สำหรับนักเทรดมือใหม่ การเข้าใจศัพท์เทคนิคพื้นฐานอย่าง “Pip” และ “Point” ถือเป็นก้าวแรกที่ขาดไม่ได้ แม้ฟังดูเรียบง่าย แต่สองคำนี้คือหัวใจสำคัญในการวิเคราะห์ราคา ตั้งคำสั่งซื้อขาย รวมถึงคำนวณกำไรขาดทุนอย่างแม่นยำ บทความนี้จะไขทุกข้อสงสัย ตั้งแต่ความหมายของ Pip และ Point ไปจนถึงการนับในสินทรัพย์หลากหลายชนิดอย่าง Forex ทองคำ และน้ำมัน

สรุปเร็วใน 1 นาที: 1 Pip เท่ากับ 10 จุด (Point)
ถ้าคุณต้องการคำตอบทันที นี่คือหัวใจสำคัญ:
1 Pip = 10 Points
คุณอาจเคยสับสนระหว่างสองคำนี้ เพราะบางโบรกเกอร์ใช้ “Pip” เป็นหลัก บางแห่งกลับดู “Point” หรือที่เรียกว่า “Pipette” แทน ในความเป็นจริง Point คือหน่วยย่อยที่สุดที่อัตราสุดท้ายของราคาจะขยับ ขณะที่ Pip เป็นหน่วยมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปในหมู่เทรดเดอร์ทั่วโลก การรู้ว่า 1 Pip คิดเป็นกี่ Point จึงเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้คุณเข้าใจตลาดได้ลึกขึ้น ตั้งคำสั่งได้แม่นยำ และบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Pip และ Point คืออะไร? เหตุใดจึงต้องเข้าใจโดยด่วน
ก่อนจะลงลึกในรายละเอียด ควรแยกให้ชัดก่อนว่าคำสองคำนี้หมายถึงอะไร เพราะความสับสนเริ่มต้นตรงนี้เอง
- Pip (Percentage in Point): หรือที่นิยมใช้ในชื่อเต็มว่า “Percentage in Point” คือหน่วยวัดพื้นฐานของการเคลื่อนไหวของราคาในคู่สกุลเงิน โดยเฉพาะในตลาด Forex ต่อมาคำนี้ถูกนำมาใช้กว้างขึ้นในตราสารการเงินอื่นๆ
- Point: คือหน่วยย่อยที่สุดของราคา หรือที่บางแห่งเรียกว่า Pipette ซึ่งมีค่าเท่ากับ 1 ใน 10 ของ 1 Pip
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองดูที่ราคาของคู่เงิน EUR/USD ที่มักแสดงในรูปแบบทศนิยม 5 ตำแหน่ง:
สมมติว่าราคาแสดงว่า 1.07325
- เลข “2” อยู่ในตำแหน่งทศนิยมที่ 4 — นี่คือ Pip
- เลข “5” อยู่ในตำแหน่งทศนิยมที่ 5 — นี่คือ Point
เมื่อราคาขยับจาก 1.07325 เป็น 1.07335 ก็แปลว่าราคาเพิ่มขึ้น 1 Pip หรือก็คือ 10 Points
การมองเห็นความเคลื่อนไหวในระดับนี้มีผลต่อการตั้ง Stop Loss (ตัดขาดทุน) และ Take Profit (ทำกำไร) อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวน หรือเมื่อต้องเจอกับ Spread ที่แคบลงจากโบรกเกอร์ที่ใช้ราคา Fractional Pip
วิธีนับ Pip แตกต่างกันอย่างไรในแต่ละสินทรัพย์?
