ลองนึกภาพว่าคุณมีเงิน 10,000 บาท แต่อยากซื้อรถมือสองราคา 100,000 บาท คุณจึงไปกู้เงินจากธนาคารมาอีก 90,000 บาท นี่คือหลักการพื้นฐานของเลเวอเรจ การใช้เงินที่ยืมมาเพื่อเพิ่มอำนาจซื้อของเรา
ในโลกการเทรด เลเวอเรจทำงานคล้ายกัน แต่มีความยืดหยุ่นและเร็วกว่ามาก คุณสามารถใช้เงินทุนน้อย ๆ ควบคุมสถานะการเทรดที่มีมูลค่ามากกว่าหลายเท่า ทำให้มีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น แต่ก็เสี่ยงมากขึ้นเช่นกัน
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเลเวอเรจ สำหรับมือใหม่ตั้งแต่พื้นฐาน เรียนรู้วิธีการทำงาน ข้อดีข้อเสีย และที่สำคัญคือวิธีใช้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าคุณจะสนใจเทรด Forex, หุ้น หรือ TFEX ความรู้เรื่องเลเวอเรจจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้คุณเทรดได้อย่างมั่นใจ

เลเวอเรจคืออะไร? ทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐาน
คำจำกัดความที่เข้าใจง่าย
เลเวอเรจ (Leverage) คือการ “ยืมเงิน” จากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มกำลังซื้อในการเทรด โดยคุณใช้เงินของตัวเองเพียงเล็กน้อยเป็นหลักประกัน (Margin) แล้วโบรกเกอร์จะให้คุณควบคุมเงินที่มากกว่าหลายเท่า
ตัวอย่างง่าย ๆ ในชีวิตจริง:
- การซื้อบ้าน: คุณมีเงินดาวน์ 500,000 บาท (10%) แต่สามารถซื้อบ้าน 5,000,000 บาทได้ ธนาคารให้กู้ที่เหลือ 90%
- เลเวอเรจในเทรด: คุณมีเงิน 1,000 บาท (1%) แต่สามารถเทรดมูลค่า 100,000 บาทได้ โบรกเกอร์ให้ยืมที่เหลือ 99%
แต่อย่าลืมว่าเลเวอเรจเป็นอาวุธสองคม มันไม่ได้ขยายแค่กำไร แต่ขยายการขาดทุนด้วย ถ้าตลาดเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาด คุณอาจขาดทุนเร็วกว่าการเทรดแบบไม่ใช้เลเวอเรจหลายเท่า
เลเวอเรจเป็นเครื่องมือที่มีอยู่ในตลาดการเงินเกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น Forex ที่ให้เลเวอเรจสูงถึง 1:1000, ตลาดหุ้นที่ให้เลเวอเรจประมาณ 1:2-1:4, หรือ TFEX ที่มีเลเวอเรจประมาณ 1:10-1:20
สูตรคำนวณเลเวอเรจ
สูตรพื้นฐาน:
เลเวอเรจ = มูลค่าการเทรดทั้งหมด ÷ เงินหลักประกัน (Margin)
หรือดูจากอัตราส่วน:
- เลเวอเรจ 1:100 = ใช้เงิน 1 บาท ควบคุมมูลค่า 100 บาท
- เลเวอเรจ 1:50 = ใช้เงิน 1 บาท ควบคุมมูลค่า 50 บาท
- เลเวอเรจ 1:10 = ใช้เงิน 1 บาท ควบคุมมูลค่า 10 บาท
ตัวอย่างการคำนวณง่าย ๆ
สถานการณ์: คุณต้องการเทรดทองคำมูลค่า 50,000 บาท
กรณีที่ 1: ไม่ใช้เลเวอเรจ
- ต้องมีเงิน = 50,000 บาท เต็มจำนวน
กรณีที่ 2: ใช้เลเวอเรจ 1:10
- Margin ที่ต้องใช้ = 50,000 ÷ 10 = 5,000 บาท
- โบรกเกอร์ให้ยืม = 45,000 บาท
กรณีที่ 3: ใช้เลเวอเรจ 1:100
