สำหรับนักลงทุนยุคนี้ “ดอกเบี้ย Fed” คือหนึ่งในตัวเลขที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะทุกการขยับของอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ มีพลังสั่นสะเทือนเศรษฐกิจทั่วโลก และส่งผลโดยตรงต่อการลงทุนของเรา
ล่าสุด คณะกรรมการ FOMC ได้ประกาศมติเรื่องดอกเบี้ย Fed ออกมาแล้ว ซึ่งถือเป็นสัญญาณสำคัญที่นักลงทุนไทยต้องให้ความสนใจ บทความนี้จะพาคุณสรุปผลการประชุมล่าสุด วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย พร้อมแนะนำกลยุทธ์การลงทุนที่ควรพิจารณา เพื่อช่วยให้คุณวางแผนได้อย่างรอบคอบและทันต่อสถานการณ
สรุปประเด็นสำคัญ: การตัดสินใจล่าสุดของ Fed เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
การประชุม FOMC รอบวันที่ 30–31 กรกฎาคม 2025 ได้ข้อสรุปที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะนอกจาก Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25% – 5.50% แล้ว ยังมีสัญญาณบางอย่างที่อาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต
ประเด็นสำคัญจากที่ประชุม
- การลงมติ: คณะกรรมการโหวตด้วยคะแนน 10 ต่อ 2 โดยมีสมาชิก FOMC จำนวน 2 คนที่ลงคะแนนให้ “ลดดอกเบี้ยลง 0.25%” นับเป็นครั้งแรกที่มีเสียงโหวตแบบนี้หลังจาก Fed คงดอกเบี้ยมานาน
- เงินเฟ้อ: อัตรา CPI เดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 3.2% แม้จะชะลอตัวลงต่อเนื่อง แต่ก็ยังสูงกว่าเป้าหมายที่ 2%
- ตลาดแรงงาน: อัตราการว่างงานขยับขึ้นเป็น 4.3% จาก 3.7% เมื่อต้นปี สะท้อนว่าความร้อนแรงของตลาดแรงงานเริ่มผ่อนคลาย
- เศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง: ตัวเลข GDP ไตรมาส 2/2025 ขยายตัวถึง 2.8% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
- สัญญาณชัดจาก Powell: ประธาน Jerome Powell กล่าวว่า “เวลาสำหรับการปรับนโยบายอาจใกล้เข้ามาแล้ว” ซึ่งถูกตีความว่าเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดในรอบ 2 ปีว่า Fed กำลังเตรียมเข้าสู่รอบ การลดดอกเบี้ย
แนวโน้มถัดไป
ตลาดและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า การประชุมเดือนกันยายน 2025 อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับลดดอกเบี้ยอย่างจริงจัง หากตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียวกัน
ประเด็นสำคัญ | ผลการประชุมล่าสุด (สิงหาคม 2025) |
|---|
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย | คงที่ ที่ระดับ 5.25% – 5.50% |
|---|
ผลโหวต | 10:2 (มี 2 เสียงโหวตให้ลดดอกเบี้ย 0.25%) |
|---|
เงินเฟ้อ (CPI) | อยู่ที่ 3.2% (ยังสูงกว่าเป้าหมาย 2%) |
|---|
ตลาดแรงงาน | อัตราการว่างงานเพิ่มเป็น 4.3% (ผ่อนคลายขึ้น) |
|---|
คำแถลงของ Powell | “เวลาสำหรับการปรับนโยบายอาจใกล้เข้ามาแล้ว” (ใกล้ถึงรอบลดดอกเบี้ย) |
|---|
ดอกเบี้ย Fed คืออะไร และทำงานอย่างไร?
สำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับแนวคิดนี้ “ดอกเบี้ย Fed” หรือ Fed Funds Rate คืออัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐฯ เรียกเก็บกันเองเมื่อปล่อยกู้ระยะสั้นแบบข้ามคืน (Overnight)
ลองเปรียบเทียบง่าย ๆ ว่า Fed คือ “ธนาคารของธนาคาร”
กลไกการกำหนดอัตราดอกเบี้ยของ Fed
เพื่อให้การกู้ยืมระหว่างธนาคารเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด Fed ใช้ การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดเปิด (Open Market Operations) เป็นเครื่องมือหลัก
กรณี Fed ต้องการลดดอกเบี้ย:
- Fed จะ ซื้อหลักทรัพย์จากธนาคารพาณิชย์
- ธนาคารที่ขายหลักทรัพย์จะได้เงินสดเพิ่มขึ้นในระบบ
- เมื่อสภาพคล่องในตลาดสูงขึ้น ธนาคารก็พร้อมปล่อยกู้ให้กันเองในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง
กรณี Fed ต้องการขึ้นดอกเบี้ย:
- Fed จะ ขายหลักทรัพย์ให้กับธนาคารพาณิชย์
- ธนาคารต้องใช้เงินสดซื้อหลักทรัพย์ ทำให้ปริมาณเงินสดในระบบลดลง
- เมื่อสภาพคล่องตึงตัว ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเมื่อต้องปล่อยกู้ให้กันเอง
กลไกนี้ช่วยให้ Fed ควบคุมต้นทุนการกู้ยืมในระบบธนาคารโดยอ้อม และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะถูกส่งต่อไปยังประชาชนและธุรกิจ ทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนชะลอตัว และเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวลดลง
บทบาทของ FOMC
Federal Open Market Committee (FOMC) คือหน่วยงานหลักที่กำหนดทิศทางดอกเบี้ย Fed และนโยบายการเงินของสหรัฐฯ
- องค์ประกอบ: มี 12 คน ได้แก่ กรรมการ Board of Governors 7 คน, ประธาน New York Fed 1 คน และประธาน Fed จากภูมิภาคต่าง ๆ อีก 4 คน (ซึ่งจะหมุนเวียนกัน)
- การประชุม: จัดขึ้นปีละ 8 ครั้ง และทุกการตัดสินใจต้องผ่านการลงคะแนนเสียง
ทำไมถึงสำคัญกับไทย?
แม้สหรัฐฯ จะอยู่ไกล แต่ดอกเบี้ย Fed มีผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจโลกผ่าน กลไกการส่งผ่าน (Transmission Mechanism) เช่น
- กระแสเงินทุนระหว่างประเทศ (เงินทุนไหลเข้า–ออกตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทย)
- ต้นทุนการกู้ยืมและการลงทุนในภาคธุรกิจ
- การค้าโลกและค่าเงิน
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ดอกเบี้ย Fed” ถึงกลายเป็นหนึ่งในตัวเลขที่นักลงทุนไทยและทั่วโลกต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
การวิเคราะห์วัฏจักรดอกเบี้ย Fed ในประวัติศาสตร์
ภาพกราฟ Federal Funds Effective Rate ที่ปรากฏไม่ใช่เพียงตัวเลข แต่สะท้อนเรื่องราวการตัดสินใจครั้งสำคัญของ Fed ตลอดหลายทศวรรษ การทำความเข้าใจวัฏจักรในอดีตช่วยให้เราคาดการณ์ทิศทางในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
ยุคเงินเฟ้อสูงในทศวรรษ 1980: เส้นกราฟพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรงจนแตะระดับเกือบ 20% นั่นคือช่วงที่ Fed ภายใต้การนำของ Paul Volcker ต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างเด็ดขาดเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อที่ควบคุมไม่ได้ การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนั้นแม้ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ก็สามารถนำเงินเฟ้อกลับสู่ระดับปกติได้สำเร็จ
ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ: เส้นกราฟดิ่งลงอย่างรวดเร็วในช่วงวิกฤตใหญ่ เช่น วิกฤต Dot-com ปี 2000, วิกฤต Subprime ปี 2008 และวิกฤต COVID-19 ปี 2020 การลดดอกเบี้ยใกล้ศูนย์เป็นเครื่องมือสำคัญที่ Fed ใช้เพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาให้ฟื้นตัว
ความท้าทายในปัจจุบัน: หลังจาก Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปี 2022–2023 เพื่อรับมือเงินเฟ้อที่พุ่งสูงจากวิกฤต COVID-19 กราฟปัจจุบันแสดงให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ซึ่ง Fed ต้องเผชิญความท้าทายในการนำเศรษฐกิจเข้าสู่ Soft Landing หรือการชะลอตัวลงอย่างนุ่มนวลโดยไม่ทำให้เศรษฐกิจถดถอยรุนแรง
การขึ้นหรือลดดอกเบี้ยของ Fed จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรเศรษฐกิจที่มีแบบแผน ความเข้าใจในประวัติศาสตร์เหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถวางกลยุทธ์รับมือกับแนวโน้มตลาดในอนาคตได้อย่างมั่นใจ
วิเคราะห์ผลการประชุม FOMC: จับตาสัญญาณอะไรบ้าง?
