Skip to content
  • ไทย
    • หน้าแรก
    • รีวิวโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์
      • รายละเอียดโบรกเกอร์ Forex
    • การเทรด Forex
      • วิเคราะห์คู่สกุลเงิน Forex
      • คู่มือเริ่มต้นเทรด Forex
    • คริปโตเคอร์เรนซี
      • รวมคริปโตเคอร์เรนซียอดนิยม
      • พื้นฐานการลงทุนบล็อกเชน
    • การลงทุนในหุ้น
      • วิเคราะห์หุ้นกลุ่มยอดนิยม
      • คู่มือเริ่มต้นลงทุนหุ้น
      • แนะนำกองทุน ETF
    • การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์
      • เจาะลึกการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
      • คู่มือเริ่มต้นลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
    • วิเคราะห์อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค
    • พื้นฐานการลงทุน
    • หน้าแรก
    • รีวิวโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์
      • รายละเอียดโบรกเกอร์ Forex
    • การเทรด Forex
      • วิเคราะห์คู่สกุลเงิน Forex
      • คู่มือเริ่มต้นเทรด Forex
    • คริปโตเคอร์เรนซี
      • รวมคริปโตเคอร์เรนซียอดนิยม
      • พื้นฐานการลงทุนบล็อกเชน
    • การลงทุนในหุ้น
      • วิเคราะห์หุ้นกลุ่มยอดนิยม
      • คู่มือเริ่มต้นลงทุนหุ้น
      • แนะนำกองทุน ETF
    • การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์
      • เจาะลึกการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
      • คู่มือเริ่มต้นลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
    • วิเคราะห์อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค
    • พื้นฐานการลงทุน

    หน้าแรก - พื้นฐานการลงทุน

    Market Capitalization คืออะไร? ครบทุกเรื่องที่นักลงทุนต้องรู้

    • วันที่เผยแพร่บทความ: 2025-08-15
    • วันที่อัปเดตบทความ:2025-08-15
    ภาพแนะนำบทความ Market Capitalization คือ

    สารบัญ

    เวลาเราเปิดแอปเทรดหุ้นหรืออ่านข่าวการลงทุน คำว่า Market Cap หรือมูลค่าตามราคาตลาดจะโผล่มาให้เห็นเสมอ แต่รู้ไหมว่าตัวเลขนี้บอกอะไรเราได้บ้าง และทำไมนักลงทุนมืออาชีพถึงให้ความสำคัญกับมันมาก

    ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจ Market Capitalization คืออะไรแบบละเอียด ตั้งแต่พื้นฐานการคำนวณไปจนถึงเทคนิคการใช้งานขั้นสูงที่นักลงทุนสถาบันใช้กัน พร้อมตัวอย่างจากหุ้นไทยที่เราคุ้นเคย เพื่อให้คุณสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ

    ภาพแนะนำบทความ Market Capitalization คือ

    Market Capitalization คืออะไร?

    Market Capitalization คืออะไร?

    Market Capitalization หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า Market Cap คือ มูลค่าตามราคาตลาด ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ พูดง่าย ๆ คือถ้าคุณอยากซื้อบริษัทนั้นทั้งบริษัท คุณต้องจ่ายเงินเท่ากับ Market Cap นั่นเอง

    ลองนึกภาพว่าบริษัทเป็นเหมือนพิซซ่าหนึ่งถาด ที่ถูกตัดเป็นชิ้น ๆ แต่ละชิ้นคือหุ้น 1 หุ้น ถ้าพิซซ่าถาดนี้ถูกตัดเป็น 1,000 ชิ้น และแต่ละชิ้นราคา 50 บาท Market Cap ของพิซซ่าถาดนี้ก็คือ 50,000 บาท นี่คือมูลค่าทั้งหมดของพิซซ่าตามราคาที่ตลาดยอมรับ

    Market Cap เป็นตัวชี้วัดพื้นฐานที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่งในการประเมินขนาดของบริษัท ยิ่งบริษัทมี Market Cap สูง แสดงว่าตลาดให้มูลค่ากับบริษัทนั้นมาก นักลงทุนทั่วโลกใช้ตัวเลขนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการวิเคราะห์และเปรียบเทียบบริษัทต่าง ๆ

    ที่สำคัญคือ Market Cap ไม่ได้บอกแค่ขนาดของบริษัท แต่ยังสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทนั้น ๆ ด้วย เพราะราคาหุ้นที่ใช้คำนวณนั้นเกิดจากอุปสงค์และอุปทานในตลาด ถ้านักลงทุนมองว่าบริษัทมีอนาคตที่ดี ราคาหุ้นจะสูงขึ้น ทำให้ Market Cap สูงตามไปด้วย

    วิธีคำนวณ Market Cap

    การคำนวณ Market Cap นั้นง่ายมาก ใช้สูตรเพียงสูตรเดียว:

    มูลค่าตามราคาตลาด = ราคาหุ้น × จำนวนหุ้นทั้งหมด

    หรือในภาษาอังกฤษ: Market Cap = Share Price × Total Outstanding Shares

    มาดูตัวอย่างจากหุ้นไทยกัน สมมติว่าบริษัท ABC จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีจำนวนหุ้นทั้งหมด 500 ล้านหุ้น ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 25 บาทต่อหุ้น

    Market Cap = 25 บาท × 500,000,000 หุ้น = 12,500,000,000 บาท

    ดังนั้น Market Cap ของบริษัท ABC คือ 12,500 ล้านบาท หรือ 12.5 พันล้านบาท

    แต่ต้องระวังว่าจำนวนหุ้นที่ใช้คำนวณต้องเป็น Outstanding Shares คือหุ้นที่ออกและขายให้นักลงทุนแล้ว ไม่รวมหุ้นที่บริษัทซื้อคืน (Treasury Stock) ตัวเลขนี้มักจะเปลี่ยนแปลงเมื่อบริษัทมีการเพิ่มทุน ลดทุน หรือซื้อหุ้นคืน

    ตัวอย่างจากหุ้นจริงในตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ วันที่เขียนบทความนี้ PTT มีราคาหุ้นประมาณ 35 บาทต่อหุ้น และมีจำนวนหุ้นประมาณ 28,600 ล้านหุ้น Market Cap ของ PTT จึงอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านบาท ทำให้ PTT เป็นหนึ่งในบริษัทที่มี Market Cap สูงที่สุดในประเทศไทย

    ทำไม Market Cap ถึงสำคัญกับนักลงทุน?