- Margin ที่ต้องใช้ = 50,000 ÷ 100 = 500 บาท
- โบรกเกอร์ให้ยืม = 49,500 บาท
กลไกการทำงานของเลเวอเรจ: เข้าใจด้วยตัวอย่างง่าย ๆ

การทำงานของเลเวอเรจไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด มาดูตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น
สมมติคุณต้องการเทรดคู่ EUR/USD ที่ราคา 1.1000 โดยต้องการซื้อ 1 Standard Lot (100,000 หน่วย) ซึ่งต้องใช้เงิน 110,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 3.85 ล้านบาท แต่คุณมีเงินแค่ 1,000 ดอลลาร์
ถ้าไม่มีเลเวอเรจ คุณคงเทรดไม่ได้ แต่ด้วยเลเวอเรจ 1:100 คุณต้องใช้เงินหลักประกัน (Margin) เพียง 1,100 ดอลลาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับเงินที่คุณมี คุณจึงสามารถเปิดสถานะนี้ได้
การคำนวณ Margin ที่ต้องใช้: Margin = มูลค่าสถานะ ÷ เลเวอเรจ Margin = 110,000 ÷ 100 = 1,100 ดอลลาร์
เมื่อราคา EUR/USD ขึ้นไป 1.1050 (ขึ้น 50 pips) คุณจะได้กำไร 500 ดอลลาร์ คิดเป็น 50% ของเงินทุน 1,000 ดอลลาร์ แต่ถ้าราคาลงไป 1.0950 (ลง 50 pips) คุณก็จะขาดทุน 500 ดอลลาร์เช่นกัน
นี่คือพลังของเลเวอเรจ การเคลื่อนไหวเพียง 0.45% ของราคา สามารถทำให้คุณได้หรือเสีย 50% ของเงินทุน
ตัวอย่างแบบ Step-by-Step
ขั้นตอนที่ 1: เลือกสินค้าและขนาดสถานะ คุณตัดสินใจว่าต้องการเทรดอะไร เท่าไหร่
ขั้นตอนที่ 2: เลือกอัตราเลเวอเรจ โบรกเกอร์ให้คุณเลือกเลเวอเรจ เช่น 1:10, 1:50, 1:100
ขั้นตอนที่ 3: คำนวณ Margin ระบบจะคำนวณเงินหลักประกันที่คุณต้องวางอัตโนมัติ
ขั้นตอนที่ 4: เปิดสถานะ เมื่อ Margin เพียงพอ คุณสามารถเปิดสถานะได้
ตัวอย่างเปรียบเทียบกำไร-ขาดทุน
สถานการณ์: เทรดทองคำ 1 ออนซ์ (ราคา $2,000) เมื่อราคาขึ้น $20
เลเวอเรจ | Margin ที่ใช้ | กำไร ($) | กำไร (%) |
---|
ไม่ใช้เลเวอเรจ | $2,000 | $20 | 1% |
---|
1:10 | $200 | $20 | 10% |
---|
1:50 | $40 | $20 | 50% |
---|
1:100 | $20 | $20 | 100% |
---|
ข้อสังเกต: กำไรเป็นจำนวนเดียวกัน ($20) แต่เป็นเปอร์เซ็นต์ต่างกันมากเมื่อเทียบกับเงินที่ใช้จริง
ตารางเปรียบเทียบอัตราเลเวอเรจและความเสี่ยง:
อัตราเลเวอเรจ | Margin ที่ต้องใช้ (%) | ตัวอย่าง Margin ($1,000 position) | ระดับความเสี่ยง | เหมาะสำหรับ |
---|
1:10 | 10% | $100 | ต่ำ | มือใหม่ |
---|
1:50 | 2% | $20 | ปานกลาง | มีประสบการณ์ 6-12 เดือน |
---|
1:100 | 1% | $10 | สูง | มีประสบการณ์ 1-2 ปี |
---|
1:500 | 0.2% | $2 | สูงมาก | ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น |
---|
ข้อดีและข้อเสียของการใช้เลเวอเรจ
ข้อดีของเลเวอเรจ
เพิ่มโอกาสทำกำไร: ด้วยเงินทุนเท่าเดิม คุณสามารถทำกำไรได้มากขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อย ทำให้แม้มีทุนน้อยก็สามารถเทรดเพื่อหากำไรที่น่าพอใจได้
ใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ: แทนที่จะต้องใช้เงินทั้งหมดในการเทรดครั้งเดียว คุณสามารถแบ่งเงินไปเทรดหลาย ๆ สินค้า กระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า
เข้าถึงตลาดใหญ่ได้ด้วยทุนน้อย: ตลาดอย่าง Forex ที่ปกติต้องใช้เงินหลักแสนหรือล้าน ด้วยเลเวอเรจทำให้นักลงทุนรายย่อยที่มีเงินหลักพันหรือหมื่นก็สามารถเข้าร่วมได้
ความยืดหยุ่นในการเทรด: คุณสามารถเลือกใช้เลเวอเรจมากหรือน้อยตามความเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องใช้เต็มที่เสมอไป
ข้อเสียและความเสี่ยง
ขาดทุนเร็วและมาก: เลเวอเรจขยายทั้งกำไรและขาดทุน ถ้าตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คาด คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดในเวลาอันสั้น
ความเสี่ยงจาก Margin Call: เมื่อขาดทุนจนเงินในบัญชีเหลือน้อยกว่า Margin ที่ต้องใช้ โบรกเกอร์จะบังคับปิดสถานะ ทำให้ขาดทุนกลายเป็นจริงทันที
ความกดดันทางจิตใจ: การเห็นกำไรขาดทุนที่ผันผวนรุนแรงอาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาดด้วยอารมณ์ นำไปสู่การขาดทุนมากขึ้น
ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น: การถือสถานะข้ามคืนด้วยเลเวอเรจสูงจะมีค่า Swap หรือดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายสูงตาม
การบริหารความเสี่ยง: หัวใจสำคัญของการใช้เลเวอเรจ

การใช้เลเวอเรจโดยไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดีเหมือนขับรถเร็วโดยไม่คาดเข็มขัดนิรภัย อันตรายมากและอาจจบลงด้วยหายนะ
ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง
Stop Loss คือเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณเมื่อใช้เลเวอเรจ มันจะปิดสถานะให้อัตโนมัติเมื่อขาดทุนถึงระดับที่กำหนด ป้องกันไม่ให้ขาดทุนบานปลายจนควบคุมไม่ได้
ตั้ง Stop Loss ตามระดับที่สำคัญทางเทคนิค ไม่ใช่ตามอารมณ์ และอย่าขยับ Stop Loss ออกไปไกลขึ้นเมื่อราคาเข้าใกล้ นั่นเป็นการทำลายวินัยของตัวเอง
ใช้ Position Sizing ที่เหมาะสม
อย่าเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง ถ้ามีเงิน 100,000 บาท ก็เสี่ยงไม่เกิน 1,000-2,000 บาทต่อเทรด แม้จะใช้เลเวอเรจสูงแค่ไหนก็ตาม
การคำนวณขนาดสถานะที่เหมาะสม: Position Size = (เงินทุน × % ที่ยอมเสี่ยง) ÷ (ระยะ Stop Loss × มูลค่าต่อ pip)
อย่าใช้เลเวอเรจเต็มที่
แม้โบรกเกอร์จะให้เลเวอเรจ 1:500 หรือ 1:1000 ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องใช้เต็มที่ เลเวอเรจสูงเหมาะกับการเทรดระยะสั้นที่มี Stop Loss แน่นๆ ไม่เหมาะกับการถือสถานะนาน