การประชุม FOMC ไม่ใช่เพียงการประกาศ “ดอกเบี้ย Fed” เท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีที่นักลงทุนต้องจับตาสัญญาณแฝงในรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อคาดการณ์ทิศทางในอนาคต
คำแถลง FOMC
ถ้อยแถลงล่าสุดสะท้อนว่า Fed เริ่มพอใจกับเงินเฟ้อที่ชะลอลงและตลาดแรงงานที่ปรับสมดุลมากขึ้น อีกทั้งปรับมุมมองความเสี่ยงให้อยู่ในภาวะ “สมดุล” มากกว่าเดิม นี่ถือเป็นการเปิดช่องทางสำหรับการลดดอกเบี้ยในอนาคต
Dot Plot
แผนภาพจุดที่สมาชิก FOMC ส่งสัญญาณออกมา แสดงให้เห็นว่ากรรมการส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า Fed จะ “ลดดอกเบี้ยรวมราว 2%” ในช่วงสองปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการปรับลดแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้เร่งรีบจนเกินไป
คำพูดของ Jerome Powell
Powell ยังคงระมัดระวัง โดยใช้ถ้อยคำว่า “การปรับนโยบายอาจเหมาะสม” ซึ่งเป็นการบอกใบ้ว่า Fed ใกล้เข้าสู่ช่วงลดดอกเบี้ยแล้ว แต่ยังต้องการข้อมูลทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันแนวโน้ม
สัญญาณเหล่านี้หมายถึงอะไรสำหรับนักลงทุนไทย?
- ค่าเงินบาท – หากดอกเบี้ยสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง ดอลลาร์อาจอ่อนค่า และเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้น
- ตลาดหุ้น – บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกจะผ่อนคลายขึ้น นักลงทุนหันกลับมาหาสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นไทย
- พันธบัตร – ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ลดลง อาจทำให้พันธบัตรไทยน่าสนใจขึ้นในสายตาต่างชาติ
- ทองคำ – การอ่อนค่าของดอลลาร์และผลตอบแทนพันธบัตรที่ต่ำลง อาจหนุนให้ราคาทองคำขยับสูงขึ้น
Key Takeaway
สรุปแล้ว การประชุม FOMC รอบล่าสุด พร้อมด้วย Dot Plot และคำพูดจาก Powell กำลังส่งสัญญาณชัดเจนว่า “วงจรลดดอกเบี้ย” ของ Fed ใกล้เริ่มต้นแล้ว และจะกลายเป็น เกมใหญ่ของตลาดการเงินโลกในปี 2025–2026
สำหรับนักลงทุนไทย เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ข่าวต่างประเทศ แต่คือปัจจัยที่จะกระทบโดยตรงต่อค่าเงินบาท การไหลเข้าของเงินทุน และกลยุทธ์การลงทุนส่วนบุคคลที่ควรวางแผนไว้ล่วงหน้า
ผลกระทบของดอกเบี้ย Fed ต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินไทย
ดอกเบี้ยของ Fed ไม่ได้กระทบแค่เศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ยังส่งแรงสะเทือนมาถึงไทยผ่าน 4 ช่องทางสำคัญ
ตลาดหุ้นไทย (SET Index)
- เมื่อ Fed ลดดอกเบี้ย: เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทย นักลงทุนมองบวก หุ้นมีแรงซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารและอสังหาฯ ที่ต้นทุนการกู้ยืมลดลง
- เมื่อ Fed คงดอกเบี้ยสูง: ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันจากเงินทุนไหลออกไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่าในสหรัฐฯ กลุ่มส่งออกและท่องเที่ยวอาจยังได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน
อัตราแลกเปลี่ยน (ค่าเงินบาท)
- ดอกเบี้ย Fed สูงขึ้น → ดอลลาร์แข็งค่า → บาทอ่อนค่า
- ผลดี: ผู้ส่งออกได้เปรียบในการแข่งขัน
- ผลเสีย: ราคานำเข้าพุ่งขึ้น กระทบต้นทุนผู้บริโภคและธุรกิจ
กระแสเงินทุนและต้นทุนธุรกิจ
- หาก Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย → เงินทุนต่างชาติไหลเข้าสู่ไทยมากขึ้น → ต้นทุนกู้ยืมถูกลง → ธุรกิจมีโอกาสขยายการลงทุน
