พอเริ่มเข้ามาในโลกของ Forex แล้ว เทรดเดอร์ใหม่ๆ มักจะเจอคำว่า เลเวอเรจ 1:100 คือ อะไร ซึ่งอาจจะฟังดูซับซ้อนในตอนแรก แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากเลย วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องนี้อย่างละเอียด ตั้งแต่พื้นฐานที่ต้องรู้ วิธีคำนวณที่ใช้จริง ไปจนถึงการใช้งานให้ปลอดภัย
Leverage หรือที่เรียกกันว่า อัตราทด เป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักของการเทรด Forex ที่ทำให้เราสามารถควบคุม position ที่ใหญ่กว่าเงินทุนที่มีอยู่จริงได้ เหมือนกับการที่เราไม่ต้องมีเงินเต็มจำนวนแต่ก็สามารถซื้อของที่ต้องการได้
แน่นอนว่าเรื่องดีๆ มักจะมาพร้อมกับความเสี่ยง และ leverage ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ยิ่งใช้ leverage สูง โอกาสกำไรก็เยอะขึ้น แต่ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

Leverage คืออะไรกันแน่?
ก่อนที่จะไปลึกถึงเรื่อง 1:100 เรามาทำความเข้าใจเรื่อง leverage กันก่อน โดยพื้นฐานแล้ว leverage คือการที่ โบรกเกอร์ ให้เรายืมเงินเพื่อไปเปิด position ในตลาด Forex
สมมติเราอยากซื้อ EUR/USD มูลค่า 100,000 ดอลลาร์ แต่ในบัญชีมีแค่ 1,000 ดอลลาร์ ปกติแล้วคงซื้อไม่ได้ใช่ไหม แต่ด้วย leverage เราสามารถทำได้ เพราะโบรกเกอร์จะให้เรายืมเงินที่เหลือ
เงินที่เราต้องวางเป็น หลักประกัน เรียกว่า มาร์จิ้น (margin) ซึ่งก็คือเงิน 1,000 ดอลลาร์ที่เรามีในบัญชีนั่นเอง ส่วนที่เหลืออีก 99,000 ดอลลาร์ โบรกเกอร์จะให้ยืม
ที่สำคัญคือ เมื่อเราทำกำไรหรือขาดทุน จะคำนวณจากมูลค่าเต็มของ position ที่ 100,000 ดอลลาร์ ไม่ใช่แค่เงิน margin ที่ 1,000 ดอลลาร์ นี่แหละที่ทำให้ leverage มีพลังในการขยายผลทั้งดีและร้าย
สามารถเข้าไปอ่านบทความเกี่ยวกับเลเวอเรจ คืออะไร เพิ่มเติมได้ที่ [Leverage คืออะไร? รู้จักเลเวอเรจที่ทุกเทรดเดอร์ต้องเข้าใจ]
เลเวอเรจ 1:100 คืออะไรกันแน่?

