในความเป็นจริงคือตลาด CFD เอง)อย่างไรก็ตาม CFD มีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่ง เพราะใช้
Leverage (อัตราทด) สูง ทำให้ทั้งกำไรและขาดทุนเกิดขึ้นแบบทวีคูณ หากคุณพลาดคำสั่งหรือตลาดผันผวนรุนแรง อาจสูญเสียเงินทุนได้มากกว่าที่ลงทุนไว้ดังนั้นวิธีนี้ควรใช้สำหรับนักลงทุนที่เข้าใจความเสี่ยงอย่างลึกซึ้ง และมีกฎการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่ชัดเจน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับดัชนีดาวโจนส์ (FAQ)
ดาวโจนส์คืออะไร?
ดาวโจนส์หรือที่รู้จักอย่างเป็นทางการว่า ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average – DJIA) เป็นดัชนีหุ้นที่ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทใหญ่ระดับแนวหน้า 30 แห่งในสหรัฐฯ ใช้กว้างขวางเพื่อบ่งชี้ทิศทางเศรษฐกิจอเมริกาและบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก
ดัชนีดาวโจนส์คำนวณอย่างไร?
ดัชนีนี้ใช้วิธี \”ถ่วงน้ำหนักด้วยราคา\” (Price-Weighted) โดยนำราคาหุ้นของบริษัททั้ง 30 แห่งมารวมกัน แล้วหารด้วย \”ตัวหารพิเศษ\” (Dow Divisor) ซึ่งถูกปรับอยู่เสมอเพื่อรองรับเหตุการณ์อย่างแตกพาร์หรือเปลี่ยนองค์ประกอบดัชนี จึงทำให้หุ้นที่มีราคาสูงมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่า
ลงทุนในดัชนีดาวโจนส์ทำอย่างไรได้บ้าง?
หลัก ๆ มี 3 วิธี: (1) กองทุนรวมในประเทศที่ลงทุนหุ้นสหรัฐฯ (2) ซื้อ ETF อย่าง SPDR DIA ผ่านบัญชีต่างประเทศ (3) เทรด CFDs เพื่อเก็งกำไรตามความผันผวน โดยควรเลือกตามระดับความเสี่ยงและประสบการณ์ของตน
ดาวโจนส์ต่างจาก S&P 500 อย่างไร?
DJIA มีเพียง 30 บริษัทและคำนวณแบบ Price-Weighted ขณะที่ S&P 500 มีราว 500 บริษัทและคำนวณแบบ Market Cap-Weighted จึงสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจได้ครอบคลุมกว่า
ลงทุนในดัชนีดาวโจนส์ดีไหม?
DJIA เหมาะกับการกระจายความเสี่ยงต่างประเทศผ่านบริษัทชั้นนำที่มั่นคง แต่ยังเผชิญความผันผวนจากปัจจัยมหภาค เช่น นโยบายดอกเบี้ยของเฟด เงินเฟ้อ หรือภูมิรัฐศาสตร์ จึงควรลงทุนอย่างรอบคอบ