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Prices)
- ดอกเบี้ย Fed ลด → ดอลลาร์อ่อนค่า → ราคาน้ำมันและโภคภัณฑ์ (ที่ซื้อขายด้วยดอลลาร์) ปรับสูงขึ้น
- ผลดี: ผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ได้อานิสงส์
- ผลเสีย: ธุรกิจที่พึ่งพาต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบนำเข้าเจอแรงกดดัน
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการไทย
เมื่อดอกเบี้ย Fed มีการเปลี่ยนแปลง นักลงทุนและผู้ประกอบการต่างก็ต้องปรับแผนการเงินของตัวเองให้ทันสถานการณ์ เพราะทุกการตัดสินใจของ Fed ส่งผลต่อทั้งตลาดทุนและธุรกิจจริง
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุน
- พอร์ต Conservative: เหมาะกับคนที่เน้นความมั่นคง ลงทุนในหุ้นปันผลสูง, พันธบัตรรัฐบาล และเงินฝากสกุลดอลลาร์ (USD Fixed Deposit)
- พอร์ต Moderate: เพิ่มน้ำหนักในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงและโอกาสในการสร้างผลตอบแทน
- หุ้นเด่นเมื่อ Fed ลดดอกเบี้ย: กลุ่มเทคโนโลยี, อสังหาริมทรัพย์ และบริษัทส่งออกที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า
กลยุทธ์สำหรับผู้ประกอบการ
- บริหารความเสี่ยงค่าเงิน: ธุรกิจส่งออกควรใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Forward Contract) เพื่อล็อกราคาขาย ขณะที่ผู้นำเข้าควรซื้อดอลลาร์เก็บไว้เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับที่ดี
- วางแผนการเงินล่วงหน้า: หากแนวโน้มดอกเบี้ยกำลังจะลด ควรพิจารณารีไฟแนนซ์หนี้เก่าเพื่อลดต้นทุน และเร่งการลงทุนในโครงการใหม่ที่ต้องใช้เงินทุนสูง
วิธีติดตามข่าว Fed แบบมืออาชีพ: คู่มือฉบับลงมือปฏิบัติ
การติดตามข่าวสารจาก Fed ด้วยตัวเองช่วยให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาดและวางกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างชาญฉลาด ต่อไปนี้คือวิธีง่าย ๆ ที่สามารถทำตามได้
เช็กวันประชุม FOMC บนเว็บไซต์ทางการ
เข้าไปที่ federalreserve.gov และตรวจสอบกำหนดการในส่วน Calendar หรือ Meetings เพื่อดูวันที่ประชุม FOMC แน่นอน
อ่านและตีความ Dot Plot ด้วยตัวเอง
- แกนนอน (X-axis) แสดงปีในอนาคต
- แกนตั้ง (Y-axis) แสดงช่วงอัตราดอกเบี้ย
- ให้ความสำคัญกับ ค่ากลาง (Median Dot) ซึ่งเป็นตัวแทนการคาดการณ์ของคณะกรรมการ FOMC
การสังเกตแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของ Median Dot จะช่วยให้คุณเข้าใจทิศทางดอกเบี้ยในอนาคต
ตั้งค่าการแจ้งเตือนข่าวสารจาก Fed
- ใช้แอปพลิเคชันปฏิทินเศรษฐกิจ (Economic Calendar) เช่น Investing.com
- กดไอคอนกระดิ่งข้าง ๆ เหตุการณ์ เช่น FOMC Statement เพื่อรับการแจ้งเตือนบนสมาร์ตโฟนทันที
- วิธีนี้ช่วยให้คุณไม่พลาดข้อมูลสำคัญและสามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ทันท่วงที
สรุป: การใช้ประโยชน์จากข้อมูลดอกเบี้ย Fed
ดอกเบี้ย Fed เป็นตัวชี้ทิศทางเศรษฐกิจโลก การเข้าใจแนวโน้มและผลกระทบสามารถช่วยวางแผนการเงินส่วนตัวและกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างเหมาะสม
จุดสำคัญที่ต้องจำ
- Fed เป็นเครื่องมือนำทาง: การตัดสินใจของ Fed ช่วยให้นักลงทุนคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกได้
- ผลกระทบต่อไทยมีทั้งโอกาสและความเสี่ยง: การเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ย Fed ส่งผลทั้งบวกและลบต่อเศรษฐกิจและตลาดลงทุนไทย
- การลงทุนต้องยืดหยุ่น: ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับวัฏจักรดอกเบี้ย
- ข้อมูลคือกุญแจสำคัญ: ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญและการประชุม FOMC อย่างสม่ำเสมอ
แผนการดำเนินการในอนาคตอันใกล้
- เตรียมพร้อมสำหรับการลดดอกเบี้ย: นักลงทุนควรปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นคุณภาพ, ลดเงินสดส่วนเกิน, และพิจารณากู้เงินเพื่อการลงทุนระยะยาว หากสถานการณ์เอื้ออำนวย
- ข้อควรระวังในช่วงเปลี่ยนผ่าน: ตลาดอาจผันผวนสูง อย่าปรับพอร์ตอย่างรุนแรงในครั้งเดียว และควรเก็บสภาพคล่องไว้รอโอกาส
มุมมองระยะยาว
การเริ่มลดดอกเบี้ยของ Fed เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจโลก นักลงทุนไทยที่เข้าใจและเตรียมตัวล่วงหน้าจะสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ ๆ ได้เต็มที่
การทำความเข้าใจและติดตามการตัดสินใจของ Fed ไม่ใช่เรื่องของนักเศรษฐศาสตร์อีกต่อไป แต่เป็นทักษะสำคัญที่นักลงทุนทุกคนควรมี การเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยของ Fed ทำหน้าที่เป็นตัวชี้วัดทิศทางเศรษฐกิจโลก และผู้ที่สามารถตีความสัญญาณเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง จะสามารถเปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็นโอกาสลงทุนที่น่าสนใจได้อย่างแท้จริง
คุณสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Fed ได้ในบทความ: Fed คืออะไร?
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ดอกเบี้ย Fed ปัจจุบันเท่าไหร่?
ปัจจุบัน ดอกเบี้ย Fed อยู่ที่ 5.25%-5.50% ตามผลการประชุม FOMC เมื่อสิงหาคม 2025 โดย Fed ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ แต่ส่งสัญญาณว่าอาจลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป
Fed ประชุมวันไหน?
FOMC จัดการประชุม 8 ครั้งต่อปี การประชุมครั้งถัดไปจะจัดในวันที่ 17-18 กันยายน 2025 ตามด้วย 6-7 พฤศจิกายน และ 17-18 ธันวาคม 2025 นักลงทุนสามารถตรวจสอบตารางการประชุมล่าสุดได้ที่เว็บไซต์ Federal Reserve
Fed ขึ้นดอกเบี้ยแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?
เมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้ดอลลาร์แข็งค่า เงินบาทอ่อนลง ตลาดหุ้นไทยกดดัน เงินทุนต่างชาติไหลออก และต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการส่งออกไทยจะได้เปรียบ และนักออมจะได้ดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้น
Fed จะลดดอกเบี้ยเมื่อไหร่?
ตาม Dot Plot และคำแถลงล่าสุด Fed คาดว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมกันยายน 2025 หากข้อมูลเงินเฟ้อและการจ้างงานดำเนินไปในทิศทางที่ต้องการ การลดครั้งแรกอาจเป็น 0.25% และลดต่อเนื่องตลอดปี 2025-2026
ดอกเบี้ย Fed ส่งผลต่อดอกเบี้ยเงินฝากไทยไหม?
ใช่ เมื่อ ดอกเบี้ย Fed เปลี่ยนแปลง ธนาคารแห่งประเทศไทยมักจะปรับ Policy Rate ตามเพื่อรักษาเสถียরภาพค่าเงิน ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ปรับดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ตาม แต่การปรับจะไม่เท่ากัน และมีช่วงเวลาล่าช้าประมาณ 1-3 เดือน
นักลงทุนไทยควรทำอย่างไรเมื่อ Fed กำลังจะลดดอกเบี้ย?
ควรเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยและตลาดเกิดใหม่ ลดสัดส่วนเงินสด พิจารณาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและอสังหาฯ ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำ และเตรียมรับการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ แต่ต้องระมัดระวังความผันผวนและกระจายความเสี่ยง