มาถึงจุดสำคัญแล้ว เลเวอเรจ 1:100 คือ อัตราส่วนที่บอกว่าเงิน 1 ดอลลาร์ของเรา สามารถควบคุม position มูลค่า 100 ดอลลาร์ได้ ฟังดูไม่ซับซ้อนเลยใช่ไหม
วิธีคิดง่ายๆ คือ ถ้าเรามีเงินในบัญชี 1,000 ดอลลาร์ และใช้ leverage 1:100 เราจะสามารถเปิด position ได้สูงสุด 100,000 ดอลลาร์
สูตรคำนวณ: เงินทุน × 100 = อำนาจการซื้อสูงสุด
ลองดูตัวอย่างจริงๆ กัน:
- เงินในบัญชี: $2,000
- Leverage: 1:100
- อำนาจการซื้อ: $2,000 × 100 = $200,000
ซึ่งหมายความว่าเราสามารถเปิด position ได้ถึง 2 standard lots (1 lot = $100,000)
อัตราทด 1:100 เป็นระดับที่ได้รับความนิยมพอสมควร เพราะให้โอกาสในการทำกำไรที่ดี แต่ก็ไม่รุนแรงเกินไปจนควบคุมไม่ได้ เทียบกับ leverage ระดับ 1:500 หรือ 1:1000 ที่ถือว่าสูงมาก
อีกเรื่องที่ต้องเข้าใจคือ แม้ว่าเราจะสามารถเปิด position ได้เยอะ แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ leverage เต็มที่ การใช้เพียงบางส่วนถือเป็นการบริหารความเสี่ยงที่ดีกว่า
คำนวณ Margin ยังไง? มาดูตัวอย่างจริง

ตอนนี้เรารู้แล้วว่า leverage 1:100 คืออะไร แต่เวลาเทรดจริงๆ เราต้องรู้ว่าต้องใช้ มาร์จิ้น เท่าไหร่ในการเปิด position แต่ละครั้ง
สูตรคำนวณ Margin: Margin = (ขนาด Position ÷ Leverage) × อัตราแลกเปลี่ยน
ฟังดูซับซ้อน แต่เดี๋ยวเราลองดูตัวอย่างจริงๆ กัน
ตัวอย่างการเทรด EUR/USD
สมมติเราอยากเปิด position EUR/USD แบบนี้:
- ขนาด Position: 1 Standard Lot (100,000 EUR)
- Leverage: 1:100
- ราคา EUR/USD ปัจจุบัน: 1.0800
- สกุลเงินในบัญชี:USD
มาคำนวณกัน: Margin = (100,000 ÷ 100) × 1.0800 = 1,000 × 1.0800 = $1,080
นั่นหมายความว่าเราต้องมีเงินในบัญชีอย่างน้อย $1,080 เพื่อเปิด position EUR/USD ขนาด 1 lot ด้วย leverage 1:100
แล้วถ้าเราเทรดถูกทิศทางล่ะ? สมมติ EUR/USD เพิ่มขึ้น 100 pips (จาก 1.0800 เป็น 1.0900): กำไร = 100,000 × 0.0100 = $1,000
แต่ถ้าเทรดผิดทิศทาง และราคาลดลง 100 pips (เป็น 1.0700): ขาดทุน = 100,000 × 0.0100 = $1,000
เห็นไหมว่าการเคลื่อนไหวแค่ 100 pips ทำให้เรากำไรหรือขาดทุนได้ $1,000 ทั้งที่ใช้ margin แค่ $1,080 นี่แหละคือพลังของ leverage
ถ้า ขาดทุน เยอะจนใกล้จะหมดเงิน margin โบรกเกอร์จะส่ง Margin Call หรือปิด position ให้เราอัตโนมัติ เพื่อป้องกันไม่ให้เสียเงินเกินที่มีในบัญชี
ข้อดีข้อเสียของ Leverage 1:100
การจะใช้ เลเวอเรจ 1:100 เราควรรู้จักข้อดีข้อเสียก่อน เพื่อจะได้ใช้อย่างเหมาะสม
ข้อดีที่เห็นได้ชัด
ทำให้เข้าถึงตลาดได้ง่ายขึ้น นี่คือข้อดีใหญ่ของ leverage ถ้าไม่มี leverage เราต้องมีเงิน $100,000 ถึงจะซื้อ standard lot ได้ 1 lot แต่ด้วย leverage 1:100 เราใช้เงินแค่ $1,000 ก็ซื้อได้แล้ว
