Stop Loss คืออะไร? ทำไมเทรดเดอร์ต้องรู้จักคำนี้
Stop Loss หรือ คำสั่งหยุดขาดทุน คือเครื่องมือพื้นฐานที่ช่วยให้เทรดเดอร์จำกัดความเสียหายในแต่ละการเทรด ไม่ว่าคุณจะเล่น Forex, หุ้น หรือคริปโต การตั้ง stop loss คือการวางแผนหนีตายให้พอร์ตเสมอ
ในแวดวงการเทรด stop loss ถือเป็น “เพื่อนซี้” ที่ไม่มีใครอยากใช้ แต่จำเป็นต้องมี เหมือนกับเข็มขัดนิรภัยในรถ ไม่มีใครอยากเกิดอุบัติเหตุ แต่ต้องคาดเข็มขัดไว้เพื่อความปลอดภัย
หลักการทำงานของ stop loss นั้นง่ายมาก คือการตั้งราคาที่เราพร้อมจะยอมแพ้ไว้ล่วงหน้า เมื่อราคาแตะจุดที่เราตั้งไว้ ระบบจะปิด Position อัตโนมัติ ทำให้เราไม่ต้องนั่งจ้องหน้าจอตลอดเวลา
การเข้าใจ stop loss คืออะไร จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่แยกเทรดเดอร์มือใหม่กับมืออาชีพ เพราะการรู้จักหยุดขาดทุนคือการรู้จักอยู่ในเกมนี้ได้ยาวๆ
ประเภทของ Stop Loss ที่นักลงทุนควรรู้
Fixed Stop Loss (ค่าคงที่)
Fixed stop loss คืออะไร คือการตั้งระดับ Stop Loss เป็นจำนวน pips หรือเปอร์เซ็นต์ที่ตายตัว เช่น หยุดขาดทุนเมื่อราคาลดลง 3% จากราคาซื้อ หรือตั้ง stop loss ไว้ที่ 50 pips
วิธีนี้เหมาะกับเทรดเดอร์มือใหม่ที่ต้องการความแน่นอน เพราะคำนวณง่าย และควบคุม Risk ได้ชัดเจน แต่ข้อเสียคือไม่ได้คิดถึงสภาวะตลาดขณะนั้น
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณซื้อ EUR/USD ที่ 1.2000 และตั้ง Fixed Stop Loss ไว้ 50 pips ระบบจะปิดการเทรดเมื่อราคาลงมาที่ 1.1950 โดยไม่คำนึงว่าตลาดจะเป็นอย่างไร
Trailing Stop Loss (ตามราคาอัตโนมัติ)
Trailing stop loss คืออะไร คือการเลื่อนจุด Stop Loss ตามราคาที่เพิ่มขึ้น ช่วยล็อคกำไรขณะที่ยังเปิดสถานะอยู่ เป็นเทคนิคที่เทรดเดอร์มืออาชีพชอบใช้
วิธีการทำงานคือ เมื่อราคาเดินไปในทางที่เราต้องการ Trailing Stop จะค่อยๆ เลื่อนตาม แต่ถ้าราคากลับมา Stop Loss จะไม่เลื่อนแล้ว ทำให้เราได้กำไรส่วนหนึ่งแน่นอน
ตัวอย่าง ถ้าคุณซื้อ USD/JPY ที่ 110.00 และตั้ง Trailing Stop ไว้ 30 pips เมื่อราคาขึ้นไป 110.50 ระบบจะเลื่อน Stop Loss ขึ้นมาที่ 110.20 เพื่อล็อคกำไรไว้
Volatility Stop (ตามความผันผวน)
Volatility stop loss คืออะไร คือการตั้ง Stop Loss ตามระดับความผันผวนของตลาด เช่น ใช้ ATR (Average True Range) หรือ Bollinger Band เป็นตัวกำหนด
เทคนิคนี้เหมาะกับตลาดที่มีการเหวี่ยงตัวสูง เพราะจะปรับระยะ Stop Loss ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดในขณะนั้น ไม่ติดกับราคาที่ตายตัว
การเทรด forex ที่ใช้ Volatility Stop มักจะมีประสิทธิภาพดีกว่า เพราะตลาด Forex มีการเคลื่อนไหวที่ไม่แน่นอน การปรับ Stop Loss ตาม Volatility จึงสมเหตุสมผล
จะตั้ง Stop Loss ยังไงให้มีประสิทธิภาพ?
