การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ใช่การทายใจ แต่เป็นการชั่งน้ำหนักมูลค่าอย่างเป็นเหตุเป็นผล และเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนไม่ว่าจะรุ่นใหม่หรือรุ่นเก๋าต่างพกติดตัวไว้คือ P/E Ratio หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อัตราส่วนราคาต่อกำไร” เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณเข้าใจว่าหุ้นตัวนั้น “ถูก” หรือ “แพง” กว่าตัวเองที่ควรจะเป็นอยู่เพียงใด
แต่ P/E Ratio ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่มองแล้วบอกได้ในพริบตา มันต้องใช้การวิเคราะห์ บริบท และการเปรียบเทียบเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกมุมของ P/E Ratio ตั้งแต่หลักการคำนวณ วิธีตีความ ข้อจำกัด และการประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น พร้อมยกตัวอย่างจากหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ให้คุณนำไปใช้จริงได้อย่างมั่นใจ

P/E Ratio คืออะไร? หัวใจของ “ราคา ต่อ กำไร”
หากต้องอธิบายด้วยภาพ P/E Ratio ก็เหมือนการถามตัวเองว่า “หากเราซื้อกิจการทั้งบริษัท ต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะคืนทุน?” โดยตั้งสมมุติว่ากำไรของบริษัทนั้นคงที่ทุกปี
ในทางการเงิน P/E Ratio (Price-to-Earnings Ratio) คือสัดส่วนที่บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาตลาดของหุ้นต่อหน่วย กับ กำไรที่บริษัทได้รับต่อหุ้น (Earnings per Share – EPS) มันแสดงให้เห็นว่า นักลงทุนในตลาดกำลังยอมจ่ายเงินกี่บาท เพื่อแลกกับกำไร 1 บาท ของบริษัทนั้น
ตัวเลขนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดหลักที่ใช้ประเมินว่า หุ้นตัวใดถูกมองว่ามีมูลค่าเหมาะสม หรือเกินจริงเกินควร
สูตรและการคำนวณ P/E Ratio แบบละเอียด
แม้ดูเรียบง่าย แต่การเข้าใจสูตรเบื้องหลังจะช่วยให้คุณใช้ข้อมูลได้ถูกต้อง
สูตรพื้นฐานของ P/E Ratio:
$$ \text{P/E} = \frac{\text{ราคาหุ้นต่อหุ้น (Price per Share)}}{\text{กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)}} $$

มาดูองค์ประกอบแต่ละตัวให้ชัด:
ราคาต่อหุ้น (Price per Share): คือราคาปัจจุบันของหุ้นที่คุณสามารถซื้อได้บนกระดานซื้อขาย เช่น หุ้น ADVANC ราคา 150 บาท
กำไรต่อหุ้น (EPS): คือ “เงินที่เหลือ” หลังหักค่าใช้จ่ายและภาษีทั้งหมด แล้วแบ่งให้ผู้ถือหุ้นแต่ละคน คำนวณได้จาก:
$$ \text{EPS} = \frac{\text{กำไรสุทธิ (12 เดือนล่าสุด)}}{\text{จำนวนหุ้นที่ออกแล้วทั้งหมด}} $$
ตัวอย่างจริง: หุ้นกลุ่มสื่อสาร (SET)
สมมติว่า หุ้นบริษัท A ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ มีข้อมูลดังนี้:
ราคาปัจจุบัน: 180 บาทกำไรสุทธิ 12 เดือน: 4,500 ล้านบาทจำนวนหุ้น: 300 ล้านหุ้น
ขั้นตอน:
คำนวณ EPS:
$$ \text{EPS} = \frac{4,500,000,000}{300,000,000} = 15 \text{ บาทต่อหุ้น} $$
คำนวณ P/E:
$$ \text{P/E} = \frac{180}{15} = 12 \text{ เท่า} $$
แปลว่า นักลงทุนยินดีจ่าย 12 บาท เพื่อแลกกับกำไร 1 บาท หรือโดยประมาณ หากกำไรไม่เปลี่ยนแปลง จะใช้เวลา 12 ปีในการคืนทุน
P/E สูง vs P/E ต่ำ: อย่าตัดสินเร็วเกินไป
การเห็นหุ้นตัวหนึ่งมี P/E เท่ากับ 50 เท่า หรือ 8 เท่า แล้วสรุปทันทีว่า “ถูก” หรือ “แพง” ถือเป็นความผิดพลาดที่พบบ่อย