โอกาสกำไรเพิ่มขึ้น เมื่อเทรดถูกทิศทาง กำไรจะคำนวณจาก position เต็ม ไม่ใช่แค่เงิน margin ทำให้ได้กำไรมากกว่าการลงทุนทั่วไป
ใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะผูกเงินทั้งหมดไว้ใน position เดียว เราสามารถกระจายไปเทรดหลาย คู่สกุลเงิน ได้ หรือเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้สำรอง
เหมาะกับตลาด Forex ตลาด Forex เคลื่อนไหวไม่รุนแรงมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่น การมี leverage ช่วยให้เราสามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวเล็กๆ ได้
ข้อเสียที่ต้องระวัง
ขาดทุนก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน นี่คือข้อเสียที่ใหญ่ที่สุด เมื่อเทรดผิดทิศทาง เราก็จะขาดทุนตามขนาด position เต็ม ไม่ใช่แค่เงิน margin
เสี่ยง Margin Call ถ้าตลาดเคลื่อนไหวผิดทิศทางมากๆ เงินใน margin อาจไม่พอรองรับ โบรกเกอร์จะปิด position ให้ ทำให้เราขาดทุนแบบถาวร
ความเครียดเพิ่มขึ้น การเทรดด้วย leverage ทำให้ผลกำไรขาดทุนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจสร้างความเครียดและทำให้ตัดสินใจผิดพลาด
ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม บาง โบรกเกอร์ อาจมีค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการใช้ leverage หรือค่า swap ที่สูงขึ้นสำหรับ position ที่ถือข้ามคืน
ตารางเปรียบเทียบระดับ Leverage
ระดับ Leverage | Margin ต่อ 1 Lot | อำนาจการซื้อ ($1,000) | ความเสี่ยง | เหมาะสำหรับ |
---|
1:50 | $2,000 | $50,000 | ต่ำ-ปานกลาง | มือใหม่ |
---|
1:100 | $1,000 | $100,000 | ปานกลาง | เทรดเดอร์ทั่วไป |
---|
1:200 | $500 | $200,000 | ปานกลาง-สูง | มีประสบการณ์ |
---|
1:500 | $200 | $500,000 | สูง | ผู้เชี่ยวชาญ |
---|
1:1000 | $100 | $1,000,000 | สูงมาก | เทรดเดอร์โปร |
---|
จากตารางจะเห็นว่า leverage 1:100 อยู่ตรงกลางพอดี ไม่สูงจนเกินควบคุม แต่ก็ให้โอกาสที่ดีสำหรับการทำกำไร

วิธีลดความเสี่ยงเมื่อใช้ Leverage 1:100
เมื่อตัดสินใจใช้ leverage แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้จัก การจัดการความเสี่ยง ไม่ใช่แค่หวังให้โชคดี
กฎ 1% ที่ควรจำไว้
หลักการง่ายๆ ที่เทรดเดอร์หลายคนใช้คือ “ไม่เสี่ยงเกิน 1% ของเงินทุนทั้งหมดใน trade เดียว” ถ้าเรามีเงิน $10,000 ก็ไม่ควรเสี่ยงเกิน $100 ต่อครั้ง
มาดูวิธีคำนวณ position size ที่เหมาะสม:
สมมติเรามีเงิน $10,000 และอยากเสี่ยงแค่ 1% = $100 ถ้าเราตั้ง Stop Loss ที่ 50 pips เราควรเปิด position เท่าไหร่?