    Market Cap มีความสำคัญต่อนักลงทุนในหลายแง่มุม ไม่ใช่แค่บอกขนาดของบริษัทเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวชี้วัดที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุนอีกด้วย

    1. ใช้ประเมินขนาดและความมั่นคงของบริษัท

    บริษัทที่มี Market Cap สูงมักเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงทางการเงิน มีธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีฐานลูกค้าที่กว้าง ยกตัวอย่างเช่น บริษัทใน SET50 ซึ่งเป็น 50 บริษัทที่มี Market Cap สูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ไทย มักเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการสม่ำเสมอและจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง

    การที่บริษัทมี Market Cap สูงยังหมายถึงมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงด้วย นักลงทุนสามารถซื้อหรือขายหุ้นได้ง่าย ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคนมารับซื้อหรือขายให้ ซึ่งต่างจากหุ้นที่มี Market Cap ต่ำที่อาจมีปริมาณการซื้อขายน้อย

    2. ช่วยในการจัดสรรพอร์ตการลงทุน

    นักลงทุนมืออาชีพมักใช้ Market Cap เป็นเกณฑ์ในการจัดสรรเงินลงทุนในพอร์ต โดยทั่วไปจะแบ่งสัดส่วนการลงทุนระหว่างหุ้น Large Cap, Mid Cap และ Small Cap เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่สมดุล

    พอร์ตการลงทุนที่ดีมักจะมีหุ้น Large Cap เป็นฐานเพื่อความมั่นคง เสริมด้วยหุ้น Mid Cap เพื่อการเติบโต และเพิ่มหุ้น Small Cap เล็กน้อยเพื่อโอกาสในการทำกำไรสูง แต่ต้องยอมรับความเสี่ยงที่มากขึ้นด้วย

    3. เป็นเกณฑ์ในการสร้างดัชนีหุ้น

    ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใช้ Market Cap เป็นเกณฑ์หลักในการคัดเลือกหุ้นเข้าดัชนีต่าง ๆ เช่น SET50 คือ 50 บริษัทที่มี Market Cap สูงที่สุด SET100 คือ 100 บริษัทแรก เป็นต้น

    การที่หุ้นถูกคัดเลือกเข้าดัชนีมีความสำคัญมาก เพราะกองทุนรวมและกองทุนบำเหน็จบำนาญหลายกองที่ลงทุนตามดัชนีจะต้องซื้อหุ้นนั้น ๆ ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

    4. ใช้เปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน

    เมื่อต้องการเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน Market Cap เป็นตัวชี้วัดแรก ๆ ที่นักวิเคราะห์จะดู เช่น ในกลุ่มธนาคาร เราอาจเปรียบเทียบ Market Cap ของ BBL, KBANK, SCB เพื่อดูว่าตลาดให้มูลค่าธนาคารไหนมากที่สุด

    แต่ต้องระวังว่าการมี Market Cap สูงไม่ได้หมายความว่าบริษัทนั้นดีที่สุดเสมอไป ต้องดูปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น อัตราส่วนทางการเงิน แนวโน้มการเติบโต และความสามารถในการทำกำไร

    การแบ่งประเภทหุ้นด้วย Market Cap

    การแบ่งประเภทหุ้นด้วย Market Cap

    การจัดประเภทหุ้นตาม Market Cap เป็นวิธีที่นิยมใช้ทั่วโลก โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก คือ Large Cap, Mid Cap และ Small Cap แต่ละประเภทมีลักษณะและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน

    สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือ เกณฑ์การจัดหมวดหมู่ Market Cap นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละดัชนีและแต่ละประเทศ ไม่มีคำจำกัดความที่เป็นทางการหรือข้อตกลงที่เป็นเอกฉันท์เกี่ยวกับค่าตัดแบ่งที่แน่นอน ตัวอย่างเช่น เกณฑ์ของ FINRA (สหรัฐอเมริกา) จะแตกต่างจากเกณฑ์ที่ใช้ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ

    เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองดูตารางเปรียบเทียบเกณฑ์การจัดหมวดหมู่ Market Cap ทั้งในบริบทสากล (ตาม FINRA) และบริบทไทย (ตาม InnovestX) ดังนี้:

    ตารางที่ 1: การเปรียบเทียบการจัดหมวดหมู่ Market Capitalization (บริบทไทยและสากล)

    หมวดหมู่ Market Cap

    คำจำกัดความ FINRA/US (ปี 2022, พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

    คำจำกัดความ InnovestX (ไทย, ล้านบาท)

    ลักษณะเด่น (ทั่วไป)

    ความเสี่ยง (ทั่วไป)

    ผลตอบแทนคาดหวัง (ทั่วไป)

    Mega-cap

    ≥ $200

    N/A (รวมอยู่ใน Large Cap)

    บริษัทขนาดใหญ่พิเศษ มีอิทธิพลต่อตลาดโลก

    ต่ำมาก

    5-10% ต่อปี

    Large-cap

    $10 – $200

    > 50,000 ล้านบาท

    บริษัทขนาดใหญ่ มั่นคง สภาพคล่องสูง จ่ายปันผลสม่ำเสมอ 1

    ต่ำ

    5-10% ต่อปี

    Mid-cap

    $2 – $10

    10,000 – 50,000 ล้านบาท

    บริษัทกำลังเติบโต มีศักยภาพขยายตัวสูง มีความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน 1

    ปานกลาง

    10-20% ต่อปี

    Small-cap

    $0.25 – $2

    < 10,000 ล้านบาท

    บริษัทขนาดเล็ก มีโอกาสเติบโตเร็วสูง นวัตกรรมใหม่ หรืออยู่ใน Niche Market 1

    สูง

    20%+ ต่อปี

    Micro-cap

    < $0.25

    N/A (รวมอยู่ใน Small Cap)

    บริษัทขนาดเล็กมาก มีความผันผวนสูงมาก

    สูงมาก

    สูงมาก

    Nano-cap

    < $0.05 (ปี 2013) หรือ < $0.064 (ปี 2023)

    N/A

    บริษัทขนาดเล็กจิ๋ว

    สูงมาก

    สูงมาก

    หมายเหตุ: เกณฑ์การจัดหมวดหมู่ Market Cap อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ การเปลี่ยนแปลงของประชากร และการประเมินมูลค่าตลาดโดยรวม

    หุ้น Large Cap (หุ้นขนาดใหญ่)