มือใหม่ควรเริ่มจากเลเวอเรจต่ำ ๆ เช่น 1:10 หรือ 1:20 ก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มเมื่อมีประสบการณ์และเข้าใจความเสี่ยงมากขึ้น
วิธีเลือกอัตราเลเวอเรจที่เหมาะสมกับคุณ

การเลือกเลเวอเรจไม่ใช่แค่เลือกตัวเลขที่ดูดี แต่ต้องพิจารณาหลายปัจจัย
พิจารณาจากประสบการณ์การเทรด
ถ้าคุณเพิ่งเริ่มเทรดไม่เกิน 6 เดือน ควรใช้เลเวอเรจไม่เกิน 1:10 หรือแม้แต่ 1:5 ก็ยังดี เมื่อมีประสบการณ์ 1-2 ปี ค่อยเพิ่มเป็น 1:20-1:50
เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปีและมีผลงานที่สม่ำเสมอ อาจใช้เลเวอเรจ 1:100 หรือมากกว่าได้ แต่ก็ต้องระมัดระวังเสมอ
ดูจากสไตล์การเทรด
Scalper ที่เทรดระยะสั้นมาก อาจใช้เลเวอเรจสูง เพราะถือสถานะไม่นานและมี Stop Loss แน่น แต่ Swing Trader ที่ถือสถานะหลายวันควรใช้เลเวอเรจต่ำ เพราะตลาดอาจผันผวนมากในระยะยาว
Position Trader ที่ถือสถานะเป็นสัปดาห์หรือเดือน ควรใช้เลเวอเรจต่ำมาก หรือไม่ใช้เลย เพราะความผันผวนระยะยาวอาจทำให้ถูก Margin Call ได้ง่าย
ประเมินความผันผวนของสินค้า
สินค้าที่มีความผันผวนสูงอย่างคริปโตเคอร์เรนซี หรือคู่เงิน Exotic ควรใช้เลเวอเรจต่ำ ส่วนสินค้าที่ผันผวนน้อยอย่างคู่เงินหลัก (EUR/USD, USD/JPY) อาจใช้เลเวอเรจสูงขึ้นได้
ดัชนีหุ้นอย่าง S&P 500 มีความผันผวนปานกลาง ควรใช้เลเวอเรจระดับกลาง ส่วนสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำหรือน้ำมันที่ผันผวนมาก ควรระวังการใช้เลเวอเรจสูง
ประเภทสินค้า | ความผันผวน | เลเวอเรจที่แนะนำสำหรับมือใหม่ |
---|
คู่เงินหลัก (Major Pairs) | ต่ำ-ปานกลาง | 1:20-1:50 |
---|
คู่เงินรอง (Minor Pairs) | ปานกลาง | 1:10-1:30 |
---|
คู่เงิน Exotic | สูง | 1:5-1:10 |
---|
ดัชนีหุ้น | ปานกลาง | 1:10-1:20 |
---|
ทองคำ/น้ำมัน | สูง | 1:5-1:15 |
---|
คริปโต | สูงมาก | 1:2-1:5 |
---|
เลเวอเรจในตลาดต่าง ๆ: Forex, หุ้น และ TFEX
เลเวอเรจในตลาด Forex
ตลาด Forex ให้เลเวอเรจสูงที่สุด บางโบรกเกอร์ให้ถึง 1:1000 หรือ 1:2000 เหตุผลเพราะตลาด Forex มีสภาพคล่องสูงมากและคู่เงินหลักมีความผันผวนต่ำเมื่อเทียบกับสินค้าอื่น
แต่การมีเลเวอเรจสูงไม่ได้หมายความว่าต้องใช้ หลายประเทศเริ่มจำกัดเลเวอเรจ เช่น ยุโรปจำกัดไว้ที่ 1:30 สำหรับคู่เงินหลัก และ 1:20 สำหรับคู่เงินอื่น เพื่อปกป้องนักลงทุนรายย่อย
เลเวอเรจในตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นให้เลเวอเรจต่ำกว่า Forex มาก โดยทั่วไปอยู่ที่ 1:2-1:4 การซื้อหุ้นด้วย Margin ในไทยต้องวางหลักประกันอย่างน้อย 50% ของมูลค่าหุ้น คือได้เลเวอเรจประมาณ 1:2