คำนวณ: $100 ÷ (50 pips × $10/pip) = 0.2 lots
แบบนี้แม้จะใช้ leverage 1:100 แต่ความเสี่ยงจริงๆ ยังคงอยู่ในระดับที่ปลอดภัย
Stop Loss คือเพื่อนแท้ของคุณ
Stop Loss คือคำสั่งที่บอกให้ระบบปิด position เมื่อขาดทุนถึงระดับที่เรากำหนด นี่คือเครื่องมือสำคัญที่สุดในการป้องกันตัว
การตั้ง stop loss ที่ดีต้องคิดเรื่องเหล่านี้:
- ไม่ใกล้เกินไป – ถ้าใกล้มาก อาจถูกกวาดออกจากความผันผวนปกติของตลาด
- Risk:Reward ที่สมเหตุสมผล – ถ้าเสี่ยง 50 pips ควรหวังกำไรอย่างน้อย 100 pips
- ปรับตามสถานการณ์ – เมื่อได้กำไรแล้ว ควรปรับ stop loss ให้ใกล้ราคาปัจจุบันมากขึ้น
การไม่ใช้ stop loss เมื่อเทรดด้วย leverage สูงเหมือนกับการเดินบนเส้นด้ายโดยไม่มีสายรองรับ
เทคนิค Trailing Stop ขั้นสูง
Trailing Stop คือการปรับ Stop Loss ให้ตามราคาอัตโนมัติเมื่อได้กำไร ตัวอย่าง:
- เปิด position ซื้อ EUR/USD ที่ 1.0800
- ตั้ง Trailing Stop ห่าง 30 pips
- เมื่อราคาขึ้นเป็น 1.0850 Stop Loss จะปรับเป็น 1.0820
- ถ้าราคาต่อไปขึ้นเป็น 1.0900 Stop Loss จะปรับเป็น 1.0870
เทคนิคนี้ช่วยปกป้องกำไรที่ได้มาแล้ว พร้อมให้โอกาสราคาวิ่งต่อได้
ขนาด Position ที่เหมาะสม
การคำนวณว่าควรเปิด position ขนาดเท่าไหร่เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง มีสูตรง่ายๆ ที่เรียกว่า Kelly Criterion ที่ช่วยได้
แต่สำหรับการใช้งานทั่วไป เราอาจใช้หลักง่ายๆ คือ:
- เริ่มต้นด้วย position เล็ก – อย่าใช้ leverage เต็มที่ตั้งแต่แรก
- เพิ่มขนาดเมื่อมั่นใจ – เมื่อ strategy ของเราได้ผลดี ค่อยเพิ่มขนาด position
- ลดขนาดเมื่อสับสน – ถ้าตลาดเคลื่อนไหวแปลกๆ ควรลด position ลง
- กระจายความเสี่ยง – ไม่ใส่เงินทั้งหมดในคู่สกุลเงินเดียว
การควบคุมอารมณ์ระหว่างเทรด
เรื่องที่หลายคนมองข้ามคือ เมื่อใช้ leverage 1:100 แล้ว ผลกำไรขาดทุนจะเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์และการตัดสินใจได้
จัดการความกลัวและความโลภ
ความกลัว เกิดขึ้นเมื่อเราเห็นตัวเลขขาดทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อยากปิด position ทิ้งเร็วๆ แม้ว่าจะยังไม่ถึง stop loss
ความโลภ เกิดขึ้นเมื่อเราเห็นกำไรเยอะๆ แล้วคิดว่า “ได้แค่นี้น่าจะไม่พอ” จึงไม่ยอมปิด position หรือเพิ่ม position ใหญ่ขึ้น
วิธีแก้ปัญหาเหล่านี้:
- มีแผนชัดเจนก่อนเทรด – กำหนด entry, stop loss, take profit ล่วงหน้า แล้วยึดติดกับมัน
- บันทึกการเทรด – เขียนบันทึกว่าทำไมถึงเข้า/ออก เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์
- หยุดพักเมื่อจำเป็น – ถ้ารู้สึกเครียดหรือตัดสินใจไม่ได้ ให้หยุดเทรดไปก่อน
สร้างระบบที่พึ่งพาได้
แทนที่จะใช้ความรู้สึก เราควรสร้างระบบการเทรดที่มีกฎเกณฑ์ชัดเจน:
- เงื่อนไขการเข้าตลาด – ต้องมีสัญญาณอะไรบ้างถึงจะเปิด position
- เงื่อนไขการออกจากตลาด – เมื่อไหร่ควรปิด position ทั้งกำไรและขาดทุน