    ในประเทศไทย หุ้น Large Cap คือบริษัทที่มี Market Cap มากกว่า 50,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทในกลุ่ม SET50 เช่น PTT, AOT, CPALL, ADVANC เป็นต้น

    หุ้น Large Cap มีลักษณะเด่นคือมีความมั่นคงสูง ราคาไม่ผันผวนมาก มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง และมักจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและไม่ชอบความเสี่ยง หรือนักลงทุนที่มีเงินลงทุนจำนวนมากและต้องการสภาพคล่อง

    ข้อดีของหุ้น Large Cap คือมีข้อมูลวิเคราะห์มากมาย นักวิเคราะห์จากหลายสำนักติดตามอย่างใกล้ชิด ทำให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย และมีความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจสูง

    แต่ข้อเสียคือโอกาสในการเติบโตอาจจำกัด เพราะบริษัทใหญ่แล้ว การจะโตเป็นสองเท่าย่อมยากกว่าบริษัทเล็ก และราคาหุ้นต่อหุ้นมักสูง อาจเป็นอุปสรรคสำหรับนักลงทุนที่มีเงินทุนน้อย

    หุ้น Mid Cap (หุ้นขนาดกลาง)

    หุ้น Mid Cap ในไทยมี Market Cap อยู่ระหว่าง 10,000 – 50,000 ล้านบาท เป็นบริษัทที่ผ่านช่วงเริ่มต้นมาแล้ว มีธุรกิจที่ค่อนข้างมั่นคง แต่ยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก

    ตัวอย่างหุ้น Mid Cap ในไทย เช่น บริษัทในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลาง โรงพยาบาลเอกชน หรือบริษัทผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรม หุ้นกลุ่มนี้มีความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน

    หุ้น Mid Cap เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงกว่า Large Cap แต่ไม่อยากเสี่ยงมากเท่า Small Cap มักมีอัตราการเติบโตดี เพราะยังมี Market Share ที่จะขยายได้อีกมาก และเริ่มมีความมั่นคงทางการเงินที่ดีขึ้น

    อย่างไรก็ตาม หุ้น Mid Cap อาจมีสภาพคล่องไม่สูงเท่า Large Cap และข้อมูลการวิเคราะห์อาจไม่มากนัก นักลงทุนต้องทำการบ้านเพิ่มเติมในการศึกษาข้อมูลบริษัท

    หุ้น Small Cap (หุ้นขนาดเล็ก)

    หุ้น Small Cap คือบริษัทที่มี Market Cap ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ในไทยมีจำนวนมากที่สุดแต่มักถูกมองข้าม เป็นบริษัทที่อยู่ในช่วงเติบโต มีนวัตกรรมใหม่ ๆ หรืออยู่ใน Niche Market

    หุ้น Small Cap มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงมาก บางบริษัทอาจเติบโตเป็น 5-10 เท่าภายในเวลาไม่กี่ปี แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ราคาผันผวนมาก สภาพคล่องต่ำ และบางบริษัทอาจล้มเหลวได้

    การลงทุนในหุ้น Small Cap ต้องมีความรู้และเวลาในการศึกษาข้อมูลมาก ต้องอ่านงบการเงินเป็น เข้าใจธุรกิจ และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ไม่เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่หรือคนที่ไม่มีเวลา

    นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จกับหุ้น Small Cap มักใช้กลยุทธ์กระจายการลงทุนในหลาย ๆ บริษัท เพื่อลดความเสี่ยง และลงทุนเฉพาะเงินที่พร้อมจะเสียได้

    ประเภท

    Market Cap (ล้านบาท)

    ลักษณะเด่น

    ความเสี่ยง

    ผลตอบแทนคาดหวัง

    Large Cap

    > 50,000

    มั่นคง, สภาพคล่องสูง, จ่ายปันผล

    ต่ำ

    5-10% ต่อปี

    Mid Cap

    10,000 – 50,000

    สมดุล, กำลังเติบโต

    ปานกลาง

    10-20% ต่อปี

    Small Cap

    < 10,000

    เติบโตเร็ว, ผันผวนสูง

    สูง

    20%+ ต่อปี

    ข้อจำกัดของ Market Cap และสิ่งที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม

    แม้ว่า Market Cap จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ แต่มันก็มีข้อจำกัดที่นักลงทุนควรตระหนักถึง การใช้ Market Cap เพียงอย่างเดียวในการประเมินมูลค่าบริษัทอาจทำให้เห็นภาพที่ไม่สมบูรณ์

    Market Cap ไม่ได้บอกทุกอย่างเกี่ยวกับสุขภาพการเงิน

    Market Cap บอกแค่มูลค่าตามราคาตลาด แต่ไม่ได้บอกว่าบริษัทมีหนี้สินเท่าไหร่ มีเงินสดเท่าไหร่ หรือมีสินทรัพย์อื่น ๆ อะไรบ้าง บริษัทที่มี Market Cap สูงอาจมีหนี้สินมหาศาลซ่อนอยู่

    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ บริษัทสายการบินหลายแห่งมี Market Cap สูง แต่เมื่อดูงบการเงินจะพบว่ามีหนี้สินจำนวนมาก ทำให้มูลค่าที่แท้จริงของบริษัทอาจต่ำกว่าที่ Market Cap บอกมาก

    นักลงทุนมืออาชีพจึงมักดู Enterprise Value (EV) ควบคู่ไปด้วย ซึ่ง EV จะรวมหนี้สินและหักเงินสดออก ให้ภาพที่ชัดเจนกว่าว่าถ้าจะซื้อบริษัทนี้ทั้งหมดต้องใช้เงินเท่าไหร่จริง ๆ

    Enterprise Value: ตัวชี้วัดที่ครอบคลุมกว่า

    Enterprise Value คำนวณจาก: EV = Market Cap + หนี้สินทั้งหมด – เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด

    ยกตัวอย่าง บริษัท A มี Market Cap 10,000 ล้านบาท หนี้สิน 5,000 ล้านบาท เงินสด 2,000 ล้านบาท EV = 10,000 + 5,000 – 2,000 = 13,000 ล้านบาท

    บริษัท B มี Market Cap 10,000 ล้านบาท เหมือนกัน แต่ไม่มีหนี้สิน มีเงินสด 3,000 ล้านบาท EV = 10,000 + 0 – 3,000 = 7,000 ล้านบาท