การใช้ Margin ซื้อหุ้นมีข้อจำกัดมากกว่า Forex ต้องมีบัญชี Cash Balance ที่ผ่านการอนุมัติ และมีเกณฑ์การ Force Sell ที่เข้มงวดเมื่อหุ้นลง
เลเวอเรจใน TFEX
TFEX (Thailand Futures Exchange) มีเลเวอเรจประมาณ 1:10-1:20 ขึ้นอยู่กับสินค้า SET50 Index Futures ต้องวางหลักประกันเริ่มต้นประมาณ 7-10% ของมูลค่าสัญญา
ข้อดีของ TFEX คือมีการกำกับดูแลโดยตรงจาก ก.ล.ต. ทำให้มีความโปร่งใสสูง แต่ต้องระวังเรื่อง Daily Settlement ที่อาจทำให้ถูกเรียก Margin เพิ่มได้ทุกวัน
ข้อผิดพลาดที่มือใหม่มักทำเมื่อใช้เลเวอเรจ

1. ใช้เลเวอเรจสูงสุดที่โบรกเกอร์ให้
นี่คือข้อผิดพลาดอันดับหนึ่ง เห็นโบรกเกอร์ให้ 1:500 ก็ใช้เต็มที่เลย คิดว่าจะได้กำไรเร็ว แต่ลืมไปว่ามันทำให้ขาดทุนเร็วเช่นกัน
หลายคนเคยมีประสบการณ์ขาดทุนหมดบัญชีภายในไม่กี่ชั่วโมงเพราะใช้เลเวอเรจสูงเกินไป ตลาดเคลื่อนไหวแค่ 1-2% ก็ทำให้บัญชีหายไปแล้ว หากต้องการทราบว่าควรใช้เลเวอเรจเท่าไรดี สามารถเข้าไปอ่านบทความ เลเวอเรจ forex เท่าไหร่ดี ได้ที่นี่เลย
2. ไม่มีแผนการเทรดที่ชัดเจน
การใช้เลเวอเรจโดยไม่มีแผนเหมือนขับรถตาปิด อันตรายมาก ต้องรู้ว่าจะเข้าตรงไหน ออกตรงไหน เสี่ยงเท่าไหร่ ก่อนเปิดสถานะทุกครั้ง
มือใหม่มักเทรดตามอารมณ์ พอเห็นกราฟขึ้นก็รีบซื้อ พอเห็นลงก็รีบขาย โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน พอใช้เลเวอเรจด้วยแล้ว ยิ่งเสี่ยงสูง
3. เพิ่มสถานะตอนขาดทุน (Averaging Down)
เมื่อเทรดขาดทุน แทนที่จะยอมรับและตัดขาดทุน กลับเปิดเพิ่มด้วยเลเวอเรจสูง หวังว่าราคาจะกลับมา นี่เป็นวิธีที่ทำให้ขาดทุนยับเยินเร็วที่สุด
การ Averaging Down อาจใช้ได้ในการลงทุนระยะยาวแบบไม่ใช้เลเวอเรจ แต่ในการเทรดที่ใช้เลเวอเรจ มันคือทางลัดสู่ Margin Call
4. ไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่าย
เลเวอเรจทำให้ค่า Spread และ Commission ดูน้อย แต่เมื่อเทรดบ่อย ๆ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้สะสมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะค่า Swap ที่ต้องจ่ายเมื่อถือสถานะข้ามคืน
ถ้าใช้เลเวอเรจ 1:100 ค่า Swap ที่ดูเหมือนน้อยนิดอาจกลายเป็นภาระหนักเมื่อคิดเทียบกับเงินทุนจริง
5. ขาดความรู้ความเข้าใจ
หลายคนเริ่มใช้เลเวอเรจโดยไม่เข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร ไม่รู้ว่า Margin Call คืออะไร ไม่เข้าใจความเสี่ยง แค่เห็นคนอื่นใช้แล้วได้กำไรก็ทำตาม
ควรใช้เวลาศึกษาและฝึกฝนด้วยบัญชี Demo อย่างน้อย 3-6 เดือนก่อนใช้เลเวอเรจกับเงินจริง ความรู้คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
เทคนิคการใช้เลเวอเรจให้ได้ประโยชน์สูงสุด
เริ่มต้นด้วยเลเวอเรจต่ำ แล้วค่อยเพิ่ม
