สำหรับใครที่เพิ่งเข้ามาในโลกของการเทรด ไม่ว่าจะเป็น Forex, Crypto หรือ CFD คงเคยได้ยินคำว่า “Leverage” หรือ “เลเวอเรจ” กันมาบ้างแล้ว แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจจริงๆ ว่า leverage คือ อะไร และมันสำคัญกับการเทรดของเรายังไง
เลเวอเรจ หรือที่ในภาษาไทยเรียกว่า “อัตราทด” เปรียบเสมือนการ “ยืมเงิน” จากโบรกเกอร์ เพื่อให้เราสามารถเปิดสถานะที่มีขนาดใหญ่กว่าเงินทุนที่เรามีจริง ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในตลาด Forex และ CFD (Investopedia: Leverage Definition) ลองนึกภาพการใช้ “คานงัด” ที่ช่วยให้เราใช้แรงเพียงเล็กน้อย (เงินทุนของเรา) เพื่อยกวัตถุที่มีน้ำหนักมาก (มูลค่าการลงทุนที่ใหญ่ขึ้น)
ง่ายๆ ก็คือ ถ้าเรามีเงิน 1,000 บาท แต่ใช้เลเวอเรจ 1:100 เราก็สามารถเทรดได้เท่ากับว่าเรามีเงิน 100,000 บาท!
แต่อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะ ความหมายของ leverage ยังรวมถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นไปด้วย กำไรที่เพิ่มขึ้นมาพร้อมกับการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่าเดิม ดังนั้นการเข้าใจหลักการทำงานของเลเวอเรจจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน
เลเวอเรจทำงานอย่างไรในตลาด Forex
การทำความเข้าใจอัตราส่วนเลเวอเรจ
การใช้ leverage ในการเทรด เริ่มต้นจากการเข้าใจอัตราส่วนที่โบรกเกอร์เสนอให้ เช่น 1:50, 1:100, 1:200 หรือแม้กระทั่ง 1:500 ตัวเลขหลังเครื่องหมายโคลอนนี้แสดงให้เห็นว่าเงินทุน 1 บาทของเรา สามารถควบคุมการเทรดได้มากเท่าไหร่
ตัวอย่างเช่น เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่า เงิน 1,000 บาทของเรา สามารถควบคุมตำแหน่งการเทรดมูลค่า 100,000 บาทได้ การคำนวณนี้เป็นพื้นฐานของ วิธีคำนวณ leverage ที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องเข้าใจ
เมื่อเราเปิดออร์เดอร์ โบรกเกอร์จะขอให้เรามี “Margin” หรือเงินมาร์จิ้นในบัญชี ซึ่งเป็นเงินประกันที่ต้องวางไว้ เงินมาร์จิ้นนี้จะถูกคำนวณจากขนาดของออร์เดอร์หารด้วยอัตราเลเวอเรจ
ตัวอย่าง: การใช้เลเวอเรจในการเปิดเทรด
มาดูตัวอย่างการใช้ leverage ในสถานการณ์จริงดีกว่า สมมติเราต้องการเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD จำนวน 1 standard lot (100,000 หน่วย)
หากไม่มีเลเวอเรจ เราต้องมีเงินทุน 100,000 ดอลลาร์ในบัญชี แต่หากใช้เลเวอเรจ 1:100 เราต้องมีเงินมาร์จิ้นเพียง 1,000 ดอลลาร์เท่านั้น!
การคำนวณมาร์จิ้น = ขนาดออร์เดอร์ ÷ เลเวอเรจ
= 100,000 USD ÷ 100
= 1,000 USD
ถ้าราคา EUR/USD เคลื่อนไหวขึ้น 100 pips (0.0100) กำไรของเราจะเท่ากับ 1,000 ดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 100% ของเงินมาร์จิ้นที่เราวางไว้ นี่คือพลังของเลเวอเรจที่ช่วยขยายผลตอบแทน!
ในแพลตฟอร์มการเทรดอย่าง MT5 ตัวเลขเหล่านี้จะถูกคำนวณและแสดงผลโดยอัตโนมัติ รวมถึง Balance (เงินจริงในบัญชี), Equity (Balance +/- กำไร/ขาดทุนลอยตัว), Used Margin (เงินที่ใช้รักษาสถานะ), Free Margin (เงินที่เหลือสำหรับเปิดออร์เดอร์ใหม่) และ Margin Level (Equity เป็นเปอร์เซ็นต์ของ Total Margin)
ประโยชน์ของการใช้เลเวอเรจ
ลดความต้องการเงินทุนในการเทรด
ประโยชน์ของ leverage ข้อแรกที่เห็นได้ชัดคือ การลดความต้องการเงินทุนในการเข้าถึงตลาด เทรดเดอร์ที่มีเงินทุนจำกัดสามารถเข้ามาเทรดในตลาดขนาดใหญ่ได้ โดยไม่ต้องมีเงินหลักแสนหรือหลักล้าน
ในอดีต การเทรดฟอเร็กซ์เป็นสิทธิพิเศษของสถาบันการเงินและนักลงทุนรายใหญ่เท่านั้น แต่เลเวอเรจทำให้คนธรรมดาสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ ด้วยเงินทุนเริ่มต้นเพียงไม่กี่พันบาท
การมีเงินทุนน้อยลงยังหมายถึงการกระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้น เทรดเดอร์สามารถแบ่งเงินทุนไปเทรดหลายๆ คู่สกุลเงิน หรือหลายๆ ตลาดได้ แทนที่จะเอาเงินทั้งหมดไปวางในออร์เดอร์เดียว
เพิ่มการเข้าถึงตลาดในวงกว้าง
Leverage คือ ประตูที่เปิดโอกาสให้เทรดเดอร์เข้าถึงตลาดหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น Forex ที่มีความเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ pips แต่ด้วยเลเวอเรจทำให้การเคลื่อนไหวเล็กๆ นี้สามารถสร้างผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญได้
นอกจากนี้ยังช่วยให้เทรดเดอร์สามารถใช้กลยุทธ์การเทรดที่หลากหลายมากขึ้น เช่น Scalping ที่ต้องการกำไรเพียงไม่กี่ pips ต่อออร์เดอร์ หรือการ Hedge ที่ต้องการเปิดหลายตำแหน่งพร้อมกัน
การมีเลเวอเรจยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาด เพราะมีผู้เข้าร่วมการซื้อขายมากขึ้น ส่งผลให้สเปรดแคบลง และการดำเนินการออร์เดอร์รวดเร็วขึ้น
ประเภทตลาด
|
เลเวอเรจทั่วไป
|
เงินทุนขั้นต่ำ
|
---|
Forex
|
1:50 – 1:500
|
$100-500
|
---|
Crypto
|
1:10 – 1:100
|
$50-200
|
---|
CFD หุ้น
|
1:10 – 1:20
|
$100-300
|
---|
สินค้าโภคภัณฑ์
|
1:20 – 1:100
|
$200-500
|
---|
ความเสี่ยงของเลเวอเรจและการจัดการ
Margin Call และ Stop Out คืออะไร?
ความเสี่ยงของ leverage ที่ร้ายแรงที่สุดคือ การสูญเสียเงินทุนอย่างรวดเร็ว เมื่อตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามกับการคาดการณ์ของเรา ผลขาดทุนจะถูกขยายตามอัตราเลเวอเรจที่เราใช้เช่นกัน
Margin Call เกิดขึ้นเมื่อเงินในบัญชีของเรามีมูลค่าลดลงจนเข้าใกล้เงินมาร์จิ้นที่ต้องวางไว้ โบรกเกอร์จะแจ้งเตือนให้เราเติมเงินเข้าบัญชี หรือปิดออร์เดอร์บางส่วน
Stop Out คือขั้นตอนที่โบรกเกอร์จะปิดออร์เดอร์ของเราโดยอัตโนมัติ เมื่อ Margin Level ลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (มักจะอยู่ที่ 20-50%) การ Stop Out นี้เป็นการป้องกันไม่ให้เราติดลบมากกว่าเงินที่มีในบัญชี
Leverage กับ margin จึงมีความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออก ยิ่งใช้เลเวอเรจสูง ยิ่งต้องระวังการจัดการเงินมาร์จิ้นให้ดี
ความเสี่ยงอื่นๆ ที่ต้องระวัง
- ความผันผวนของตลาด: การเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและคาดเดาไม่ได้ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของตลาดที่มีเลเวอเรจ (เช่น Forex หรือ TFEX) สามารถทำให้การขาดทุนแย่ลงอย่างรวดเร็วเมื่อใช้เลเวอเรจ 1
- ผลกระทบทางจิตวิทยา: เลเวอเรจที่สูงอาจนำไปสู่ความเครียด ความวิตกกังวล และการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่น ซึ่งสามารถนำไปสู่การขาดทุนได้มากขึ้น 6
- ค่าธรรมเนียมดอกเบี้ย: โบรกเกอร์บางรายอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดอกเบี้ยจากเงินทุนที่ยืมมา ซึ่งเพิ่มต้นทุนโดยรวมของการซื้อขายด้วยเลเวอเรจ
เทคนิคการจัดการความเสี่ยงจากเลเวอเรจ
การใช้เลเวอเรจอย่างปลอดภัยต้องเริ่มจากการตั้งคำถามกับตัวเองว่า “leverage สูง ดีไหม” คำตอบคือไม่เสมอไป เลเวอเรจสูงเหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์และมีระบบการจัดการความเสี่ยงที่ดี
กฎข้อแรกของการจัดการความเสี่ยงคือ ไม่ควรใช้เลเวอเรจเต็มที่ ถ้าโบรกเกอร์เสนอ 1:500 ไม่จำเป็นต้องใช้หมด แนะนำให้เริ่มที่ 1:50 หรือ 1:100 เพื่อให้มีห้องหายใจในการเทรด
การตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น โดยไม่ควรเสี่ยงมากกว่า 2% ของเงินทุนต่อออร์เดอร์ หากมีเงินทุน 10,000 บาท ไม่ควรเสี่ยงเกิน 200 บาทต่อเทรด
การกระจายความเสี่ยงด้วยการไม่เปิดออร์เดอร์ในทิศทางเดียวกันหลายๆ ออร์เดอร์พร้อมกัน และไม่ควรใช้เงินมาร์จิ้นเกิน 30% ของเงินทุนรวม เป็นหลักการสำคัญที่ช่วยให้อยู่ในตลาดได้นาน
การเรียนรู้และฝึกฝนผ่าน Demo Account ก่อนเทรดด้วยเงินจริง จะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของเลเวอเรจได้ดีขึ้น และสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจ
เลเวอเรจในตลาดต่างๆ
เลเวอเรจในตลาด Forex
เลเวอเรจ forex ถือเป็นที่นิยมมากที่สุดในบรรดาตลาดทางการเงินต่างๆ เนื่องจากตลาดฟอเร็กซ์มีสภาพคล่องสูง และมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์
ในตลาดฟอเร็กซ์ เลเวอเรจมาตรฐานมักอยู่ระหว่าง 1:50 ถึง 1:400 ขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละประเทศ เช่นในยุโรปจะจำกัดเลเวอเรจไว้ที่ 1:30 สำหรับคู่สกุลเงินหลัก แต่ในเอเชียอาจมีเลเวอเรจสูงถึง 1:500
การเทรดฟอเร็กซ์ด้วยเลเวอเรจทำให้เทรดเดอร์สามารถใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ pips แต่สร้างผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญได้ โดยเฉพาะการเทรดคู่สกุลเงินหลักอย่าง EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY ที่มีสเปรดต่ำและสภาพคล่องสูง
อย่างไรก็ตาม ตลาดฟอเร็กซ์ยังมีความผันผวนจากข่าวเศรษฐกิจ การประกาศนโยบายธนาคารกลาง และเหตุการณ์ทางการเมือง ที่อาจทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงได้
เลเวอเรจใน Crypto และ CFD
Leverage trading คืออะไร ในโลกของ Cryptocurrency? การเทรดคริปโตด้วยเลเวอเรจเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มเทรดเดอร์รุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี
เลเวอเรจในตลาดคริปโตมักจะต่ำกว่าฟอเร็กซ์ โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ 1:10 ถึง 1:100 เนื่องจากคริปโตมีความผันผวนสูงกว่าสกุลเงินแล้ว การใช้เลเวอเรจสูงเกินไปอาจเป็นอันตราย
สำหรับ CFD (Contract for Difference) เลเวอเรจจะแตกต่างกันไปตามประเภทของสินทรัพย์ หุ้นมักมีเลเวอเรจ 1:5 ถึง 1:20 สินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำหรือน้ำมันอาจมี 1:50 ถึง 1:100
การเทรด CFD ด้วยเลเวอเรจให้ข้อดีคือสามารถเทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลง (Long และ Short) และไม่ต้องถือครองสินทรัพย์จริง แต่ต้องระวังค่าใช้จ่าย Overnight หากถือออร์เดอร์ข้ามคืน
ในตลาดคริปโต การใช้เลเวอเรจมีรูปแบบที่หลากหลาย เช่น Margin Trading บนแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนหลัก, Perpetual Swaps ที่ไม่มีวันหมดอายุ, และ Options ที่ให้สิทธิในการซื้อขายในราคาที่กำหนด
การเทรดคริปโตด้วยเลเวอเรจต้องระวังปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม เช่น การ Hard Fork, ข่าวการควบคุมจากรัฐบาล, หรือปัญหาทางเทคนิคของ Blockchain ที่อาจส่งผลต่อราคาอย่างรุนแรง
ตลาดคริปโตและ CFD มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้มีเครื่องมือการเทรดใหม่ๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆ เช่น DeFi Leveraged Trading, Perpetual Futures, หรือ Options ที่ให้ทางเลือกในการใช้เลเวอเรจมากขึ้น
Yield Farming และ Liquidity Mining ก็เป็นรูปแบบการใช้เลเวอเรจแบบใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม โดยผู้ใช้สามารถยืมสินทรัพย์เพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการให้สภาพคล่อง
เลเวอเรจในตลาด TFEX
สำหรับนักลงทุนไทย ตลาด TFEX (Thailand Futures Exchange) เป็นอีกหนึ่งตลาดที่ใช้เลเวอเรจ หรือ “อัตราทด” TFEX เป็นตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง โดยใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียงส่วนน้อย (มาร์จิ้น) เพื่อควบคุมสัญญาที่มีมูลค่าสูง
ตัวอย่างเช่น หาก TFEX กำหนดอัตราทด 1:10 หมายความว่า หากคุณมีเงิน 10,000 บาท คุณสามารถเปิดสถานะซื้อขายที่มีมูลค่าถึง 100,000 บาทได้ อย่างไรก็ตาม ผลกำไรและขาดทุนก็จะถูกขยายขึ้นตามสัดส่วนของอัตราทดเช่นกัน
ความผันผวนของตลาด TFEX มีการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็ว ดังนั้นการมีแผนบริหารความเสี่ยงที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเมื่อเทรดด้วยเลเวอเรจในตลาดนี้
ประเภทสินทรัพย์
|
เลเวอเรจสูงสุด
|
ความผันผวนเฉลี่ย
|
---|
Bitcoin
|
1:100
|
3-5% ต่อวัน
|
---|
Altcoins
|
1:50
|
5-15% ต่อวัน
|
---|
CFD หุ้น
|
1:20
|
1-3% ต่อวัน
|
---|
CFD สินค้าโภคภัณฑ์
|
1:100
|
2-8% ต่อวัน
|
---|
กฎหมายและข้อกำหนดของเลเวอเรจในต่างประเทศ
ในปัจจุบัน การใช้เลเวอเรจมีการควบคุมจากหน่วยงานกำกับดูแลในแต่ละประเทศ เพื่อปกป้องนักลงทุนจากความเสี่ยงที่มากเกินไป แต่ละภูมิภาคมีแนวทางการควบคุมที่แตกต่างกัน
ในสหภาพยุโรป ESMA (European Securities and Markets Authority) ได้กำหนดให้เลเวอเรจสูงสุดสำหรับนักลงทุนรายย่อยคือ 1:30 สำหรับคู่สกุลเงินหลัก และ 1:20 สำหรับคู่สกุลเงินรอง เพื่อลดความเสี่ยงจากการใช้เลเวอเรจสูง (ESMA: Product intervention measures)
ในสหรัฐอเมริกา CFTC และ NFA ควบคุมการเทรดฟอเร็กซ์อย่างเข้มงวด โดยจำกัดเลเวอเรจสูงสุดไว้ที่ 1:50 สำหรับคู่สกุลเงินหลัก และมีกฎ FIFO (First In First Out) ที่เข้มงวด
ประเทศญี่ปุ่นมีการควบคุมที่ค่อนข้างเข้มงวดเช่นกัน โดย FSA (Financial Services Agency) กำหนดเลเวอเรจสูงสุดไว้ที่ 1:25 สำหรับการเทรดฟอเร็กซ์ และมีข้อกำหนดเรื่องการเปิดเผยความเสี่ยงที่ชัดเจน
ในออสเตรเลีย ASIC ได้ปรับปรุงกฎหมายให้เข้มงวดขึ้น โดยจำกัดเลเวอเรจสำหรับนักลงทุนรายย่อยไว้ที่ 1:30 สำหรับคู่สกุลเงินหลัก และ 1:20 สำหรับสินทรัพย์อื่นๆ
สำหรับประเทศไทย ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) มีการกำหนดเลเวอเรจสูงสุดสำหรับการเทรด Forex ไว้ที่ 1:50 สำหรับนักลงทุนทั่วไป และ 1:200 สำหรับนักลงทุนประเภทผู้มีประสบการณ์
ประเทศสิงคโปร์และฮ่องกงมีการควบคุมที่สมดุล โดยอนุญาตให้ใช้เลเวอเรจที่สูงกว่าในเอเชีย แต่ยังคงมีการป้องกันนักลงทุนที่เหมาะสม
การเลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ควรหลงเชื่อโบรกเกอร์ที่เสนอเลเวอเรจสูงผิดปกติโดยไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม
นักลงทุนควรตรวจสอบใบอนุญาตของโบรกเกอร์และทำความเข้าใจกฎหมายในประเทศของตนเอง เพื่อให้แน่ใจว่าการเทรดของตนเป็นไปตามกฎหมายและได้รับการคุ้มครองที่เหมาะสม
เทคนิคการเลือกเลเวอเรจที่เหมาะสมสำหรับแต่ละสไตล์
การเลือกเลเวอเรจที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ ประสบการณ์ในการเทรด ขนาดของเงินทุน รูปแบบการเทรด และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
สำหรับมือใหม่ แนะนำให้เริ่มต้นด้วยเลเวอเรจต่ำ ประมาณ 1:10 ถึง 1:30 เพื่อเรียนรู้การจัดการความเสี่ยงและทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของตลาด การใช้เลเวอเรจต่ำจะให้เวลาในการตัดสินใจและแก้ไขข้อผิดพลาด
Day Traders ที่เทรดภายในวันเดียวมักใช้เลเวอเรจปานกลาง 1:30 ถึง 1:100 เพื่อให้สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวรายวันได้ แต่ยังคงควบคุมความเสี่ยงได้
Scalpers ที่ต้องการกำไรจากการเคลื่อนไหวเล็กๆ ใน timeframe สั้นๆ อาจใช้เลเวอเรจสูงถึง 1:100 หรือ 1:500 แต่ต้องมีทักษะการจัดการความเสี่ยงที่ดีมาก และใช้ Stop Loss ที่เข้มงวด
Swing Traders ที่ถือออร์เดอร์หลายวันถึงหลายสัปดาห์ มักใช้เลเวอเรจต่ำ 1:10 ถึง 1:50 เพื่อรองรับความผันผวนระยะสั้นโดยไม่ถูก Stop Out
Position Traders ที่ถือออร์เดอร์ระยะยาวหลายเดือนถึงหลายปี มักใช้เลเวอเรจต่ำมาก 1:1 ถึง 1:20 หรือไม่ใช้เลเวอเรจเลย เพื่อความปลอดภัยในระยะยาว
เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์แล้วอาจใช้เลเวอเรจ 1:50 ถึง 1:100 โดยต้องมีระบบการจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวด และมีแผนการเทรดที่ชัดเจน
การพิจารณาเลเวอเรจควรคำนึงถึง Time Frame ที่เทรดด้วย หากเทรดระยะสั้นอย่าง Scalping อาจใช้เลเวอเรจสูงกว่าการเทรดระยะยาว เพื่อให้สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวเล็กๆ ได้
ความผันผวนของสินทรัพย์ที่เทรดก็เป็นปัจจัยสำคัญ สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่าง Cryptocurrency ควรใช้เลเวอเรจต่ำกว่าสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำอย่างคู่สกุลเงินหลัก
ขนาดของเงินทุนก็มีผลต่อการเลือกเลเวอเรจ เงินทุนน้อยอาจต้องใช้เลเวอเรจสูงกว่าเพื่อให้สามารถเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องระวังความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
สรุปภาพรวม (เทียบกับมาตรฐาน)
ประเภทเทรด
|
ระยะเวลา
|
เลเวอเรจทั่วไป
|
ความเสี่ยงโดยธรรมชาติ
|
---|
Scalper
|
วินาที-นาที
|
1:100 – 1:500
|
สูงมาก
|
---|
Day Trader
|
ภายในวัน
|
1:30 – 1:100
|
สูง
|
---|
Swing Trader
|
หลายวัน-สัปดาห์
|
1:10 – 1:50
|
ปานกลาง
|
---|
Position Trader
|
หลายเดือน-ปี
|
1:1 – 1:20
|
ต่ำ
|
---|
การคำนวณกำไรขาดทุนจากเลเวอเรจ
การเข้าใจการคำนวณกำไรขาดทุนเป็นทักษะพื้นฐานที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องมี โดยเฉพาะเมื่อใช้เลเวอเรจที่ขยายผลทั้งกำไรและขาดทุน
สูตรการคำนวณกำไร/ขาดทุน:
กำไร/ขาดทุน = ขนาดออร์เดอร์ × การเคลื่อนไหวของราคา × อัตราแลกเปลี่ยน (หากจำเป็น)
ตัวอย่าง: เทรด EUR/USD ขนาด 1 standard lot (100,000 EUR) ด้วยเลเวอเรจ 1:100
- เงินมาร์จิ้นที่ต้องใช้: $1,000
- หากราคา EUR/USD ขึ้น 50 pips (0.0050)
- กำไร = 100,000 × 0.0050 = $500
- ROI = 500/1,000 = 50%
การใช้เครื่องคิดเลข Position Size และ Risk Calculator ที่โบรกเกอร์หลายแห่งให้บริการ จะช่วยให้การคำนวณง่ายและแม่นยำขึ้น
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้เลเวอเรจและวิธีแก้ไข
ข้อผิดพลาดหลักที่เทรดเดอร์มือใหม่มักทำคือ การใช้เลเวอเรจสูงเกินไปตั้งแต่เริ่มต้น โดยหวังว่าจะได้กำไรเยอะและเร็ว แต่กลับกลายเป็นว่าสูญเสียเงินทุนได้เร็วกว่า
ข้อผิดพลาดที่ 1: การโลภมากเกินไป หลายคนมองเห็นแต่โอกาสในการทำกำไรจากเลเวอเรจ โดยไม่คิดถึงความเสี่ยง การแก้ไขคือ การตั้งเป้าหมายที่สมจริง และยอมรับว่าการเทรดต้องใช้เวลาในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน
ข้อผิดพลาดที่ 2: ไม่ตั้ง Stop Loss หรือตั้งผิด อีกข้อผิดพลาดหนึ่งคือ การไม่ตั้ง Stop Loss หรือตั้ง Stop Loss ที่ห่างเกินไป ทำให้เมื่อตลาดเคลื่อนไหวผิดทาง ขาดทุนจะใหญ่เกินกว่าที่จะรับได้ วิธีแก้คือการตั้ง Stop Loss ที่ระยะห่างเหมาสม และไม่ควรเกิน 2-3% ของเงินทุน
ข้อผิดพลาดที่ 3: การเปิดออร์เดอร์มากเกินไป การเปิดออร์เดอร์หลายตำแหน่งในทิศทางเดียวกันพร้อมกัน โดยไม่คิดถึงความเสี่ยงรวม เป็นอีกหนึ่งกับดักที่เทรดเดอร์มักตกอยู่ วิธีแก้คือการจำกัดจำนวนออร์เดอร์และกระจายความเสี่ยง
ข้อผิดพลาดที่ 4: ไม่เข้าใจ Correlation การเทรดหลายคู่สกุลเงินที่มี Correlation สูงพร้อมกัน เช่น EUR/USD และ GBP/USD ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ข้อผิดพลาดที่ 5: การใช้เงินทุนทั้งหมด การใช้เงินทุนทั้งหมดเป็นมาร์จิ้นโดยไม่เก็บส่วนสำรองไว้ เมื่อตลาดเคลื่อนไหวผิดทาง จะไม่มีเงินเหลือสำหรับ Average Down หรือรอโอกาสใหม่
ข้อผิดพลาดที่ 6: การซื้อขายตามอารมณ์ Revenge Trading หรือการเทรดเพื่อแก้แค้นหลังจากขาดทุน มักนำไปสู่การใช้เลเวอเรจสูงเกินไปและการตัดสินใจที่ไม่มีเหตุผล
ข้อผิดพลาดที่ 7: ไม่ทำ Backtesting การใช้กลยุทธ์ใหม่โดยไม่ได้ทดสอบก่อน โดยเฉพาะกับการใช้เลเวอเรจ อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด
วิธีการป้องกัน:
- เริ่มต้นด้วย Demo Account เสมอ
- ใช้เลเวอเรจต่ำและเพิ่มขึ้นทีละน้อย
- มีแผนการเทรดที่ชัดเจนและปฏิบัติตาม
- เก็บบันทึกการเทรดเพื่อวิเคราะห์ข้อผิดพลาด
- เรียนรู้อย่างต่อเนื่องและปรับปรุงตัวเอง่อยในการใช้เลเวอเรจ
ข้อผิดพลาดหลักที่เทรดเดอร์มือใหม่มักทำคือ การใช้เลเวอเรจสูงเกินไปตั้งแต่เริ่มต้น โดยหวังว่าจะได้กำไรเยอะและเร็ว แต่กลับกลายเป็นว่าสูญเสียเงินทุนได้เร็วกว่า
อีกข้อผิดพลาดหนึ่งคือ การไม่ตั้ง Stop Loss หรือตั้ง Stop Loss ที่ห่างเกินไป ทำให้เมื่อตลาดเคลื่อนไหวผิดทาง ขาดทุนจะใหญ่เกินกว่าที่จะรับได้
การเปิดออร์เดอร์หลายตำแหน่งในทิศทางเดียวกันพร้อมกัน โดยไม่คิดถึงความเสี่ยงรวม เป็นอีกหนึ่งกับดักที่เทรดเดอร์มักตกอยู่
เครื่องมือช่วยในการจัดการเลเวอเรจ
เครื่องมือสำคัญที่จะช่วยในการจัดการเลเวอเรจ ได้แก่:
Position Size Calculator – ช่วยคำนวณขนาดออร์เดอร์ที่เหมาะสมตามระดับความเสี่ยงที่ต้องการ
Risk Management Tools – เช่น การตั้ง Stop Loss และ Take Profit อัตโนมัติ
Margin Monitor – แสดงสถานะของเงินมาร์จิ้นแบบเรียลไทม์
Trading Journal – บันทึกการเทรดเพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพการใช้เลเวอเรจ
อนาคตของเลเวอเรจในการเทรด
การพัฒนาของเทคโนโลยี Blockchain และ DeFi กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของการใช้เลเวอเรจในการเทรด โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของ Decentralized Leveraged Trading ที่ให้ผู้ใช้สามารถเทรดด้วยเลเวอเรจโดยไม่ต้องผ่านโบรกเกอร์แบบดั้งเดิม
Automated Trading และ AI Trading ก็เป็นอีกหนึ่งแนวโน้มที่น่าสนใจ เครื่องมือเหล่านี้สามารถจัดการเลเวอเรจและความเสี่ยงได้แม่นยำกว่ามนุษย์ ทำให้การใช้เลเวอเรจมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น
การกำกับดูแลก็กำลังปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับเลเวอเรจที่อนุญาตในอนาคต และการป้องกันนักลงทุนจากความเสี่ยงที่มากเกินไป
สรุป: ควรใช้เลเวอเรจหรือไม่?