    แม้ทั้งสองบริษัทมี Market Cap เท่ากัน แต่บริษัท B มีมูลค่าที่แท้จริงต่ำกว่า เพราะมีเงินสดมากและไม่มีหนี้ นี่คือเหตุผลที่ต้องดู EV ประกอบด้วย

    Free-Float Market Cap: มูลค่าที่ซื้อขายได้จริง

    Free-Float Market Cap คือ Market Cap ที่คำนวณเฉพาะหุ้นที่ซื้อขายได้อย่างเสรีในตลาด ไม่รวมหุ้นที่ถือโดยผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ไม่ขาย เช่น ครอบครัวผู้ก่อตั้ง รัฐบาล หรือพันธมิตรทางธุรกิจ

    ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใช้ Free-Float Market Cap ในการคำนวณดัชนี SET เพื่อให้สะท้อนมูลค่าที่นักลงทุนทั่วไปสามารถซื้อขายได้จริง

    ตัวอย่างเช่น บริษัทที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ถือหุ้น 70% Free Float จะเหลือแค่ 30% ถ้า Market Cap เต็มเท่ากับ 1,000 ล้านบาท Free-Float Market Cap จะเท่ากับ 300 ล้านบาทเท่านั้น

    การดู Free Float มีความสำคัญเพราะ:

    • หุ้นที่มี Free Float ต่ำมักมีความผันผวนสูง เพราะมีหุ้นซื้อขายน้อย
    • กองทุนขนาดใหญ่อาจไม่ลงทุนในหุ้นที่มี Free Float ต่ำ เพราะยากต่อการซื้อขาย
    • การเข้าดัชนีต้องมี Free Float ตามเกณฑ์ที่กำหนด

    ปัจจัยอื่นที่ต้องพิจารณาร่วมกับ Market Cap

    นอกจาก Enterprise Value และ Free Float แล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ควรดูประกอบ:

    1. อัตราส่วน P/E Ratio แม้บริษัทจะมี Market Cap สูง แต่ถ้า P/E Ratio สูงมากอาจแสดงว่าราคาแพงเกินไป ควรเปรียบเทียบ P/E กับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม

    2. อัตราการเติบโตของรายได้และกำไร บริษัทที่มี Market Cap ต่ำแต่เติบโตเร็วอาจน่าสนใจกว่าบริษัทที่มี Market Cap สูงแต่เติบโตช้าหรือถดถอย

    3. สภาพคล่องทางการเงิน ดูอัตราส่วนสภาพคล่อง เช่น Current Ratio, Quick Ratio เพื่อประเมินความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น

    4. ความสามารถในการแข่งขัน Market Share, Brand Value, และ Competitive Advantage เป็นสิ่งที่ Market Cap ไม่ได้บอก แต่สำคัญต่อความยั่งยืนของธุรกิจ

    5. ปัจจัยภายนอก Market Cap ไม่ได้รวมปัจจัยสะท้อนภายนอก เช่น สภาพทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบ

    6. ความผันผวนของตลาดหุ้น มูลค่าตามราคาตลาดได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดหุ้นค่อนข้างมาก ความเชื่อมั่นของตลาดหุ้นและพฤติกรรมของนักลงทุนอาจส่งผลให้ราคาหุ้นผันผวนอย่างรุนแรง

    การใช้ Market Cap ในการลงทุนจริง

    การนำ Market Cap มาใช้ในการลงทุนจริงต้องผสมผสานกับการวิเคราะห์อื่น ๆ ไม่ควรใช้เป็นตัวตัดสินใจเพียงอย่างเดียว ต่อไปนี้คือแนวทางการใช้งานที่เป็นประโยชน์

    การสร้างพอร์ตการลงทุนที่สมดุล

    การสร้างพอร์ตการลงทุนที่สมดุล

    นักลงทุนที่ฉลาดมักจะจัดสรรพอร์ตตาม Market Cap เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน ตัวอย่างพอร์ตสำหรับนักลงทุนทั่วไป:

    • 60% ในหุ้น Large Cap: เพื่อความมั่นคงและเงินปันผล
    • 30% ในหุ้น Mid Cap: เพื่อการเติบโตที่ดี
    • 10% ในหุ้น Small Cap: เพื่อโอกาสผลตอบแทนสูง

    นักลงทุนหนุ่มสาวที่มีเวลาในการลงทุนยาวอาจเพิ่มสัดส่วน Small Cap และ Mid Cap ในขณะที่นักลงทุนใกล้เกษียณอาจเน้น Large Cap มากขึ้นเพื่อความมั่นคง

    การใช้ Market Cap ในการ Timing การลงทุน

    Market Cap ยังช่วยในการจับจังหวะการลงทุนได้ด้วย โดยทั่วไปในช่วงตลาดขาลง หุ้น Small Cap มักจะตกหนักกว่า Large Cap แต่เมื่อตลาดฟื้นตัว Small Cap ก็มักจะดีดกลับแรงกว่า

    นักลงทุนที่ชาญฉลาดอาจใช้กลยุทธ์ Rotation คือในช่วงตลาดไม่แน่นอนให้เน้น Large Cap พอตลาดเริ่มฟื้นค่อยๆ เพิ่ม Mid Cap และ Small Cap เข้ามา วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงในช่วงตลาดผันผวนและเพิ่มโอกาสทำกำไรในช่วงตลาดดี

    การเปรียบเทียบ Market Cap กับมูลค่าพื้นฐาน

    นักลงทุน Value Investing มักมองหาหุ้นที่มี Market Cap ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) โดยอาจใช้วิธีประเมินมูลค่าแบบต่าง ๆ เช่น DCF Model, Asset-Based Valuation หรือ Earnings Multiple

    เมื่อพบว่า Market Cap ต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินได้มาก อาจเป็นโอกาสในการลงทุน แต่ต้องตรวจสอบว่าทำไมตลาดถึงให้ราคาต่ำ อาจมีปัจจัยเสี่ยงที่เรามองข้ามไป

    Market Cap กับการลงทุนในยุคดิจิทัล

    ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท การมอง Market Cap ต้องปรับมุมมองใหม่ บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งมี Market Cap สูงมากแม้จะยังไม่มีกำไรหรือมีสินทรัพย์ที่จับต้องได้น้อย

    บริษัทเทคโนโลยีกับ Market Cap

    บริษัทอย่าง Tesla, Amazon ในช่วงแรก ๆ มี Market Cap สูงมากเมื่อเทียบกับรายได้และกำไร นักลงทุนให้มูลค่าสูงเพราะเชื่อในศักยภาพการเติบโตในอนาคต ไม่ใช่ผลประกอบการปัจจุบัน