เริ่มจาก 1:5 หรือ 1:10 ก่อน เมื่อเทรดได้กำไรสม่ำเสมอ 3-6 เดือน ค่อยเพิ่มเป็น 1:20 หรือ 1:30 การค่อย ๆ เพิ่มจะช่วยให้คุณปรับตัวกับความกดดันได้ดีกว่า
ใช้เลเวอเรจต่างกันตามสภาวะตลาด
ช่วงตลาดผันผวนมาก เช่น มีข่าวสำคัญ ควรลดเลเวอเรจลง หรืองดเทรดไปเลย ช่วงตลาดเทรนด์ชัดเจนและผันผวนน้อย อาจใช้เลเวอเรจสูงขึ้นได้
แบ่งทุนเป็นส่วน ๆ
อย่าใช้เงินทั้งหมดในการเทรดครั้งเดียว แบ่งเป็น 10 ส่วน ใช้แต่ละส่วนเทรดแยกกัน ถึงแม้จะขาดทุน 2-3 เทรดติดกัน ก็ยังมีเงินเหลือเทรดต่อ
ฝึกการควบคุมอารมณ์
เลเวอเรจทำให้ P&L (กำไรขาดทุน) ผันผวนมาก อาจทำให้ตื่นเต้นหรือตกใจจนตัดสินใจผิด ฝึกสมาธิและการควบคุมอารมณ์จะช่วยได้มาก
ใช้ Trailing Stop
เมื่อเทรดได้กำไรแล้ว ใช้ Trailing Stop เพื่อปกป้องกำไรและให้สถานะวิ่งต่อถ้าเทรนด์ยังดี วิธีนี้ช่วยให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากเลเวอเรจ
บทสรุป
เลเวอเรจ สำหรับมือใหม่ เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการเทรด สามารถช่วยให้นักเทรดที่มีทุนน้อยเข้าถึงตลาดใหญ่และมีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นตามไปด้วย
สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าใจว่าเลเวอเรจไม่ใช่ทางลัดสู่ความร่ำรวย แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังและมีวินัย มือใหม่ควรเริ่มจากเลเวอเรจต่ำ ฝึกฝนจนชำนาญ แล้วค่อยเพิ่มขึ้นตามประสบการณ์
การบริหารความเสี่ยงคือกุญแจสำคัญ ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง ใช้ Position Sizing ที่เหมาะสม และอย่าเสี่ยงเกิน 1-2% ของทุนต่อการเทรด ไม่ว่าจะใช้เลเวอเรจเท่าไหร่ก็ตาม
เลือกเลเวอเรจให้เหมาะกับสไตล์การเทรด ประสบการณ์ และสินค้าที่เทรด อย่าใช้เลเวอเรจสูงสุดที่โบรกเกอร์ให้เพียงเพราะมันมีอยู่ จำไว้ว่าเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ใช้เลเวอเรจต่ำถึงปานกลาง ไม่ใช่สูง
ที่สำคัญคือต้องมีความรู้ความเข้าใจก่อนใช้เลเวอเรจจริง ใช้เวลาฝึกฝนกับบัญชี Demo เรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น และพัฒนาแผนการเทรดที่ชัดเจน เมื่อคุณพร้อมแล้ว เลเวอเรจจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายการเทรดได้เร็วขึ้น
จุดสำคัญที่ต้องจำ
- เลเวอเรจ = การยืมเงินจากโบรกเกอร์ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อ
- สูตรง่าย ๆ: Margin = มูลค่าการเทรด ÷ เลเวอเรจ
- เริ่มต้นต่ำ ๆ: มือใหม่ใช้ 1:5 ถึง 1:10 ก่อน
- ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง ไม่มีข้อยกเว้น
- เสี่ยงแค่ 1-2% ของทุนต่อการเทรด
- เลเวอเรจไม่ได้เพิ่มโอกาสชนะ แต่เพิ่มขนาดกำไร/ขาดทุน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่าอย่างไร?
เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่าด้วยเงินทุน 1 บาท คุณสามารถควบคุมสถานะมูลค่า 100 บาทได้ หรือพูดง่าย ๆ คือโบรกเกอร์ให้คุณยืมเงินอีก 99 บาทมาเทรด
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีเงิน 1,000 ดอลลาร์ และใช้เลเวอเรจ 1:100 คุณจะสามารถเปิดสถานะได้มูลค่าสูงสุด 100,000 ดอลลาร์ ทำให้กำไรหรือขาดทุนจากการเคลื่อนไหวของราคาจะคูณด้วย 100 เท่า
ควรใช้เลเวอเรจเท่าไหร่ดีสำหรับมือใหม่?
มือใหม่ควรเริ่มจากเลเวอเรจต่ำ ๆ ไม่เกิน 1:10 หรือแม้แต่ 1:5 ในช่วงแรก เพื่อให้คุ้นเคยกับความผันผวนและเรียนรู้การบริหารความเสี่ยง
หลังจากเทรดได้ 6-12 เดือนและมีผลงานที่สม่ำเสมอ ค่อยพิจารณาเพิ่มเป็น 1:20 หรือ 1:30 การเพิ่มเลเวอเรจควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ควรกระโดดจาก 1:10 ไป 1:100 ทันที
เลเวอเรจมีความเสี่ยงแค่ไหน?
เลเวอเรจมีความเสี่ยงสูงมากถ้าใช้ไม่เป็น คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดภายในเวลาอันสั้น โดยเฉพาะถ้าใช้เลเวอเรจสูงโดยไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี
แต่ถ้าใช้อย่างมีวินัย ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง และไม่เสี่ยงเกิน 1-2% ของทุนต่อเทรด เลเวอเรจก็เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ ช่วยให้ทำกำไรได้ดีจากเงินทุนที่จำกัด
Margin Call คืออะไร และเกิดขึ้นเมื่อไหร่?
Margin Call คือการที่โบรกเกอร์แจ้งเตือนว่าเงินในบัญชีของคุณเหลือน้อยจนเกือบไม่พอสำหรับการรักษาสถานะที่เปิดอยู่ ปกติจะเกิดเมื่อ Equity (มูลค่าบัญชี) เหลือประมาณ 50-100% ของ Margin ที่ใช้
ถ้าไม่ฝากเงินเพิ่มหรือปิดสถานะบางส่วน และ Equity ลดลงถึงระดับ Stop Out (ปกติ 20-50% ของ Margin) โบรกเกอร์จะบังคับปิดสถานะให้อัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีติดลบ
ใช้เลเวอเรจสูงดีกว่าต่ำจริงหรือ?
ไม่จริงเสมอไป เลเวอเรจสูงเหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ มีระบบเทรดที่แม่นยำ และมีการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด ส่วนมือใหม่ควรใช้เลเวอเรจต่ำเพื่อลดความเสี่ยง
เลเวอเรจสูงไม่ได้หมายถึงกำไรมาก แต่หมายถึงความเสี่ยงสูง เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จหลายคนใช้เลเวอเรจต่ำถึงปานกลางและเน้นที่ความสม่ำเสมอมากกว่ากำไรก้อนใหญ่
ต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะเริ่มใช้เลเวอเรจได้?
ไม่มีจำนวนเงินขั้นต่ำที่ตายตัว แต่ควรมีเงินมากพอที่จะแบ่งเทรดได้หลายครั้งและรับความเสี่ยงได้ โดยทั่วไปแนะนำให้มีทุนอย่างน้อย 500-1,000 ดอลลาร์ (17,000-35,000 บาท)
สิ่งสำคัญกว่าจำนวนเงินคือต้องเป็นเงินที่พร้อมจะเสียได้ อย่าใช้เงินที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันหรือเงินกู้มาเทรดด้วยเลเวอเรจ เพราะความกดดันจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย