สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกของการเทรด สิ่งที่ท้าทายที่สุดอาจไม่ใช่การตัดสินใจ “เข้าตำแหน่ง” แต่คือการ “ปิดตำแหน่งเพื่อเก็บกำไร” หลายต่อหลายครั้ง คุณเคยเห็นกราฟขยับเป็นสีเขียว พอร์ตเริ่มทำกำไร แต่กลับลังเลไม่รู้ว่าควรดีดหรือยัง เพราะเสียงในหัวพูดตลอดเวลาว่า “เดี๋ยวมันอาจขึ้นอีก” ผลลัพธ์คือ ราคาเปลี่ยนทิศ ย้อนกลับมาจนกำไรหายเกลี้ยง หรือกลายเป็นขาดทุนแทน
เครื่องมือที่ช่วยแก้ปัญหานี้ไม่ใช่อะไรที่ซับซ้อน แต่เป็นกลไกพื้นฐานที่ทรงพลังอย่าง Take Profit (TP) ซึ่งไม่ใช่แค่การตั้งราคาขายเท่านั้น แต่คือหัวใจของวินัยในการเทรด เพราะช่วยให้คุณตัดอารมณ์ ทั้งความกลัวและความโลภ ออกจากกระบวนการตัดสินใจ บทความนี้จะพาคุณเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า Take Profit คืออะไร ทำไมต้องใช้คู่กับ Stop Loss เสมอ พร้อมเผย 3 เทคนิคการกำหนดจุดทำกำไรที่มืออาชีพใช้จริง รวมถึงข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อให้คุณเทรดด้วยความมั่นใจ มีระบบ และรักษาผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

Take Profit คืออะไร? อธิบายเข้าใจง่ายในไม่กี่นาที
Take Profit (TP) หรือที่รู้จักในชื่อ “จุดทำกำไร” คือ คำสั่งที่คุณตั้งค่าไว้ล่วงหน้ากับแพลตฟอร์มเทรด เพื่อปิดคำสั่งซื้อหรือขายอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนไปถึงระดับที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะอยู่ไกล ลืมเปิดกราฟ หรือแม้แต่หลับไป ระบบก็จะดำเนินการแทนคุณทันทีที่เงื่อนไขครบตามที่กำหนด
ลองเปรียบเทียบการเทรดกับการเดินทางข้ามประเทศโดยรถยนต์ คุณวางแผนว่าจะถึงจุดหมายในเวลาที่ชัดเจน จึงตั้ง GPS ไว้ก่อนล่วงหน้า เมื่อมาถึงทางออกที่ต้องการ ก็จะเลี้ยวออกทันที ไม่งั้นก็อาจขับเลยจนหลงทาง หรือใช้เวลามากกว่าที่ควร เหมือนกันกับการเทรด การตั้ง Take Profit คือการวางเป้าหมายที่ชัดเจน ว่ากำไรเท่านี้คือ “เพียงพอ” แล้ว เมื่อถึงก็ควรหยุด ไม่ใช่เพลิดเพลินไปกับการลุ้นต่อ

ทำไม Take Profit และ Stop Loss ต้องมาเป็นคู่เสมอ?
หากสังเกตพฤติกรรมของเทรดเดอร์มืออาชีพ คุณจะสังเกตเห็นว่าพวกเขาแทบไม่เคยใช้ Take Profit แบบเดี่ยวๆ โดยไม่ตั้ง Stop Loss (SL) ควบคู่ไปด้วย เพราะทั้งสองกลไกนี้คือองค์ประกอบพื้นฐานของการจัดการความเสี่ยงที่สมบูรณ์ คล้ายกับคันเร่งและเบรกในรถยนต์
- Take Profit ทำหน้าที่เหมือนคันเร่ง – ช่วยให้คุณสามารถไปถึงเป้าหมายของกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องมาลุ้นว่าควรปิดเมื่อไหร่
- Stop Loss ทำหน้าที่เหมือนเบรก – ช่วยหยุดความเสียหายเมื่อการคาดการณ์ผิดพลาด และตลาดเคลื่อนสวนทาง
การมีทั้ง TP และ SL ไม่ใช่แค่การตั้งจุดสิ้นสุด แต่คือการกำหนดขอบเขตการเคลื่อนไหวของออเดอร์ ทำให้คุณสามารถวิเคราะห์อัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงกับผลตอบแทน (Risk/Reward Ratio) ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นฐานรากสำคัญของการเทรดที่ให้ผลกำไรต่อเนื่องในระยะยาว

3 เทคนิคการตั้ง Take Profit อย่างมือโปร
คำถามที่ตามมาเสมอหลังจากเปิดออเดอร์ คือ “ควรตั้งจุดทำกำไรที่ไหนดี?” คำตอบไม่ควรถูกตัดสินจากความรู้สึก แต่ต้องอาศัยหลักการ วิเคราะห์ และตรรกะ นี่คือ 3 กลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลจริงและได้รับความนิยมในหมู่นักเทรดระดับสูง
1. ใช้แนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance)
วิธีที่คลาสสิกและมีประสิทธิภาพที่สุดคือการใช้ระดับ แนวรับ-แนวต้าน เป็นเป้าหมาย เมื่อคุณเปิดออเดอร์ซื้อ (Long) ให้มองหา “แนวต้าน” ที่สำคัญถัดไป ซึ่งเป็นโซนราคาที่กราฟเคยขึ้นไปทดสอบแล้วไม่ผ่านหลายครั้ง และตั้ง Take Profit ไว้ก่อนถึงระดับนั้นเล็กน้อย ในทางกลับกัน หากคุณเปิดออเดอร์ขาย (Short) ให้มองหา “แนวรับ” เป็นเป้าหมายในการทำกำไร
2. ใช้หลักอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk/Reward Ratio)
กลยุทธ์นี้เน้นความได้เปรียบในเชิงคณิตศาสตร์ การตั้ง Take Profit ด้วยวิธีนี้หมายถึงการประเมินว่า “ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Risk/Reward Ratio)” ควรจะมากกว่า “ความเสี่ยงที่ยอมรับได้” อย่างน้อย 1.5 หรือ 2 เท่า ซึ่งเขียนเป็นอัตราส่วน 1:1.5 หรือ 1:2
ตัวอย่างเช่น คุณตัดสินใจเข้าซื้อที่ราคา 1.1000 และกำหนด Stop Loss ไว้ที่ 1.0950 หรือห่าง 50 พิปส์ ถ้าใช้อัตราส่วน 1:2 คุณควรตั้ง Take Profit ที่ 1.1100 ซึ่งห่างจากจุดเข้า 100 พิปส์
หลักการนี้สำคัญมาก เพราะแม้คุณจะชนะแค่ครึ่งหนึ่งของธุรกรรมทั้งหมด แต่ก็ยังสามารถทำกำไรต่อเนื่องได้หากมูลค่าการชนะสูงกว่าความเสียหายในครั้งที่แพ้
3. ใช้ Fibonacci Extension เพื่อจับเป้าแนวโน้มต่อเนื่อง
สำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้การวิเคราะห์เชิงเทคนิคอย่างลึกซึ้ง เครื่องมือ Fibonacci Extension ถือเป็นเครื่องมือคู่ใจในการคาดการณ์เป้าหมายราคาในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มชัดเจนและแรง ไม่ว่าจะเป็นการทะลุจุดสูงสุดเดิมหรือต่ำสุดใหม่
วิธีใช้ง่ายๆ คือ การลาก Fibonacci จากจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุดของคลื่นขาขึ้น (หรือกลับกันในขาลง) แล้วขยายต่อไปด้วยระดับ extension ที่นิยม เช่น 127.2%, 161.8% และ 261.8% ซึ่งแต่ละจุดเหล่านี้มักกลายเป็นเป้าหมายธรรมชาติของแรงทำกำไรในตลาด
ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่สกุลเงินดิจิทัลหรือดัชนีหุ้นเร่งตัวขึ้นแรงหลังเบรกไฮใหม่ ระดับ 161.8% มักเป็นจุดแรกที่มีการขายทำกำไรสะสมก่อน โดยเฉพาะในตลาดที่เคลื่อนไหวด้วยแรงขับจากแนวโน้ม