กำหนดตามระดับแนวรับแนวต้าน (Support/Resistance)
วิธีใช้ stop loss ที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการดูจาก Support และ Resistance อย่าตั้งใกล้เกินไปจนโดน “กิน” ง่าย ควรดูแนวรับหรือแนวต้านใกล้เคียงก่อน
เทรดเดอร์มืออาชีพมักจะตั้ง Stop Loss ไว้ใต้ Support หรือเหนือ Resistance ประมาณ 5-10 pips เพื่อป้องกันการถูก “Stop Hunt” จากนายหน้า
การดู Chart แล้วหา Key Level เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราเข้า Long Position ควรตั้ง Stop Loss ใต้ Support ที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่ตั้งแบบสุ่มๆ
สัมพันธ์กับขนาดพอร์ตและ Risk Management
การจัดการความเสี่ยง ที่ดีต้องคำนวณ Position Sizing และ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง เพื่อให้การใช้ Stop Loss สอดคล้องกับแผนการเทรด
กฎทอง 2% คือ ไม่ควรเสี่ยงเกิน 2% ของพอร์ตในแต่ละเทรด ถ้าพอร์ตเรามี 100,000 บาท ไม่ควรขาดทุนเกิน 2,000 บาท ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
การคำนวณ Position Size = (เงินที่เสี่ยงได้ ÷ ระยะ Stop Loss) × ค่า Pip ทำให้เรารู้ว่าควรเปิด Lot เท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม
ถ้าไม่ใช้ Stop Loss จะเกิดอะไรขึ้น?
เสียหายเกินควบคุม
การไม่ตั้ง Stop Loss เปรียบเสมือนการขับรถโดยไม่มีเบรก อาจจะปลอดภัยในช่วงแรก แต่เมื่อเจอสถานการณ์ฉุกเฉิน จะไม่สามารถควบคุมได้
เคสที่เกิดขึ้นจริงใน Swiss Franc Crisis ปี 2015 เทรดเดอร์หลายคนที่ไม่ใช้ Stop Loss สูญเสียเงินทั้งหมด แม้กระทั่งติดหนี้นายหน้า
การเทรดระยะสั้น โดยไม่มี Stop Loss เหมือนกับการเดิมพันทั้งหมด ไม่ใช่การลงทุนอย่างมีสติ
อารมณ์เริ่มครอบงำ
เมื่อการเทรดขาดทุนแต่ไม่มี Stop Loss เทรดเดอร์มักจะเริ่ม “หวังว่าจะกลับมา” แทนการยอมรับความจริง สภาพจิตใจแบบนี้ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด
การ “Average Down” หรือการเพิ่ม Position ขณะขาดทุนเป็นอีกปัญหาหนึ่ง เทรดเดอร์คิดว่าจะลดต้นทุนเฉลี่ย แต่จริงๆ แล้วกำลังเพิ่มความเสี่ยง
จิตวิทยาการเทรดบอกว่า Loss Aversion ทำให้คนเราไม่อยากยอมรับความสูญเสีย จึงถือ Position ขาดทุนนานกว่าที่ควร
เสี่ยงล้างพอร์ตในช่วงตลาดมีข่าวแรง
ตลาดการเงินมีข่าวแรงเกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นข่าวเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด การไม่มี Stop Loss ในช่วงเหล่านี้เท่ากับเปิดตัวรับความเสี่ยงแบบไม่จำกัด
Flash Crash ที่เกิดขึ้นใน Pound Sterling ปี 2016 ทำให้ราคาตกลงไปกว่า 1,000 pips ในเวลาไม่กี่นาที เทรดเดอร์ที่ไม่มี Stop Loss สูญเสียเงินจำนวนมหาศาล
ตัวอย่างการใช้ Stop Loss ใน Forex
เทรด USD/JPY ด้วย Stop Loss 50 pips
สมมติเราเข้า Long USD/JPY ที่ราคา 110.00 ตัวอย่าง stop loss คือ ตั้ง Stop Loss ไว้ที่ 109.50 (50 pips) และ Take Profit ที่ 111.00 (100 pips)
การคำนวณ Risk-Reward Ratio = 100 pips ÷ 50 pips = 1:2 หมายความว่า เสี่ยง 1 ได้ผลตอบแทน 2 ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ดี
ถ้าเราทำแบบนี้ 10 รอบ แม้จะผิด 6 ครั้ง แต่ถูก 4 ครั้ง เราก็ยังได้กำไรรวม เพราะ (-1×6) + (2×4) = +2
ใช้ Trailing Stop Lock กำไรในช่วงเทรนด์ขาขึ้น
เทรด forex แบบมืออาชีพมักใช้ Trailing Stop เพื่อล็อคกำไรขณะที่ยังให้โอกาสการเทรดทำกำไรต่อ
เมื่อราคา USD/JPY วิ่งไปที่ 110.50 (+50 pips) เราสามารถเลื่อน Stop Loss ขึ้นมาที่ 110.20 เพื่อล็อคกำไร 20 pips ไว้
ถ้าราคาดำเนินต่อไปถึง 111.00 (+100 pips) ให้เลื่อน Stop Loss ขึ้นมาที่ 110.70 ล็อคกำไร 70 pips ไว้
ราคาปัจจุบัน
|
Stop Loss
|
กำไรที่ล็อคไว้
|
---|
110.00
|
109.50
|
0 pips
|
---|
110.50
|
110.20
|
20 pips
|
---|
111.00
|
110.70
|
70 pips
|
---|
111.50
|
111.20
|
120 pips
|
---|
กลยุทธ์ Stop Loss ขั้นสูงที่มืออาชีพใช้
Stop Loss แบบ Percentage-Based
กลยุทธ์ stop loss นี้เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการควบคุม Risk อย่างเคร่งครัด โดยตั้ง Stop Loss เป็นเปอร์เซ็นต์ของ Account Balance
เช่น ถ้าพอร์ตมี 100,000 บาท และเราตั้งกฎว่าจะเสี่ยงไม่เกิน 1% ต่อการเทรด เราจะขาดทุนได้ไม่เกิน 1,000 บาท
การคำนวณ Position Size จะขึ้นอยู่กับระยะ Stop Loss ถ้า Stop Loss ไว้ 50 pips ใน EUR/USD เราจะเปิดได้ประมาณ 0.2 Lot
Time-Based Stop Loss
นอกจาก Price-Based Stop Loss แล้ว ยังมี Time-Based Stop Loss ที่ปิดการเทรดตามเวลา เหมาะกับ การเทรดระยะสั้น หรือ Scalping
เช่น ตั้งให้ปิดการเทรดอัตโนมัติหลังจาก 4 ชั่วโมง ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน เพื่อป้องกันการถูก Gap ในตลาดเปิด
Multiple Stop Loss Strategy
เทรดเดอร์ขั้นสูงอาจจะแบ่ง Position เป็นหลายส่วน และตั้ง Stop Loss แต่ละส่วนไว้คนละระดับ
เช่น แบ่ง Position เป็น 3 ส่วน ส่วนแรกตั้ง Stop Loss ที่ 30 pips ส่วนที่สองที่ 50 pips และส่วนสุดท้ายที่ 100 pips
วิธีนี้ช่วยให้สามารถล็อคกำไรบางส่วนไว้ได้ ขณะเดียวกันก็ยังให้โอกาสการเทรดส่วนที่เหลือทำกำไรต่อ
ข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นกับ Stop Loss
ตั้ง Stop Loss ใกล้เกินไป
ความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดคือการตั้ง Stop Loss ใกล้ราคาตลาดเกินไป ทำให้โดนกิน (Stop Out) ง่าย แม้ทิศทางการเทรดจะถูกต้อง
การตั้ง Stop Loss ควรคำนึงถึง Market Volatility ถ้าคู่เงินมีการเคลื่อนไหวรุนแรง ควรให้พื้นที่มากขึ้น
ย้าย Stop Loss ตลอดเวลา
บางคนชอบย้าย Stop Loss เมื่อราคาใกล้จะแตะ โดยหวังว่าราคาจะกลับมา แต่การทำแบบนี้ทำลายหลัก Risk Management
ถ้าเราตั้ง Stop Loss ไว้แล้ว ควรยึดมั่นในกฎที่วางไว้ เว้นแต่จะเป็นการย้ายเพื่อล็อคกำไร
ไม่ปรับ Stop Loss ตาม Market Condition
ตลาดมีหลายสภาวะ ไม่ว่าจะเป็น Trending Market หรือ Ranging Market การใช้ Stop Loss แบบเดียวกันทุกสถานการณ์อาจไม่เหมาะสม
ในช่วง High Volatility ควรให้พื้นที่ Stop Loss มากขึ้น ส่วนในช่วงตลาดเงียบๆ อาจตั้งแน่นกว่าปกติได้
เทคนิคการตั้ง Stop Loss สำหรับตลาดต่างๆ