กลับมาที่คำถามหลัก leverage คือ เครื่องมือที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย การตัดสินใจใช้เลเวอเรจควรขึ้นอยู่กับความเข้าใจที่ถูกต้อง ประสบการณ์ในการเทรด และการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม
สำหรับมือใหม่ แนะนำให้เริ่มต้นด้วยการศึกษาและฝึกฝนใน Demo Account ก่อน เมื่อมีความมั่นใจแล้วค่อยเริ่มใช้เลเวอเรจต่ำๆ และเพิ่มขึ้นทีละน้อยตามประสบการณ์
ความเสี่ยงของ leverage และ การใช้ leverage ในการเทรด ต้องไปคู่กัน การมีความรู้เรื่องการจัดการความเสี่ยงที่ดี จะทำให้เลเวอเรจกลายเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แทนที่จะเป็นอันตราย
จำไว้เสมอว่า การเทรดไม่ใช่การพนัน แต่เป็นการลงทุนที่ต้องใช้ความรู้ ทักษะ และการวางแผนที่ดี เลเวอเรจเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่ง ความสำเร็จขึ้นอยู่กับคนใช้มากกว่าตัวเครื่องมือ
ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารและเครื่องมือการเทรดพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในการเทรด
หากใช้อย่างถูกต้องและระมัดระวัง เลเวอเรจสามารถเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ แต่หากใช้โดยไม่มีความรู้หรือขาดการควบคุม มันอาจกลายเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การสูญเสียได้เช่นกัน
FAQ
Q1: เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่าอย่างไร?
A: เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่า เงินทุน 1 บาทของคุณสามารถควบคุมการเทรดมูลค่า 100 บาทได้ ตัวอย่างเช่น หากมีเงิน 1,000 บาท สามารถเทรดได้เท่ากับมีเงิน 100,000 บาท
Q2: เลเวอเรจสูงอันตรายกว่าเลเวอเรจต่ำหรือไม่?
A: ใช่ เลเวอเรจสูงจะขยายทั้งกำไรและขาดทุน หากตลาดเคลื่อนไหวผิดทาง คุณอาจสูญเสียเงินทุนได้เร็วกว่าการใช้เลเวอเรจต่ำ
Q3: มือใหม่ควรใช้เลเวอเรจเท่าไหร่?
A: มือใหม่แนะนำให้เริ่มต้นที่เลเวอเรจ 1:10 ถึง 1:30 เพื่อเรียนรู้การจัดการความเสี่ยงก่อน แล้วค่อยเพิ่มขึ้นทีละน้อยตามประสบการณ์
Q4: Margin Call คืออะไร?
A: Margin Call คือการแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์ เมื่อเงินในบัญชีของคุณลดลงใกล้ระดับเงินมาร์จิ้นที่ต้องวางไว้ ให้เติมเงินหรือปิดออร์เดอร์บางส่วน
Q5: สามารถใช้เลเวอเรจเต็มที่ได้หรือไม่?
A: ไม่แนะนำให้ใช้เลเวอเรจเต็มที่ ควรใช้เฉพาะส่วนที่จำเป็น และเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้เป็น Buffer เพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาด
Q6: เลเวอเรจในตลาด Forex กับ Crypto ต่างกันอย่างไร?
A: ตลาด Forex มักมีเลเวอเรจสูงกว่า (1:50-1:500) เนื่องจากมีความผันผวนต่ำกว่า ส่วน Crypto มีเลเวอเรจต่ำกว่า (1:10-1:100) เพราะมีความผันผวนสูงกว่า
Q7: การคำนวณเงินมาร์จิ้นทำอย่างไร?
A: เงินมาร์จิ้น = ขนาดออร์เดอร์ ÷ เลเวอเรจ ตัวอย่าง หากเทรด $10,000 ด้วยเลเวอเรจ 1:100 จะต้องใช้มาร์จิ้น $100
Q8: Stop Loss สำคัญกับการใช้เลเวอเรจอย่างไร?
A: Stop Loss เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่สำคัญมาก เมื่อใช้เลเวอเรจ การตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมจะช่วยจำกัดขาดทุนไม่ให้เกินกว่าที่วางแผนไว้