    ในประเทศไทยก็เช่นกัน บริษัทที่ทำธุรกิจ E-commerce, Fintech หรือ Digital Services อาจมี Market Cap ที่ดูสูงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่มี แต่นักลงทุนให้ค่า Premium สำหรับการเติบโตที่คาดหวัง

    Cryptocurrency และ Market Cap

    แนวคิด Market Cap ยังถูกนำไปใช้กับ Cryptocurrency ด้วย โดยคำนวณจากราคา Coin คูณกับจำนวน Coin ที่มีอยู่ในระบบ Bitcoin มี Market Cap สูงที่สุดในบรรดา Crypto ทั้งหมด

    แต่ Market Cap ของ Crypto มีความหมายต่างจากหุ้น เพราะไม่มีบริษัทหรือสินทรัพย์รองรับ เป็นเพียงการสะท้อนมูลค่าตามความเชื่อมั่นของผู้ใช้งานเท่านั้น

    กลยุทธ์การลงทุนตาม Market Cap

    มีกลยุทธ์การลงทุนหลายแบบที่ใช้ Market Cap เป็นพื้นฐาน แต่ละกลยุทธ์เหมาะกับนักลงทุนที่มีเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ต่างกัน

    1. การลงทุนตามดัชนี

    การลงทุนตามดัชนีเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการใช้ประโยชน์จาก Market Cap โดยซื้อกองทุนรวมหรือ ETF ที่ลงทุนตามดัชนี เช่น SET50 Index Fund จะลงทุนใน 50 บริษัทที่มี Market Cap สูงที่สุด

    ข้อดีคือได้กระจายความเสี่ยงอัตโนมัติ ไม่ต้องเลือกหุ้นเอง และค่าธรรมเนียมต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาศึกษาหุ้นรายตัวหรือนักลงทุนมือใหม่

    2. พอร์ตการลงทุนถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด

    นักลงทุนที่ต้องการจัดพอร์ตเองอาจใช้ Market Cap เป็นตัวกำหนดน้ำหนักการลงทุน คือลงทุนในหุ้นที่มี Market Cap สูงมากกว่าหุ้นที่มี Market Cap ต่ำ

    วิธีนี้ช่วยให้พอร์ตมีความมั่นคง เพราะเน้นหุ้นใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง แต่ก็ยังมีหุ้นเล็กเพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโต

    3. กลยุทธ์ชิงผลตอบแทนส่วนเกินจากหุ้นขนาดเล็ก

    งานวิจัยทางการเงินพบว่าในระยะยาว หุ้น Small Cap มักให้ผลตอบแทนสูงกว่า Large Cap แต่มีความผันผวนมากกว่า นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้อาจเน้นลงทุนใน Small Cap

    กลยุทธ์นี้ต้องการความอดทนและต้องกระจายการลงทุนในหลาย ๆ หุ้น เพราะบางตัวอาจล้มเหลว แต่ตัวที่สำเร็จจะให้ผลตอบแทนสูงมาก

    4. การเทรดตามโมเมนตัมของ Market Cap

    บางครั้งหุ้นที่กำลังเปลี่ยนขนาด Market Cap อาจเป็นโอกาสดี เช่น หุ้นที่กำลังจะเข้า SET50 มักมีแรงซื้อจากกองทุนที่ต้องซื้อตามดัชนี หรือหุ้นที่กำลังโตจาก Small Cap เป็น Mid Cap

    การติดตามการเปลี่ยนแปลง Market Cap และการ Rebalance ของดัชนีต่าง ๆ อาจช่วยหาโอกาสการลงทุนได้

    นอกจากหุ้นและการลงทุนใน Market Capitalization แล้ว นักลงทุนยังสามารถศึกษาการลงทุนในตราสารหนี้ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์บทความ หุ้นกู้คืออะไร เพื่อเข้าใจตลาดทางเลือกเพิ่มเติม

    ความผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Market Cap

    นักลงทุนหลายคนใช้ Market Cap ผิดวิธี ทำให้ตัดสินใจลงทุนผิดพลาด มาดูความผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีหลีกเลี่ยง

    1. คิดว่า Market Cap สูง = หุ้นแพง

    หลายคนเข้าใจผิดว่าบริษัทที่มี Market Cap สูงคือหุ้นที่แพงเกินไป จริง ๆ แล้ว Market Cap บอกแค่ขนาดของบริษัท ไม่ได้บอกว่าแพงหรือถูก ต้องดู Valuation Ratios อื่น ๆ ประกอบ

    บริษัทที่มี Market Cap ล้านล้านบาทแต่มีกำไรแสนล้านบาทต่อปี อาจถูกกว่าบริษัทที่มี Market Cap หมื่นล้านบาทแต่ยังไม่มีกำไรเลย

    2. ไม่คำนึงถึงจำนวนหุ้น

    บางคนดูแค่ราคาหุ้นแล้วคิดว่าหุ้นราคาต่ำน่าลงทุนกว่า โดยไม่ดูจำนวนหุ้น บริษัท A ราคาหุ้น 1 บาท มี 10,000 ล้านหุ้น (Market Cap 10,000 ล้านบาท) อาจแพงกว่าบริษัท B ราคาหุ้น 100 บาท มี 10 ล้านหุ้น (Market Cap 1,000 ล้านบาท)

    3. ละเลย Free Float

    การดูแค่ Market Cap โดยไม่ดู Free Float อาจทำให้ประเมินสภาพคล่องผิด หุ้นที่มี Market Cap สูงแต่ Free Float ต่ำอาจซื้อขายยากและมีความผันผวนสูง

    4. ไม่ปรับมุมมองตามอุตสาหกรรม

    Market Cap ที่เหมาะสมแตกต่างกันตามอุตสาหกรรม ธนาคารอาจต้องมี Market Cap หลายแสนล้านถึงจะถือว่าใหญ่ แต่บริษัท Software อาจมี Market Cap หมื่นล้านก็ถือว่าใหญ่แล้ว

    5. ไม่ติดตามการเปลี่ยนแปลง

    Market Cap เปลี่ยนแปลงทุกวันตามราคาหุ้น และเปลี่ยนแบบก้าวกระโดดเมื่อมีการเพิ่มทุนหรือซื้อหุ้นคืน นักลงทุนต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เพื่อประเมินสถานะของบริษัทได้ถูกต้อง