Stop Loss สำหรับตลาด Forex
ตลาด Forex เปิด 24 ชั่วโมง จึงจำเป็นต้องมี Stop Loss เพื่อป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่เราไม่ได้ดูตลาด
Major Pairs เช่น EUR/USD, GBP/USD มักจะมี Spread ต่ำ จึงสามารถตั้ง Stop Loss ใกล้ได้ ส่วน Minor Pairs อาจต้องให้พื้นที่มากขึ้น
การตั้ง Stop Loss ใน Forex ควรหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีข่าว Economic Calendar เพราะอาจทำให้ราคาผันผวนมาก
Stop Loss สำหรับตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นมีการเปิด-ปิดตามเวลา จึงต้องระวังเรื่อง Gap ที่อาจเกิดขึ้นตอนเปิดตลาด
การตั้ง Stop Loss ในหุ้นแต่ละตัวควรดูจาก Support/Resistance ที่ชัดเจน และ Trading Volume ที่แต่ละระดับ
หุ้นที่มี Liquidity ต่ำอาจมี Slippage สูง ทำให้ Stop Loss ไม่ทำงานตามที่ตั้งไว้เป๊ะๆ
Stop Loss สำหรับคริปโต
ตลาดคริปโตมีความผันผวนสูงมาก จึงควรตั้ง Stop Loss ให้ห่างจากราคาตลาดมากกว่าปกติ
Bitcoin และ Ethereum มี Liquidity ดี Stop Loss จึงทำงานได้ดี แต่ Altcoin เล็กๆ อาจมีปัญหา Slippage
การตั้ง Stop Loss ในคริปโตควรระวังช่วงข่าวใหญ่ เพราะราคาอาจเคลื่อนไหวร้อยเปอร์เซ็นต์ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
การใช้ Stop Loss ร่วมกับ Technical Analysis
Stop Loss กับ Moving Average
Moving Average เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้กำหนดจุด Stop Loss โดยเฉพาะ EMA 20 หรือ SMA 50
เมื่อเข้า Long Position เหนือ MA สามารถตั้ง Stop Loss ใต้ MA ประมาณ 5-10 pips เพื่อป้องกัน False Signal
การใช้ Multiple MA เช่น EMA 12, 26 ช่วยให้การตั้ง Stop Loss มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
Stop Loss กับ Fibonacci Retracement
Fibonacci Level เป็นจุดที่นิยมใช้ตั้ง Stop Loss โดยเฉพาะ 61.8% และ 78.6% Retracement
ถ้าเข้า Position ที่ 38.2% Fib Level สามารถตั้ง Stop Loss ที่ 61.8% Level ได้
การรอ Retest ที่ Fib Level ก่อนเข้าตลาดช่วยเพิ่มความแม่นยำของการตั้ง Stop Loss
Stop Loss กับ Candlestick Pattern
การใช้ Candlestick Pattern ช่วยกำหนดจุด Stop Loss ได้แม่นยำ เช่น ตั้ง Stop Loss ใต้ Low ของ Hammer หรือเหนือ High ของ Shooting Star
Pin Bar เป็น Pattern ที่นิยมใช้กำหนด Stop Loss โดยตั้งไว้ที่ปลาย Shadow ของ Pin Bar
การรอ Confirmation จาก Candlestick ถัดไปก่อนตั้ง Stop Loss ช่วยลดความเสี่ยงจาก False Signal
ภาวะอารมณ์และจิตวิทยาในการตั้ง Stop Loss
การจัดการอารมณ์เมื่อโดน Stop Loss
การโดน Stop Loss เป็นเรื่องปกติในการเทรด แต่หลายคนรู้สึกโกรธหรือเสียใจมาก ทำให้ตัดสินใจผิดพลาดในเทรดถัดไป
การมอง Stop Loss เป็น “ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจ” ช่วยให้เราไม่รู้สึกแย่เมื่อโดน Stop Loss
เทรดเดอร์มืออาชีพมักจะเฉลิมฉลองเมื่อ Stop Loss ทำงาน เพราะหมายความว่าระบบ Risk Management ทำงานได้ดี
การเอาชนะความกลัวในการตั้ง Stop Loss