จุดสำคัญที่มือใหม่มักเข้าใจผิดคือ คิดว่า “Pip” หนึ่งหน่วยหมายถึงค่าเดียวในทุกตลาด แต่ความจริงคือ วิธีการนับ Pip ขึ้นอยู่กับรูปแบบการจัดแสดงราคาของแต่ละสินทรัพย์
1. Pip ในคู่เงิน Forex
คู่เงินที่มีทศนิยม 4 ตำแหน่ง (เช่น EUR/USD, GBP/USD, AUD/USD)
สำหรับคู่เงินที่ไม่มีเยนเป็นสกุลรอง ส่วนใหญ่แล้ว Pip จะอยู่ที่ตำแหน่ง ทศนิยมที่ 4
ตัวอย่าง: ราคา EUR/USD ขยับจาก 1.0750 เป็น 1.0755
- ผลต่าง: 1.0755 – 1.0750 = 0.0005
- สรุป: เคลื่อนที่ 5 Pips
คู่เงินที่มีทศนิยม 2 ตำแหน่ง (เช่น USD/JPY, EUR/JPY)
เนื่องจากค่าของเยนต่อดอลลาร์ต่ำกว่าสกุลอื่นอย่างมาก ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของคู่ที่ลงท้ายด้วย JPY มักแสดงเป็นทศนิยม 2 ตำแหน่ง ดังนั้น Pip อยู่ที่ทศนิยมตำแหน่งที่ 2 แทนที่จะเป็นตำแหน่งที่ 4 เช่นสกุลอื่น
ตัวอย่าง: ราคา USD/JPY เพิ่มจาก 145.20 เป็น 145.28
- ผลต่าง: 145.28 – 145.20 = 0.08
- สรุป: ราคาขยับ 8 Pips
ข้อมูลนี้สอดคล้องกับแนวทางการเรียนรู้จากแหล่งมาตรฐานเช่น DailyFX ที่อธิบาย การนับ Pip สำหรับ JPY-based pairs อย่างชัดเจน

2. การนับ Pip ในทองคำ (XAU/USD)
ทองคำ หรือที่รู้จักในชื่อ XAU/USD มีแบบการนับ Pip ที่ค่อนข้างแตกต่าง และมักสร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้เริ่มต้น
โดยปกติ ราคาทองคำแสดงในรูปทศนิยม 2 ตำแหน่ง เช่น 1950.25
- ทศนิยมตำแหน่งที่ 1 (0.1) = 1 Pip
- ทศนิยมตำแหน่งที่ 2 (0.01) = 1 Point
ตัวอย่าง: ราคาทองคำขยับจาก 1950.25 เป็น 1951.55
- ผลต่าง: 1951.55 – 1950.25 = 1.30
- แปลงเป็น Pip: เคลื่อนที่ 13 หน่วยในตำแหน่งทศนิยมที่ 1 → 13 Pips หรือ 130 Points
ดังนั้น หากราคาทองเพิ่มขึ้น 1 ดอลลาร์เต็ม ๆ (เช่น จาก 1950.xx ไป 1951.xx) ถือว่า “ขึ้น 10 Pips” ซึ่งการเข้าใจจุดนี้สำคัญมากเวลาประเมินผลกำไร
สำหรับรายละเอียดสัญญาอย่างเป็นทางการ เช่น ขนาด Lot และ ราคาต่อหน่วย คุณสามารถอ้างอิงข้อมูลได้จาก CME Group Gold Futures Contract Specs — ผู้ให้บริการตลาดซื้อขายล่วงหน้าทองคำระดับโลก
3. Pip กับสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น น้ำมันและดัชนี
เมื่อพูดถึงสินทรัพย์นอกตลาด Forex เช่น น้ำมันดิบ (WTI หรือ Brent) หรือดัชนีหุ้น (S&P500, Nasdaq) คำว่า “Pip” มักไม่ถูกใช้ ในทางการค้าขายจะเรียกหน่วยการขยับเล็กที่สุดของราคาว่า “Tick” แทน
- น้ำมันดิบ (WTI): เคลื่อนไหวขั้นต่ำ 0.01 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งคือ 1 Tick
- S&P 500: เคลื่อนไหวขั้นต่ำ 0.25 จุด ต่อ Tick (บางตลาดอนุญาต 0.10 ด้วย)
แม้ว่า “Pip” และ “Tick” จะดูคล้ายกันในแง่หน้าที่ — คือวัดการขยับของราคา — แต่ “Tick” เป็นคำที่ใช้เฉพาะในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และดัชนี ดังนั้นควรใช้ให้ถูกบริบทเพื่อความแม่นยำ

คำนวณมูลค่า Pip (Pip Value) อย่างไร? รู้ก่อนได้เปรียบ