เมื่อไหร่ที่ P/E สูง ถือว่า “ดี”?
P/E สูง (เช่น 30 เท่าขึ้นไป) มักแสดงถึง “ความคาดหวัง” ที่สูงต่อผลประกอบการในอนาคต โดยเฉพาะในบริษัทที่อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยี เติบโตเร็ว (Growth Stocks) หรือบริษัทที่เพิ่งเข้าตลาด
ตัวอย่างใน SET: หุ้นกลุ่ม Fintech หรือ Digital Platform หลายตัวมี P/E สูงมาก แต่ทั้งนี้เพราะตลาดเชื่อว่าการเติบโตใน 2–3 ปีข้างหน้าจะพุ่งสูง พาให้กำไรเพิ่มขึ้นหลายเท่า
อย่างไรก็ตาม P/E สูงเกินไปอาจส่อถึง “ฟองสบู่” ที่ราคานำหน้าพื้นฐานมากเกิน หากไม่มีการเติบโตจริง ความเสี่ยงการปรับตัวลงจึงมีสูง
เมื่อไหร่ที่ P/E ต่ำ คือโอกาสทอง?
P/E ต่ำ (เช่น ต่ำกว่า 10 เท่า) มีสองความหมาย ซึ่งอาจตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง:
ฝั่งดี:
บริษัทอาจถูก “ประเมินมูลค่าต่ำเกินไป” หรือ Undervalued — โอกาสสำหรับนักลงทุนสายเน้นคุณค่า (Value Investor) เช่น หุ้นกลุ่มพลังงานหรือสิ่งทอที่กำไรดีแต่ไม่ได้รับความสนใจ
ฝั่งร้าย:
อาจบ่งชี้ว่าบริษัทมีปัญหา — เช่น การเติบโตจำกัด หนี้สินสูง หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเสื่อมถอย
กุญแจสำคัญคือการเปรียบเทียบ
คุณต้องดู P/E ของบริษัทนี้เทียบกับ:
ค่าเฉลี่ย P/E ของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันP/E เฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ (เช่น SET อาจเฉลี่ยอยู่ที่ 18–22 เท่า)P/E ในอดีตของตัวบริษัทเอง (Trading History)
ตามคำแนะนำของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) การวิเคราะห์ที่ดีต้องมองใน “บริบทโดยรวม” เสมอ การพิจารณาแค่ตัวเลขเพียงอย่างเดียวโดยไม่เข้าใจภาพใหญ่ของอุตสาหกรรม สภาวะเศรษฐกิจ หรือคุณภาพของผู้บริหาร อาจทำให้พลาดข้อมูลสำคัญและตัดสินใจผิดพลาดได้
Trailing vs Forward P/E: 2 มุมมอง ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
P/E ไม่ได้มีแค่แบบเดียว มีสองเวอร์ชันที่ใช้บ่อย แต่มีเป้าหมายคนละอย่าง:
1. Trailing P/E (P/E ย้อนหลัง)
ใช้ กำไรที่เกิดขึ้นจริงใน 12 เดือนล่าสุด (TTM)
ข้อดี:
ข้อมูลยืนยันได้จริง และถูกตรวจสอบจากรายงานทางการเงิน
เหมาะกับ:
การวิเคราะห์บริษัทที่มีแนวโน้มกำไรคงที่ เช่น ปิโตรเคมี หรือพลังงาน
2. Forward P/E (P/E คาดการณ์)
ใช้ กำไรที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า
ข้อดี:
ช่วยมองไปข้างหน้า ตอบว่า “ราคาหุ้นปัจจุบัน แม้จะดูสูง แต่จะแพงจริงหรือไม่ถ้าเปรียบกับอนาคต?”
ข้อเสีย:
การคาดการณ์กำไรอาจผิดพลาด ยิ่งในหุ้นกลุ่ม Cyclical หรือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว
เหมาะกับ:
หุ้นเติบโต หรือบริษัทที่กำลังเปลี่ยนผ่านธุรกิจ
ปัจจัยเปรียบเทียบ | Trailing P/E | Forward P/E |
ข้อมูลที่ใช้ | กำไรจริง (12 เดือนล่าสุด) | กำไรคาดการณ์ (12 เดือนข้างหน้า) |
ความมั่นใจในข้อมูล | สูง (ตรวจสอบได้) | ปานกลางถึงต่ำ (ขึ้นกับแหล่งที่มา) |
จุดเน้น | อดีต | อนาคต |
การนำไปใช้ | มูลค่าพื้นฐานของกิจการ | โอกาสเติบโตในอนาคต |
ข้อจำกัดที่ต้องรู้ ก่อนใช้ P/E ชี้ชะตา
แม้ P/E จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ต้องเข้าใจว่า “ไม่ใช่ยาครอบจักรวาล” และมีข้อบกพร่องที่อาจนำไปสู่ความผิดพลาดได้หากใช้ผิด

- ใช้ไม่ได้กับบริษัทที่ขาดทุน: หาก EPS ติดลบ P/E จะติดลบทันที และไม่มีประโยชน์ในการเปรียบเทียบ
- กำไรอาจถูกบิดเบือน: บริษัทบางแห่งอาจมี “รายการพิเศษ” เช่น ขายทรัพย์สิน, กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือปรับโครงสร้าง ทำให้กำไรปัจจุบันดูสูงเกินจริง
- อย่าเปรียบเทียบข้ามอุตสาหกรรม: การเปรียบเทียบ P/E ของหุ้นแบงก์ที่มี 10 เท่า กับหุ้นเทคโนโลยี 50 เท่า ไม่มีประโยชน์ เพราะกลไกการสร้างรายได้คนละแบบ
- ไม่สะท้อนหนี้สิน: บริษัท A และ B มี P/E เท่ากันที่ 15 เท่า แต่ A มีหนี้ 80% ของทุน ส่วน B ไม่มีหนี้เลย การพิจารณาเพียง P/E เพียงอย่างเดียว จะทำให้ภาพรวมคลาดเคลื่อน
ยกระดับการวิเคราะห์ด้วยการผสมเครื่องมือ
นักลงทุนระดับมืออาชีพไม่ดู P/E เพียงตัวเดียว แต่ใช้มันร่วมกับเครื่องมืออื่นเพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์

1. คู่กันกับ P/BV Ratio
P/BV (Price to Book Value) บอกว่าคุณจ่าย “กี่เท่าของมูลค่าทางบัญชี” ของบริษัท เหมาะกับหุ้นกลุ่มธนาคาร หรืออสังหาริมทรัพย์ ที่มีสินทรัพย์จับต้องชัดเจน
การใช้ P/E + P/BV:
หุ้น P/E ต่ำ และ P/BV ต่ำ = สัญญาณ Valueหุ้น P/E สูง แต่ P/BV ต่ำ = อาจกำลังเติบโตแรง
2. ใช้ PEG Ratio เพื่อดู “ความคุ้มค่า” ของ P/E สูง
PEG Ratio คือการปรับ P/E ให้สอดคล้องกับอัตราการเติบโตของกำไร ซึ่งแก้ข้อจำกัดของ P/E เดิมได้ดีมาก
สูตร PEG:
$$ \text{PEG} = \frac{\text{P/E}}{\text{อัตราเติบโตของ EPS ต่อปี (%)}} $$
ตัวอย่าง:
หุ้น X:
P/E = 40 เท่า, เติบโต EPS 20% ต่อปี → PEG = 2.0
หุ้น Y:
P/E = 30 เท่า, เติบโต EPS 30% ต่อปี → PEG = 1.0
แม้หุ้น Y มี P/E ต่ำกว่า แต่ PEG นั้นแสดงว่า “คุ้มกว่า” เพราะราคาสัมพันธ์กับการเติบโตได้ดีกว่า
สถาบันการเงินชั้นนำของไทยหลายแห่งต่างเน้นย้ำในหลักการวิเคราะห์หุ้นว่าต้องพิจารณา “การเติบโตควบคู่ไปกับมูลค่า” (Growth at a Reasonable Price) ไม่ใช่ดูเพียงตัวเลขด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยทั้ง บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี (Krungsri Securities) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ต่างก็ให้ความสำคัญกับแนวคิดการลงทุนที่สมดุลนี้
คำถามที่ 1: P/E Ratio คืออะไร สรุปให้เข้าใจง่าย?
เป็นสัดส่วนบ่งชี้ว่า นักลงทุนจ่ายเงินกี่บาทเพื่อแลกกับกำไร 1 บาทของบริษัท หรือดูง่ายๆ ว่า ต้องใช้เวลากี่ปีในการคืนทุน หากกำไรคงที่
คำถามที่ 2: วิธีคำนวณ P/E?
นำราคาหุ้นปัจจุบัน หารด้วย กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ที่ได้จากกำไร 12 เดือนล่าสุดหารด้วยจำนวนหุ้นที่มีทั้งหมด
คำถามที่ 3: ค่า P/E ที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่?
ไม่มีค่าตายตัว แต่ควรเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น หุ้นธนาคารอาจเฉลี่ย 10–15 เท่า แต่หุ้นเทคโนโลยีอาจ 30 เท่าขึ้น
คำถามที่ 4: P/E ติดลบหมายถึงอะไร?
หมายถึงบริษัทขาดทุน โดยขาดทุนในช่วง 12 เดือนล่าสุด ทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์มูลค่าด้วย P/E ได้ต้องใช้สูตรอื่น เช่น P/S (Price to Sales)
คำถามที่ 5: เปรียบเทียบ P/E หุ้นธนาคาร กับหุ้นเทคโนโลยี ได้ไหม?
ไม่ควรเปรียบเทียบโดยตรง เพราะลักษณะธุรกิจ โมเดลรายได้ และความเสี่ยงต่างกันมาก การเปรียบเทียบควรทำในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรือคู่แข่งโดยตรง
คำถามที่ 6: Trailing P/E vs Forward P/E อันไหนน่าเชื่อถือกว่า?
Trailing P/E น่าเชื่อถือกว่าเพราะใช้ผลประกอบการจริง แต่ Forward P/E ให้มุมมองอนาคตที่สำคัญ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือใช้ทั้งสองอย่างร่วมกันเพื่อเปรียบเทียบแนวโน้ม
คำถามที่ 7: ทำไมหุ้นเติบโตสูงถึงมี P/E สูง?
เพราะนักลงทุนซื้อ “ความคาดหวังในอนาคต” นั่นคือ แม้กำไรปัจจุบัน (E) จะยังไม่มาก แต่พวกเขามองว่าใน 2–3 ปีข้างหน้า กำไรจะพุ่ง จึงยอมจ่ายราคาสูง (P) ตั้งแต่วันนี้