- การบริหารเงินทุน – ใช้เงินเท่าไหร่ในแต่ละ trade
- การทบทวน – มองย้อนกลับดูว่าทำดีหรือผิดตรงไหน
ตารางเปรียบเทียบ Margin แต่ละขนาด Position
ขนาด Position | Leverage 1:50 | Leverage 1:100 | Leverage 1:200 | Leverage 1:500 |
---|
0.1 Lot | $200 | $100 | $50 | $20 |
---|
0.5 Lot | $1,000 | $500 | $250 | $100 |
---|
1.0 Lot | $2,000 | $1,000 | $500 | $200 |
---|
2.0 Lot | $4,000 | $2,000 | $1,000 | $400 |
---|
5.0 Lot | $10,000 | $5,000 | $2,500 | $1,000 |
---|
จากตารางจะเห็นว่า leverage 1:100 ให้ความยืดหยุ่นที่ดี ไม่ต้องใช้ margin เยอะมากจนกระทบสภาพคล่อง แต่ก็ไม่น้อยจนเสี่ยงเกินควร
การใช้ AI ในการวิเคราะห์ Leverage
ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน เทคโนโลยี AI และ Machine Learning เริ่มเข้ามามีบทบาทในการช่วยเทรดเดอร์จัดการ leverage ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เครื่องมือ AI สำหรับการคำนวณ Position Size
ระบบ AI Risk Calculator สามารถวิเคราะห์:
- ประวัติการเทรดของเรา
- ความผันผวนของตลาดปัจจุบัน
- สภาพคล่องของบัญชี
- แนะนำขนาด position ที่เหมาะสมสำหรับแต่ละ trade
AI-Powered Risk Management
ระบบเตือนภัยอัตโนมัติ ที่ใช้ AI วิเคราะห์:
- เมื่อความเสี่ยงของ portfolio เกินกว่าที่กำหนด
- เมื่อ correlation ระหว่างคู่สกุลเงินสูงเกินไป
- เมื่อควรปรับลด leverage เนื่องจากความผันผวนของตลาดเพิ่มขึ้น
การใช้ AI ในการปรับ Leverage แบบ Dynamic
ระบบ Dynamic Leverage Adjustment สามารถ:
- วิเคราะห์ market sentiment แบบ real-time
- ปรับระดับ leverage ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด
- ลด leverage อัตโนมัติในช่วง high volatility
- เพิ่ม leverage เมื่อตลาดมีทิศทางชัดเจน
ข้อควรระวัง: แม้ AI จะช่วยได้มาก แต่ผู้เทรดต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานและไม่พึ่งพา AI 100% การตัดสินใจสุดท้ายควรอยู่ที่ตัวเทรดเดอร์เสมอ
ใครควรใช้ Leverage 1:100?
เลเวอเรจ 1:100 ไม่เหมาะกับทุกคน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และสไตล์การเทรดของแต่ละคน
เหมาะกับเทรดเดอร์แบบนี้
เทรดเดอร์ระดับกลาง ที่เทรดมาแล้วสัก 6 เดือนถึง 1 ปี และเริ่มเข้าใจว่า การจัดการความเสี่ยง สำคัญแค่ไหน กลุ่มนี้จะได้ประโยชน์จาก leverage 1:100 มากที่สุด
คนที่มีแผนการเทรดชัดเจน และยึดติดกับระบบของตัวเอง ไม่ใช่คนที่เปลี่ยนใจบ่อยๆ หรือเทรดตามอารมณ์
ผู้ที่มีเงินทุนพอสมควร ราวๆ $1,000-$10,000 จะสามารถใช้ leverage 1:100 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเสี่ยงมากเกินไป
ไม่เหมาะกับเทรดเดอร์แบบนี้
มือใหม่ที่เพิ่งเริ่ม ควรเริ่มต้นด้วย leverage ต่ำๆ ก่อน เช่น 1:50 หรือ 1:30 เพื่อเรียนรู้การควบคุมความเสี่ยงให้เก่งก่อน