หลายคนกลัวตั้ง Stop Loss เพราะไม่อยากยอมรับความสูญเสีย แต่การไม่ตั้ง Stop Loss กลับทำให้เสี่ยงสูญเสียมากกว่า
การเริ่มต้นจาก Position Size เล็กๆ ช่วยให้คุ้นเคยกับการใช้ Stop Loss โดยไม่เครียดมาก
การทำ Paper Trading หรือ Demo Trading ก่อนใช้เงินจริงช่วยฝึกการใช้ Stop Loss อย่างมีวินัย
อนาคตของเทคโนโลยี Stop Loss
AI และ Machine Learning ใน Stop Loss
เทคโนโลยี AI เริ่มเข้ามาช่วยกำหนด Stop Loss อัตโนมัติ โดยวิเคราะห์จาก Market Pattern และ Historical Data
Algorithm Trading มีการใช้ Dynamic Stop Loss ที่ปรับตัวตาม Market Volatility แบบ Real-time
การใช้ AI ช่วยลดอคติทางจิตวิทยาในการตั้ง Stop Loss ทำให้การตัดสินใจเป็นกลางมากขึ้น
Smart Stop Loss ในอนาคต
ระบบ Smart Stop Loss ที่กำลังพัฒนาจะสามารถพิจารณาปัจจัยหลายอย่างพร้อมกัน เช่น News Sentiment, Market Volatility, และ Correlation ระหว่างสินทรัพย์
การเชื่อมต่อกับ Economic Calendar ทำให้ Stop Loss สามารถปรับตัวก่อนมีข่าวสำคัญออกมา
Blockchain Technology อาจช่วยให้ Stop Loss มีความโปร่งใสและไม่สามารถถูกจัดการโดยนายหน้าได้
สรุป: Stop Loss คือเพื่อนที่เทรดเดอร์ต้องมี
Stop loss คือ เครื่องมือที่ไม่ใช่สำหรับ “คนกลัวแพ้” แต่คือเกราะป้องกันที่ทำให้คุณอยู่ในเกมการเทรดได้ยาวๆ การเข้าใจและใช้ stop loss คืออะไร อย่างถูกต้องคือพื้นฐานสำคัญของการเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ
การตั้ง stop loss อย่างมีวินัยคือหนึ่งในปัจจัยที่แยกระหว่างมือสมัครเล่นกับมืออาชีพ เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวล้วนมีระบบ การจัดการความเสี่ยง ที่ดี และ Stop Loss เป็นหัวใจหลักของระบบนี้
การนำ กลยุทธ์ stop loss ที่เหมาะสมมาใช้ร่วมกับ วิธีใช้ stop loss ที่ถูกต้องจะช่วยให้การเทรดของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น trailing stop loss คืออะไร, fixed stop loss คืออะไร หรือ volatility stop loss คืออะไร แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน
ตัวอย่าง stop loss ที่เราได้ยกมาแสดงให้เห็นว่าการใช้ Stop Loss ไม่ได้ยาก แต่ต้องใช้อย่างสม่ำเสมอและมีระบบ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง ที่ชัดเจน
สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้ stop loss คืออะไร แนะนำให้เริ่มจาก Fixed Stop Loss ก่อน เพราะคำนวณง่ายและควบคุมได้ชัดเจน เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นค่อยไปใช้ Trailing Stop หรือ Volatility Stop
การประสบความสำเร็จใน เทรด forex หรือตลาดอื่นๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการหาจุดเข้าที่ดี แต่อยู่ที่การรู้จักออกจากตลาดในเวลาที่เหมาะสม Stop Loss คือเครื่องมือที่ช่วยให้เราทำสิ่งนี้ได้อย่างมีระบบ
จำไว้ว่า การเทรดระยะสั้น หรือการลงทุนระยะยาว Stop Loss ล้วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน เพราะไม่มีใครสามารถทำนายตลาดได้ 100% การมี Stop Loss คือการยอมรับความไม่แน่นอนของตลาดและเตรียมพร้อมรับมือ
FAQ (คำถามที่พบบ่อย)