    Market Cap ในบริบทของตลาดหุ้นไทย

    ตลาดหุ้นไทยมีลักษณะเฉพาะที่นักลงทุนควรเข้าใจเมื่อใช้ Market Cap ในการวิเคราะห์

    โครงสร้าง Market Cap ของตลาดหุ้นไทย

    ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มี Market Cap รวมประมาณ 20 ล้านล้านบาท โดยมีการกระจุกตัวค่อนข้างสูง บริษัทใหญ่ 50 อันดับแรก (SET50) มี Market Cap รวมกันมากกว่า 70% ของตลาดทั้งหมด

    การกระจุกตัวนี้หมายความว่าการเคลื่อนไหวของหุ้นใหญ่ ๆ มีผลต่อดัชนีมาก ถ้า PTT หรือ AOT ขึ้นหรือลงมาก ดัชนี SET จะเคลื่อนไหวตามอย่างเห็นได้ชัด

    กลุ่มอุตสาหกรรมกับ Market Cap

    แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดหุ้นไทยมี Market Cap เฉลี่ยต่างกัน:

    • กลุ่มพลังงาน: Market Cap สูง เช่น PTT, PTTEP, BANPU
    • กลุ่มธนาคาร: Market Cap สูง เช่น BBL, KBANK, SCB
    • กลุ่มค้าปลีก: Market Cap ปานกลางถึงสูง เช่น CPALL, BJC, MAKRO
    • กลุ่มอสังหาริมทรัพย์: Market Cap หลากหลาย ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่
    • กลุ่มเทคโนโลยี: Market Cap ส่วนใหญ่ยังไม่สูงมาก แต่กำลังเติบโต

    ผลกระทบของนักลงทุนต่างชาติ

    นักลงทุนสถาบันต่างชาติมักสนใจหุ้นที่มี Market Cap สูงและ Free Float มาก เพราะต้องการสภาพคล่องในการซื้อขาย เมื่อ Fund Flow เข้าหรือออก มักกระทบหุ้น Large Cap ก่อน

    การติดตาม Foreign Net Buy/Sell ในหุ้น Large Cap จึงเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางตลาดที่สำคัญ

    การใช้ Market Cap ร่วมกับเครื่องมืออื่น

    Market Cap ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์

    การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis)

    นอกจาก Market Cap แล้ว ควรดูอัตราส่วนทางการเงินอื่น ๆ ด้วย:

    • P/E Ratio: เปรียบเทียบราคากับกำไร
    • P/BV Ratio: เปรียบเทียบราคากับมูลค่าทางบัญชี
    • ROE: ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
    • Debt to Equity: สัดส่วนหนี้สินต่อทุน

    การใช้ Market Cap ร่วมกับอัตราส่วนเหล่านี้จะช่วยประเมินได้ว่าบริษัทมีมูลค่าเหมาะสมหรือไม่

    การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

    แม้ Market Cap จะเป็นข้อมูลพื้นฐาน แต่สามารถใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคได้ เช่น:

    • หุ้น Large Cap มักมีแนวโน้มที่ชัดเจนและเคลื่อนไหวตาม Moving Average ได้ดี
    • หุ้น Small Cap มักมี Volatility สูง เหมาะกับการเทรดระยะสั้น
    • Volume ในหุ้นที่มี Market Cap ต่างกันมีความหมายต่างกัน

    การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ

    Market Cap ไม่ได้บอกเรื่องคุณภาพของการบริหารจัดการ นวัตกรรม หรือความได้เปรียบเชิงแข่งขัน นักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ:

    • คุณภาพของผู้บริหาร
    • Business Model และ Competitive Advantage
    • แนวโน้มอุตสาหกรรม
    • ความเสี่ยงเฉพาะของบริษัท

    อนาคตของ Market Cap

    แนวคิดเรื่อง Market Cap กำลังพัฒนาไปตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดการเงินโลก

    Intangible Assets และ Market Cap

    ในยุคดิจิทัล สินทรัพย์ไม่มีตัวตน (Intangible Assets) เช่น Brand, Patent, Data มีความสำคัญมากขึ้น บริษัทอย่าง Apple, Google มี Market Cap สูงมากเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่จับต้องได้

    นักลงทุนต้องปรับมุมมองในการประเมิน Market Cap ให้คำนึงถึงมูลค่าของสินทรัพย์ไม่มีตัวตนด้วย

    ESG และผลกระทบต่อ Market Cap

    ปัจจัย Environmental, Social, Governance (ESG) เริ่มมีผลต่อ Market Cap มากขึ้น บริษัทที่มี ESG Score ดีมักได้ Premium ใน Market Cap เพราะนักลงทุนเชื่อว่ามีความยั่งยืนมากกว่า

    ในอนาคต Market Cap อาจสะท้อนไม่เพียงแค่ผลประกอบการทางการเงิน แต่รวมถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย

    บทสรุป

    Market Capitalization คือเครื่องมือพื้นฐานแต่ทรงพลังในการประเมินขนาดและมูลค่าของบริษัท แม้จะคำนวณง่ายเพียงนำราคาหุ้นคูณจำนวนหุ้น แต่การใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุดต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้ง

    นักลงทุนที่ฉลาดไม่ควรใช้ Market Cap เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจ แต่ควรใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการวิเคราะห์ ผสมผสานกับเครื่องมืออื่น ๆ เช่น Enterprise Value, Free Float, และอัตราส่วนทางการเงินต่าง ๆ

    การเข้าใจความแตกต่างระหว่างหุ้น Large Cap, Mid Cap และ Small Cap ช่วยให้นักลงทุนสามารถจัดสรรพอร์ตการลงทุนได้อย่างเหมาะสม สร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน

    ในยุคที่ตลาดการเงินเปลี่ยนแปลงเร็ว แนวคิดเรื่อง Market Cap ก็พัฒนาไปด้วย นักลงทุนต้องปรับตัวและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง แต่พื้นฐานสำคัญยังคงเหมือนเดิม คือการใช้ Market Cap เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจและประเมินมูลค่าบริษัท

    สุดท้ายนี้ ขอเตือนว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ข้อมูลเกี่ยวกับ Market Cap เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลรอบด้านและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ

    คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

    1. Market Cap บอกอะไรเราได้บ้าง?

      Market Cap บอกขนาดของบริษัทตามมูลค่าราคาตลาด ช่วยให้เราเปรียบเทียบขนาดบริษัทต่าง ๆ ได้ง่าย และเป็นตัวชี้วัดเบื้องต้นถึงความมั่นคงและสภาพคล่องของหุ้น บริษัทที่มี Market Cap สูงมักมีความมั่นคงมากกว่า มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงกว่า แต่อาจเติบโตช้ากว่าบริษัทเล็ก Market Cap ยังบอกถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัท แต่ไม่ได้บอกว่าหุ้นนั้นแพงหรือถูก ต้องดูอัตราส่วนอื่น ๆ ประกอบ

    2. Enterprise Value กับ Market Cap ต่างกันอย่างไร?

      Enterprise Value (EV) คือมูลค่าที่ครอบคลุมกว่า Market Cap เพราะรวมหนี้สินและหักเงินสดออก สูตรคือ EV = Market Cap + หนี้สินทั้งหมด – เงินสดและรายการเทียบเท่า EV บอกว่าถ้าจะซื้อบริษัททั้งบริษัทและรับภาระหนี้สินทั้งหมดต้องใช้เงินเท่าไหร่ ในขณะที่ Market Cap บอกแค่มูลค่าส่วนของผู้ถือหุ้น บริษัทที่มี Market Cap เท่ากันอาจมี EV ต่างกันมากถ้าโครงสร้างหนี้ต่างกัน นักลงทุนมืออาชีพมักใช้ EV ในการเปรียบเทียบบริษัทมากกว่า Market Cap

    3. หุ้นที่มี Market Cap ต่ำแปลว่าถูกใช่ไหม?

      ไม่จริงเสมอไป Market Cap ต่ำบอกแค่ว่าบริษัทมีขนาดเล็ก ไม่ได้บอกว่าหุ้นถูกหรือแพง การประเมินว่าหุ้นถูกหรือแพงต้องดู Valuation Ratios เช่น P/E, P/BV เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมหรือประวัติของบริษัทเอง บริษัทเล็กที่มี P/E 50 เท่าอาจแพงกว่าบริษัทใหญ่ที่มี P/E 10 เท่า และต้องพิจารณาคุณภาพของธุรกิจ แนวโน้มการเติบโต และความเสี่ยงประกอบด้วย

    4. Free Float Market Cap คืออะไร และสำคัญอย่างไร?

      Free Float Market Cap คือ Market Cap ที่คำนวณเฉพาะหุ้นที่ซื้อขายได้อย่างเสรีในตลาด ไม่รวมหุ้นที่ถือโดยผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ไม่ขาย มีความสำคัญเพราะแสดงมูลค่าที่นักลงทุนทั่วไปซื้อขายได้จริง ตลาดหลักทรัพย์ใช้ Free Float Market Cap ในการคำนวณดัชนี และกองทุนขนาดใหญ่มักพิจารณา Free Float ในการลงทุน หุ้นที่มี Free Float ต่ำมักมีความผันผวนสูงเพราะมีหุ้นซื้อขายน้อย

    5. ควรใช้ Market Cap Period ไหนในการวิเคราะห์?

      ควรใช้ Market Cap ล่าสุดเสมอเพราะสะท้อนมูลค่าปัจจุบันที่ตลาดประเมิน แต่การดูการเปลี่ยนแปลงของ Market Cap ในช่วงเวลาต่าง ๆ ก็มีประโยชน์ เช่น ดู Market Cap เทียบปีต่อปีเพื่อดูการเติบโต หรือดูการเปลี่ยนแปลงรายไตรมาสเพื่อดู Momentum นักลงทุนบางคนชอบดู Market Cap เฉลี่ย 30 วันหรือ 90 วันเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนระยะสั้น

    6. Market Cap มีผลต่อการจ่ายเงินปันผลไหม?

      Market Cap ไม่ได้กำหนดการจ่ายเงินปันผลโดยตรง แต่มีความสัมพันธ์ทางอ้อม บริษัท Large Cap มักมีนโยบายจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอเพราะมีกำไรที่มั่นคง ในขณะที่ Small Cap อาจไม่จ่ายเงินปันผลเพราะต้องการเก็บเงินไว้ขยายธุรกิจ อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินปันผลขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัท ความสามารถในการทำกำไร และกระแสเงินสด มากกว่า Market Cap บริษัทเล็กที่มีกำไรดีก็อาจจ่ายปันผลสูง ในขณะที่บริษัทใหญ่บางแห่งอาจไม่จ่ายปันผลเลย

    Picture of Ariya Suksawadee
    Ariya Suksawadee
    อริยา สุขสวัสดิ์ เป็นนักวิจัยอาวุโสแห่งเว็บไซต์รีวิวโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ เธอมีประสบการณ์มากกว่า 14 ปีในการวิเคราะห์นโยบายการเงินและระบบอัตราแลกเปลี่ยนในเอเชีย เชี่ยวชาญด้านการตัดสินใจของธนาคารกลาง ความร่วมมือทางการเงินในภูมิภาคอาเซียน และการวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนตามสถานการณ์สำคัญ อริยาเคยเป็นที่ปรึกษาให้กับกระทรวงการคลังของไทยและธนาคารพัฒนาเอเชีย พร้อมให้คำแนะนำด้านกลยุทธ์แก่บริษัทและสถาบันการเงินชั้นนำ ความเห็นของเธอมักปรากฏในสื่อระดับประเทศ เช่น Bangkok Biz News และ Bloomberg Asia จึงได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดเงินที่น่าเชื่อถือ
    Prev上一篇FxPro เพิ่มหุ้น Figma เข้าสู่รายการสินทรัพย์ที่สามารถเทรดได้
    下一篇เทรด Forex สำหรับมือใหม่: เริ่มต้นอย่างไรให้ถูกวิธีNext
    การจัดอันดับโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์
    แบรนด์
    คะแนน
    รีวิวแบบละเอียด
    1. Moneta Markets
    ★ 9.8/10
    2. Vantage FX
    ★9.4/10
    3. VT Markets
    ★ 9.2/10
    4. Eightcap
    ★ 8.9/10
    5. GOFX
    ★ 8.8/10
    บทความล่าสุด
    ภาพแนะนำบทความ ATR Indicator คืออะไร
    วิเคราะห์อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค
    ATR Indicator คืออะไร? สอนวิธีใช้ตั้ง Stop Loss และอ่านความผันผวนแบบมือโปร