คนที่ชอบเทรดตามอารมณ์ หรือไม่มีระเบียบวินัยในการเทรด การมี leverage สูงอาจทำให้ปัญหาแย่ลงไปอีก
ผู้ที่มีเงินทุนน้อยมาก หากมีเงินต่ำกว่า $500 แนะนำให้สะสมเงินทุนเพิ่มก่อน เพราะ leverage สูงบวกกับเงินทุนน้อยเป็นสูตรลัดสำหรับการสูญเสีย
ข้อผิดพลาดที่มักเจอกับ Leverage 1:100
จากประสบการณ์ของเทรดเดอร์หลายคน มีข้อผิดพลาดที่เจอบ่อยๆ เมื่อใช้ leverage 1:100 การรู้ไว้จะช่วยหลีกเลี่ยงได้
ใช้ Leverage เต็มพิกัดทันที
หลายคนพอรู้ว่ามี leverage 1:100 ก็อยากใช้เต็มที่เลย คิดว่าจะได้กำไรเยอะๆ แต่จริงๆ แล้วนี่เป็นการเสี่ยงที่ไม่จำเป็น การเริ่มต้นด้วย position เล็กๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อมั่นใจจะปลอดภัยกว่า
ไม่ใส่ Stop Loss
บางคนคิดว่าเนื่องจากมี leverage ช่วย กำไรจะได้เยอะ จึงไม่จำเป็นต้องใส่ stop loss แต่ความจริงแล้ว leverage ยิ่งสูง ยิ่งต้องมี stop loss มากกว่าเดิม
Averaging Down อย่างไม่มีแผน
เมื่อ position ขาดทุน บางคนชอบเพิ่ม position เพื่อลดราคาเฉลี่ย โดยคิดว่าเมื่อตลาดกลับตัว จะคุ้มทุนได้เร็วขึ้น แต่นี่เป็นกับดักร้ายมาก เพราะถ้าตลาดยังเดินทิศทางเดิมต่อไป ขาดทุนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ไม่เข้าใจระบบ Margin Call
หลายคนไม่เข้าใจว่า Margin Call เกิดขึ้นตอนไหนและทำงานยังไง เมื่อเงินในบัญชีลดลงจนเหลือน้อย โบรกเกอร์จะปิด position ให้อัตโนมัติ ไม่ใช่รอให้เราตัดสินใจ ถ้าไม่เข้าใจจุดนี้ อาจเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด
คาดหวังผลตอบแทนสูงเกินจริง
การมี leverage 1:100 ไม่ได้แปลว่าจะทำกำไรได้ 100 เท่าแน่นอน ความคาดหวังที่สูงเกินไปมักทำให้เสี่ยงมากเกินควรและตัดสินใจผิดพลาด
Leverage ในยุคปัจจุบันเปลี่ยนไปยังไง?
โลกของ leverage ในตลาด Forex กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่มาจากการที่หน่วยงานกำกับดูแลเข้มงวดมากขึ้น
กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น
หลายประเทศเริ่มจำกัด leverage สูงสุดที่ โบรกเกอร์ ให้ลูกค้าได้ ยกตัวอย่าง ESMA ในยุโรปจำกัดให้ลูกค้าทั่วไปใช้ leverage ได้แค่ 1:30 สำหรับคู่สกุลเงินหลัก ทำให้โบรกเกอร์หลายรายต้องปรับเปลี่ยนนโยบาย
การแบ่งประเภทลูกค้าชัดเจนขึ้น
ตอนนี้โบรกเกอร์เริ่มแยกลูกค้าเป็น Professional กับ Retail อย่างชัดเจน Professional จะได้ leverage สูงกว่า แต่ต้องพิสูจน์ว่ามีประสบการณ์และเงินทุนเพียงพอ
เทคโนโลยีช่วยประเมินความเสี่ยง
ระบบ AI และ Machine Learning เริ่มเข้ามาช่วยในการประเมินว่าเทรดเดอร์แต่ละคนเหมาะกับ leverage ระดับไหน โดยดูจากประวัติการเทรดและพฤติกรรม
การให้ความรู้มากขึ้น
โบรกเกอร์หลายรายเริ่มให้ความสำคัญกับการศึกษาลูกค้า มีการสอบผ่านก่อนให้ใช้ leverage สูง และมีเครื่องมือจัดการความเสี่ยงที่ดีขึ้น
เทคนิคการเทรดที่เข้ากับ Leverage 1:100
ไม่ใช่ทุกสไตล์การเทรดที่เหมาะกับ เลเวอเรจ 1:100 เรามาดูกันว่าแบบไหนที่ใช้ได้ผลดี
Swing Trading
Swing Trading คือการถือ position นาน 2-10 วัน ซึ่งเหมาะกับ leverage 1:100 มาก เพราะมีเวลาให้ตลาดเดินทางตามทิศทางที่เราวิเคราะห์ไว้
ข้อดีของ swing trading กับ leverage ปานกลางคือ ไม่ต้องเครียดกับความผันผวนระยะสั้น และไม่ต้องจ้องหน้าจอทั้งวัน สามารถทำงานปกติไปด้วย
การเทรดตาม Trend
เมื่อเห็น trend ชัดเจนแล้ว การใช้ leverage 1:100 ในการเทรดตาม trend จะได้ผลดี เพราะโอกาสที่ราคาจะเดินไปในทิศทางเดียวกันต่อเนื่องมีสูง
เครื่องมือที่ช่วยได้ เช่น Moving Average, MACD, หรือ RSI จะช่วยในการหาจุดเข้าและออกที่เหมาะสม
การกระจายความเสี่ยง
แทนที่จะใส่เงินทั้งหมดใน คู่สกุลเงิน เดียว การกระจายไปหลายคู่จะช่วยลดความเสี่ยง leverage 1:100 ทำให้เราสามารถเปิดหลาย position ขนาดเล็กได้ โดยไม่ใช้เงินทุนมากเกินไป
การพัฒนาตัวเองเป็นเทรดเดอร์ที่ดีขึ้น
การใช้ leverage อย่างเก่งกาจต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และฝึกฝน ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้ในข้ามคืน
เริ่มต้นด้วยการทดลอง
การใช้ demo account เพื่อทดลองเทรดกับ leverage ต่างๆ เป็นวิธีที่ดีมาก ได้เรียนรู้โดยไม่เสี่ยงเงินจริง สามารถลองผิดลองถูกจนกว่าจะเจอ style ที่เหมาะกับตัวเอง
เรียนรู้จากการบันทึก
การเขียนบันทึกการเทรดทุกครั้ง ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน จะช่วยให้เราเข้าใจรูปแบบการเทรดของตัวเอง เห็นจุดแข็งและจุดอ่อน แล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น
ติดตามข่าวสารตลาด
ตลาด Forex ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองเป็นอย่างมาก การติดตามข่าวสารและเข้าใจบริบทของตลาดจะช่วยให้ใช้ leverage ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เรียนรู้จากผู้อื่น
การอ่านหนังสือ ดู video หรือเข้าร่วมชุมชนเทรดเดอร์ จะช่วยให้ได้ไอเดียและเทคนิคใหม่ๆ แต่ก็ต้องระวังไม่ให้หลงไปกับคำสัญญาลวงๆ
การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสำหรับ Leverage 1:100
การเลือกโบรกเกอร์ เป็นปัจจัยสำคัญในการใช้ leverage อย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งที่ควรพิจารณา:
- การได้รับใบอนุญาต: ตรวจสอบว่าได้รับการควบคุมจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ
- Spread และ Commission: เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการเทรด
- Margin Call Level: แต่ละโบรกเกอร์มี level ต่างกัน
- เครื่องมือการเทรด: ต้องมีเครื่องมือที่ครบครันและใช้งานง่าย
- Customer Support: สำคัญมากเมื่อเกิดปัญหาเร่งด่วน
สรุปเรื่อง Leverage 1:100 ที่ควรจำ
หลังจากที่เราคุยกันมายาวเรื่อง เลเวอเรจ 1:100 คือ อะไร วิธีคำนวณ ข้อดีข้อเสีย และการใช้งานจริง มาสรุปประเด็นสำคัญๆ กัน