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยเมื่อตั้ง Take Profit
รู้หลักการใช้เครื่องมือยังไม่พอ ความสำเร็จขึ้นอยู่กับวิธีการประยุกต์ใช้งานจริง การตั้ง Take Profit ผิดที่ผิดเวลาไม่เพียงทำให้คุณเสียโอกาส แต่ยังอาจทำลายแผนการบริหารพอร์ตได้โดยสิ้นเชิง
- ตั้ง Take Profit ใกล้เกินไป – นี่คือผลมาจากความไม่มั่นใจหรือความกลัวว่ากำไรจะหาย หากคุณตั้ง TP แค่ 20-30 พิปส์ ในคู่เงินที่มีความผันผวนสูง โอกาสที่ตลาดจะไปต่อหลังจากนั้นก็สูงมาก จนคุณเผลอพลาดโอกาสในการสะสมกำไรจากแนวโน้มหลัก
- ตั้งเป้าหมายไกลเกินจริงโดยไม่มีพื้นฐาน – อีกขั้วหนึ่งคือความโลภ เมื่อเข้าออเดอร์แล้วตั้ง TP ที่ 500 พิปส์ โดยไม่ดูว่ามีแนวต้านรองรับหรือไม่ หรือมีพื้นฐานอะไรรองรับระดับนั้น ผลคือออเดอร์ค้างอยู่นาน และในที่สุดก็โดนจุด Stop Loss ไปก่อน
- ปรับจุด TP ทิ้งให้ไกลออกไปเมื่อใกล้ถึง – ข้อผิดพลาดนี้นับว่าร้ายแรงที่สุด เพราะมันคือการทิ้งแผนทั้งหมดทิ้งไปเพียงเพราะอยากได้มากขึ้น พอราคาเกือบถึงจุดที่ตั้งไว้ คุณกลับเลื่อน TP ออกไปอีก 50 พิปส์ โดยคิดว่า “เดี๋ยวมันไปต่อแน่” การกระทำนี้เท่ากับเปิดช่องให้ความโลภครอบงำ ซึ่งมักจบด้วยผลลัพธ์ที่น่าผิดหวัง

สรุป: Take Profit คือหัวใจของวินัยในการเทรด
กลับมาทบทวนคำถามตั้งต้นอีกครั้งว่า Take Profit คืออะไร คำตอบไม่ใช่แค่ “คำสั่งปิดออเดอร์อัตโนมัติ” แต่คือกลไกที่ช่วยให้คุณยึดมั่นในแผนการ ไม่หลงทางจากเสียงร้องของความโลภหรือความกลัว และเปลี่ยนพฤติกรรมการเก็งกำไรให้กลายเป็นการลงทุนที่มีระเบียบวินัย
การตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผล และเคารพตามแผนอย่างเคร่งครัด ไม่เพียงช่วยให้คุณรักษาผลกำไรได้ แต่ยังลดความเครียดจากการต้องนั่งเฝ้ากราฟ 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการยกระดับตัวเองจาก “คนเดิมพัน” ให้กลายเป็น “เทรดเดอร์มืออาชีพ” ที่สามารถสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Take Profit (FAQ)
คําสั่ง Take Profit (TP) คืออะไร?
Take Profit (TP) คือคำสั่งที่ตั้งไว้ล่วงหน้าเพื่อปิดสถานะการเทรดโดยอัตโนมัติเมื่อราคาของสินทรัพย์เคลื่อนไปถึงระดับกำไรที่คุณพอใจ เป็นเครื่องมือสำคัญในการ “ล็อกกำไร” ตามแผนที่วางไว้ก่อนที่ตลาดอาจกลับตัว
Stop Loss (SL) กับ Take Profit (TP) ต่างกันอย่างไร?
ทั้งสองเป็นคำสั่งปิดสถานะอัตโนมัติแต่ทำหน้าที่ตรงกันข้าม TP ใช้เพื่อปิดสถานะเมื่อมีกำไรถึงเป้าหมาย ส่วน SL ใช้เพื่อปิดสถานะเมื่อขาดทุนถึงจุดที่กำหนดไว้เพื่อจำกัดความเสียหาย
ควรตั้ง Take Profit ที่ระดับราคาไหนดี?
ไม่มีคำตอบตายตัว วิธีที่นิยมคือวาง TP แถวโซนแนวต้านสำคัญถัดไป หรือใช้หลัก อัตราส่วนกำไรต่อความเสี่ยง (Risk/Reward Ratio) เช่น ตั้งเป้ากำไรให้เป็น 2 เท่าของระยะตัดขาดทุน (SL)
ทำไมการใช้ Take Profit จึงสำคัญต่อการเทรด?
TP ช่วยตัดอารมณ์ความโลภออกจากการตัดสินใจ ทำให้ยึดมั่นตามแผน เก็บกำไรได้อย่างมีวินัย ลดความเครียดจากการเฝ้ากราฟ และป้องกันการตัดสินใจผิดพลาด
Risk/Reward Ratio เกี่ยวข้องกับ Take Profit อย่างไร?
Risk/Reward Ratio คือหัวใจของการตั้ง TP และ SL โดยเปรียบเทียบกำไรที่คาดหวัง (TP) กับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (SL) เช่น อัตราส่วน 1:2 หมายถึงตั้ง TP ไกลเป็นสองเท่าของระยะ SL ซึ่งช่วยให้พอร์ตเติบโตอย่างยั่งยืน