1. Stop Loss คืออะไร และทำไมต้องใช้?
Stop Loss หรือคำสั่งหยุดขาดทุน คือเครื่องมือที่ช่วยจำกัดความเสียหายในการเทรด โดยปิด Position อัตโนมัติเมื่อราคาแตะจุดที่เราตั้งไว้ การใช้ Stop Loss ช่วยให้เราควบคุมความเสี่ยงและไม่ต้องจ้องหน้าจอตลอดเวลา
2. ควรตั้ง Stop Loss ไว้กี่ pips?
ไม่มีคำตอบที่ตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับ Timeframe, ความผันผวนของคู่เงิน และระดับ Support/Resistance แต่ในตลาด Forex มักตั้งระหว่าง 20-100 pips สำหรับ Day Trading
3. Trailing Stop Loss ทำงานอย่างไร?
Trailing Stop จะเลื่อนตาม favorable price movement แต่จะไม่เลื่อนเมื่อราคาเดินย้อนกลับ ช่วยล็อคกำไรขณะที่ยังให้โอกาสการเทรดทำกำไรต่อ
4. Stop Loss กับ Stop Limit ต่างกันอย่างไร?
Stop Loss จะปิด Position ทันทีเมื่อราคาแตะ ส่วน Stop Limit จะส่งคำสั่ง Limit Order เมื่อราคาแตะจุดที่กำหนด Stop Limit มีโอกาสไม่ execute ถ้าตลาดเคลื่อนไหวเร็วเกินไป
5. ควรย้าย Stop Loss หรือไม่?
ควรย้ายเฉพาะเพื่อล็อคกำไร (Trailing Stop) ไม่ควรย้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน เพราะจะทำลายหลักการ Risk Management
6. Stop Loss ใช้ได้กับทุกตลาดหรือไม่?
ใช้ได้กับทุกตลาด แต่วิธีการตั้งอาจแตกต่างกัน ตลาด Forex ใช้ pips, ตลาดหุ้นใช้เปอร์เซ็นต์ หรือราคา, ตลาดคริปโตต้องระวังความผันผวนสูง
7. ถ้า Stop Loss โดนกินบ่อยต้องทำยังไง?
อาจต้องปรับวิธีการตั้ง Stop Loss โดย: ให้พื้นที่มากขึ้น, ดู Support/Resistance ให้ชัดเจน, หรือลดขนาด Position แทนการตั้ง Stop Loss ใกล้
8. Stop Loss มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมไหม?
ส่วนใหญ่ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่อาจมี Slippage (ราคาที่ execute ไม่ตรงกับที่ตั้งไว้) โดยเฉพาะในช่วง High Volatility หรือ Low Liquidity
9. Stop Loss ทำงานตอนตลาดปิดไหม?
ใน Forex ที่เปิด 24 ชั่วโมง Stop Loss ทำงานตลอด แต่ในตลาดหุ้นอาจไม่ทำงานตอนตลาดปิด ขึ้นอยู่กับประเภทคำสั่งและนายหน้า
10. มือใหม่ควรเริ่มจาก Stop Loss แบบไหน?
แนะนำเริ่มจาก Fixed Stop Loss เพราะเข้าใจง่าย คำนวณได้ชัดเจน เมื่อมีประสบการณ์แล้วค่อยไปใช้ Trailing Stop หรือ Volatility-based Stop Loss