    การเทรดในตลาด Forex

    อ่านเพิ่มเติม »
    ภาพแนะนำบทความเลเวอเรจสำหรับมือใหม่
    พื้นฐานการลงทุน
    เลเวอเรจสำหรับมือใหม่: เข้าใจง่ายพร้อมวิธีใช้ให้ปลอดภัย

    ลองนึกภาพว่าคุณมีเงิ

    อ่านเพิ่มเติม »
    ภาพแนะนำบทความ เทรด Forex สำหรับมือใหม่
    คู่มือเริ่มต้นเทรด Forex
    เทรด Forex สำหรับมือใหม่: เริ่มต้นอย่างไรให้ถูกวิธี

    คุณเคยแลกเงินบาทเป็น

    อ่านเพิ่มเติม »
    แนะนำเพิ่มเติม
    ภาพการออมทอง
    พื้นฐานการลงทุน
    ออมทองคืออะไร? วิธีเริ่มต้นออมทองให้ได้กำไรแบบมือใหม่

    บทนำ: ออมทองคืออะไร?

    อ่านเพิ่มเติม »
    ภาพการเปรียบเทียบระหว่าง Forex และหุ้น
    พื้นฐานการลงทุน
    Forex กับ หุ้น: คู่มือเลือกลงทุนสำหรับนักลงทุนไทย

    บทนำ: การตัดสินใจลงท

    อ่านเพิ่มเติม »
    ภาพแนะนำบทความเลเวอเรจสำหรับมือใหม่
    พื้นฐานการลงทุน
    เลเวอเรจสำหรับมือใหม่: เข้าใจง่ายพร้อมวิธีใช้ให้ปลอดภัย

    ลองนึกภาพว่าคุณมีเงิ

    อ่านเพิ่มเติม »

    10 อันดับโบรกเกอร์ Forex เป็นแพลตฟอร์มรีวิวมืออาชีพที่สร้างขึ้นเพื่อเทรดเดอร์ชาวไทยโดยเฉพาะ ทีมงานของเรามีประสบการณ์ในอุตสาหกรรม Forex มากกว่า 10 ปี มุ่งมั่นคัดสรรและนำเสนอข้อมูลโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือในประเทศไทย เพื่อให้คุณสามารถเทรดได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจสูงสุด

    เกี่ยวกับเรา

    • เกี่ยวกับเรา
    • ติดต่อเรา
    • คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
    • ข้อกำหนดในการใช้งาน
    • นโยบายความเป็นส่วนตัว

    เงื่อนไขการใช้งาน

    • หน้าแรก
    • รีวิวโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์
      • รายละเอียดโบรกเกอร์ Forex
    • การเทรด Forex
      • วิเคราะห์คู่สกุลเงิน Forex
      • คู่มือเริ่มต้นเทรด Forex
    • คริปโตเคอร์เรนซี
      • รวมคริปโตเคอร์เรนซียอดนิยม
      • พื้นฐานการลงทุนบล็อกเชน
    • การลงทุนในหุ้น
      • วิเคราะห์หุ้นกลุ่มยอดนิยม
      • คู่มือเริ่มต้นลงทุนหุ้น
      • แนะนำกองทุน ETF
    • การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์
      • เจาะลึกการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
      • คู่มือเริ่มต้นลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
    • วิเคราะห์อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค
    • พื้นฐานการลงทุน
    • หน้าแรก
    • รีวิวโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์
      • รายละเอียดโบรกเกอร์ Forex
    • การเทรด Forex
      • วิเคราะห์คู่สกุลเงิน Forex
      • คู่มือเริ่มต้นเทรด Forex
    • คริปโตเคอร์เรนซี
      • รวมคริปโตเคอร์เรนซียอดนิยม
      • พื้นฐานการลงทุนบล็อกเชน
    • การลงทุนในหุ้น
      • วิเคราะห์หุ้นกลุ่มยอดนิยม
      • คู่มือเริ่มต้นลงทุนหุ้น
      • แนะนำกองทุน ETF
    • การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์
      • เจาะลึกการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
      • คู่มือเริ่มต้นลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
    • วิเคราะห์อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค
    • พื้นฐานการลงทุน

    สมัครรับจดหมายข่าวจากเรา

    รับข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ของเราและสัญญาณการเทรดประจำสัปดาห์

    เดี๋ยวก่อน!
    คุณได้รับเลือกให้เป็น "ผู้ใช้ผู้โชคดี"

    เราตรวจพบว่าคุณสนใจในการเทรดคุณภาพสูง
    รางวัลพิเศษสำหรับสมาชิกอาจกำลังรอคุณอยู่

    🎁 50%
    โบนัสพิเศษจำกัดเวลา
    สนับสนุนโดย Moneta Markets เท่านั้น
    สิทธิ์ของคุณถูกล็อคแล้ว!
    กรุณารับสิทธิ์ภายใน 02:00 นาที
    👉 รับโบนัสเงินฝาก 50% ทันที
    🛡️

    กำกับดูแลโดยหน่วยงานทางการเงินที่เชื่อถือได้

    ควบคุมโดยหน่วยงานกำกับดูแลที่เข้มงวดที่สุดในโลก เช่น FCA ความปลอดภัยของเงินทุนของคุณคือสิ่งสำคัญสูงสุดของเรา

    ⚽️

    รับรองโดยแบรนด์กีฬาชั้นนำ

    ในฐานะพันธมิตรอย่างเป็นทางการของ Atlético de Madrid แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและชื่อเสียงระดับโลกของแพลตฟอร์ม

    📊

    เครื่องมือคัดลอกการเทรดสำหรับมือใหม่

    ออกแบบมาสำหรับมือใหม่โดยเฉพาะ คัดลอกกลยุทธ์ของเทรดเดอร์ชั้นนำได้ในคลิกเดียว ให้ผู้เชี่ยวชาญทำเงินให้คุณ

    💹

    เลเวอเรจการเทรดสูงสุด 500x*

    ใช้เงินทุนน้อยเพื่อเข้าสู่ตลาดใหญ่ เพิ่มโอกาสทำกำไรของคุณอย่างยืดหยุ่น และคว้าทุกช่วงเวลาสำคัญของตลาด

    * เลเวอเรจและความพร้อมใช้งานของผลิตภัณฑ์อาจแตกต่างกันไปตามภูมิภาค/ประเภทบัญชี การเทรดมีความเสี่ยง โปรดประเมินอย่างรอบคอบ