การรู้ว่า “ราคาขยับไปกี่ Pip” ยังไม่พอ คำถามสำคัญกว่าคือ “แต่ละ Pip คุ้มค่ากับเงินเท่าไหร่?” คำตอบคือ Pip Value หรือมูลค่าต่อ 1 Pip ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารพอร์ต
ปัจจัยหลัก: ขนาด Lot (Lot Size)
ยิ่งเปิด Lot ใหญ่ มูลค่าต่อ Pip ก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย ขนาดของ Lot แบ่งได้เป็น:
- Standard Lot (1.0): 100,000 หน่วย
- Mini Lot (0.1): 10,000 หน่วย
- Micro Lot (0.01): 1,000 หน่วย
สูตรคำนวณ Pip Value (โดยประมาณ)
Pip Value = (ขนาดของ Pip / อัตราแลกเปลี่ยน) × ขนาดสัญญา (Lot Size)
- ขนาด Pip:
- สำหรับคู่เงินทั่วไป (เช่น EUR/USD): 0.0001
- สำหรับคู่เงิน JPY: 0.01
- อัตราแลกเปลี่ยน: มักใช้ราคาของสกุลเงินที่สอง (Quote Currency)
- ขนาดสัญญา: ตามค่า Lot ที่ใช้
ตัวอย่าง: Pip Value ของ EUR/USD ขนาด 1 Standard Lot
สมมติราคา EUR/USD อยู่ที่ 1.0700
1. ขนาด Pip = 0.0001
อัตราอ้างอิง (USD) = 1 (เพราะต้องการค่าเป็น USD)
ขนาดสัญญา = 100,000
Pip Value = (0.0001 / 1) × 100,000 = $10
หมายความว่า การขยับ 1 Pip จะทำให้คุณได้กำไร หรือขาดทุน $10 ต่อ 1.0 Lot
- 0.1 Lot → $1 ต่อ Pip
- 0.01 Lot → $0.10 ต่อ Pip
นี่คือเหตุผลที่นักเทรดมือใหม่ถูกแนะนำให้เริ่มจาก Micro Lot เพื่อจำกัดความเสี่ยง

ตารางสรุปมูลค่า Pip ตาม Lot Size (Pip Value Quick Sheet)
เพื่อความสะดวก เราจัดทำตารางประมาณการ Pip Value สำหรับสินทรัพย์หลัก ๆ โดยอิงจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นหน่วย
| คู่เงิน (Currency Pair) | 1 Standard Lot (1.0) | 1 Mini Lot (0.1) | 1 Micro Lot (0.01) |
|---|
| EUR/USD | $10 | $1 | $0.10 |
| GBP/USD | $10 | $1 | $0.10 |
| AUD/USD | $10 | $1 | $0.10 |
| USD/JPY | $6.80 (ที่เรท 147.00) | $0.68 | $0.068 |
| XAU/USD (ทองคำ) | $10 | $1 | $0.10 |
หมายเหตุ: สำหรับคู่เงินที่ไม่ใช้ USD เป็นสกุลรอง (เช่น USD/JPY) มูลค่า Pip จะแปรผันตามอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น เนื่องจากต้องแปลงกลับมาเป็น USD
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. Pip กับ Point ต่างกันอย่างไร?
ทั้งสองคำวัดการขยับของราคา แต่ต่างกันที่ระดับละเอียด: Pip เป็นหน่วยมาตรฐาน ส่วน Point คือ 1 ใน 10 ของ Pip (หรือ 10 Point = 1 Pip) โดยทั่วไปโบรกเกอร์ที่แสดง 5 ตำแหน่งทศนิยมใช้จุดนี้เพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวแบบละเอียด ช่วยให้เห็น Spread แคบลง ซึ่งส่งผลดีต่อการซื้อขายได้ราคาดีขึ้น
2. ทำไมคู่เงิน JPY จึงนับ Pip ต่างจากคู่อื่น?
โดยธรรมชาติ สกุลเงินเยน (JPY) มีมูลค่าต่อหน่วยต่ำกว่าดอลลาร์หรือยูโรอย่างมาก ดังนั้นอัตราแลกเปลี่ยนจึงแสดงเป็น 145.30 แทนที่จะเป็น 1.4530 การย้ายตำแหน่ง Pip ไปที่ทศนิยมที่ 2 จึงเป็นวิธีการทางเทคนิคที่รักษาความหมายของ “การเคลื่อนที่ 1 Pip” ให้มีความหมายเหมือนเดิม
3. 1 Lot มีกี่ Pip?
นี่เป็นคำถามที่เกิดจากความเข้าใจผิด Lot และ Pip ไม่สามารถเปลี่ยนหน่วยกันได้ เพราะ:
– Lot คือ “ปริมาณ” ที่คุณซื้อขาย
– Pip คือ “ระยะทาง” ที่ราคาเคลื่อนที่ไป
ตัวอย่างเช่น การเปิด 1.0 Lot ไม่ได้แปลว่า “มี Pip อยู่” แต่คือการเปิดคำสั่งที่ “มูลค่าต่อ Pip” มีความหมาย (เช่น $10 ต่อ Pip สำหรับ EUR/USD)
4. จะแปลง Pip Value เป็นบาทไทยได้อย่างไร?
หากต้องการรู้ว่า “แต่ละ Pip เท่ากับกี่บาท” เพียงนำ Pip Value (เป็น USD) ไปคูณกับอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB ณ เวลานั้น
ตัวอย่าง: Pip Value = $10, อัตรา USD/THB = 36.50
→ 10 × 36.50 = 365 บาทต่อ Pip
5. โบรกเกอร์ที่แสดง 4 กับ 5 ตำแหน่งทศนิยม ต่างกันอย่างไร?
ไม่ส่งผลต่อการนับ Pip โดยตรง แต่มีผลต่อความละเอียดของ Point
– โบรกเกอร์ทั่วไป: แสดง 4 ตำแหน่ง → ใช้ Pip เป็นหลัก
– โบรกเกอร์ที่ทันสมัย: แสดง 5 ตำแหน่ง → เพิ่ม Point (Fractional Pip) เพื่อความแม่นยำสูงขึ้น
เช่น Spread 1.0 Pip ที่ดูเหมือนไม่ต่าง แต่หากในระบบ 5 ตำแหน่งอาจแสดงเป็น 0.8 หรือ 0.6 Pip ซึ่งสะท้อนสภาพตลาดได้ดีกว่า
6. เทรดทองคำ ควรดู Pip หรือ Point?
นักเทรดมักดู Pip (0.10) เป็นหลัก เพราะความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลชัดเจนต่อกำไรขาดทุน แต่การติดตาม Point (0.01) ก็ช่วยในการหาจุดเข้า-ออกที่แม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงตลาด Sideways หรือข่าวสำคัญ
อีกทางหนึ่ง คุณอาจใช้ Stop Loss/TP อยู่ในระดับ Pip แต่วางคำสั่ง (Entry) บนระดับ Point เพื่อจับจังหวะ
7. Pip Value ติดลบได้หรือไม่?
ไม่ได้ Pip Value คือค่าสัมบูรณ์ (absolute value) ที่บอก “ค่าของ 1 Pip” เท่านั้น และไม่มีสัญลักษณ์บวกหรือลบ อย่างไรก็ตาม ผลกำไรหรือขาดทุน (PnL) ที่คุณเห็นในพอร์ตจะขึ้นอยู่กับทิศทางการซื้อขาย — เช่น คุณ Long (ซื้อ) แล้วราคาลด ก็จะขาดทุน แม้ค่า Pip Value ยังคงเท่าเดิม
8. Spread เกี่ยวข้องกับ Pip อย่างไร?
Spread หรือส่วนต่างระหว่างราคาBid (ซื้อ) และ Ask (ขาย) มักวัดด้วยหน่วย Pip ตัวอย่างเช่น หาก EUR/USD แสดงราคา 1.0732 / 1.0733 แปลว่า Spread เท่ากับ 1 Pip
นี่คือ “ค่าดำเนินการ” เบื้องต้นที่คุณต้องจ่ายให้โบรกเกอร์ก่อนที่กำไรจะเริ่มเกิดขึ้น ดังนั้นการเลือกโบรกเกอร์ที่มี Spread แคบจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญเพื่อลดต้นทุนการเทรดในระยะยาว