Leverage 1:100 เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับเทรดเดอร์ที่รู้จักใช้ ช่วยให้เข้าถึงโอกาสในตลาด Forex ได้ง่ายขึ้น แม้จะมีเงินทุนจำกัด แต่ก็ต้องใช้อย่างระมัดระวัง
สิ่งสำคัญที่สุดคือ leverage เป็นเครื่องมือที่ขยายผลทั้งกำไรและขาดทุน การใช้งานที่ปลอดภัยต้องมี การจัดการความเสี่ยง ที่ดี การใช้ stop loss อย่างสม่ำเสมอ และการคำนวณขนาด position ที่เหมาะสม
อัตราทด 1:100 เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ระดับกลางที่มีประสบการณ์พอสมควร เข้าใจการควบคุมความเสี่ยง และมีระเบียบวินัยในการเทรด ไม่เหมาะกับมือใหม่ที่ยังขาดประสบการณ์
การที่จะเก่งในการใช้ leverage ต้องใช้เวลาเรียนรู้และฝึกฝน ไม่มีทางลัดสู่ความสำเร็จ แต่ถ้ามีความอดทนและวินัย leverage 1:100 สามารถเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จในการเทรดได้
สุดท้าย อย่าลืมว่า leverage เป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่เส้นทางลัดสู่ความร่ำรวย การตัดสินใจใช้ leverage ระดับไหนควรขึ้นอยู่กับประสบการณ์ เงินทุน และความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคน
FAQ
Leverage 1:100 เหมาะกับมือใหม่ไหม
จริงๆ แล้ว leverage 1:100 ไม่ค่อยเหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มเทรด เพราะความเสี่ยงค่อนข้างสูง เทรดเดอร์มือใหม่ควรเริ่มจาก leverage ต่ำๆ ก่อน เช่น 1:50 หรือ 1:30 เพื่อเรียนรู้การจัดการความเสี่ยงให้เก่งก่อน พอมีประสบการณ์แล้วค่อยเพิ่ม leverage สูงขึ้น
ต้องมีเงินทุนขั้นต่ำเท่าไหร่ถึงจะใช้ Leverage 1:100 ได้
ไม่มีเงินขั้นต่ำที่ตายตัว แต่จากประสบการณ์ แนะนำให้มีเงินอย่างน้อย $1,000-$2,000 จะดีกว่า เพราะจะมีความยืดหยุ่นในการจัดการความเสี่ยง ถ้าเงินน้อยเกินไปแล้วใช้ leverage สูง จะเสี่ยงสูญเสียเงินทั้งหมดเร็วมาก
Leverage 1:100 กับ 1:500 ต่างกันยังไง
ความต่างหลักๆ คือ margin ที่ต้องใช้และระดับความเสี่ยง leverage 1:500 ใช้ margin น้อยกว่า แต่ความเสี่ยงสูงกว่า เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์มากและควบคุมอารมณ์ได้ดี ส่วน 1:100 เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างโอกาสและความเสี่ยง
Margin Call เกิดขึ้นตอนไหนเมื่อใช้ Leverage 1:100
margin call จะเกิดขึ้นเมื่อเงินในบัญชีลดลงจนเหลือใกล้ๆ กับจำนวน margin ที่ใช้ถือ position โดยปกติโบรกเกอร์จะแจ้งเตือนเมื่อเงินเหลือประมาณ 100-150% ของ margin และจะปิด position อัตโนมัติเมื่อเหลือแค่ 50-100% ของ margin
เปลี่ยน Leverage หลังเปิดบัญชีได้ไหม
ได้แน่นอน โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ให้เปลี่ยน leverage ได้ผ่านหน้าเว็บหรือแอป บางรายอาจต้องติดต่อ customer service แต่ที่ต้องจำไว้คือ การเปลี่ยน leverage จะมีผลกับ position ใหม่เท่านั้น position เก่าที่เปิดไว้แล้วจะยังใช้ leverage เดิม
ใช้ Leverage 1:100 กับ Crypto ต่างจาก Forex ไหม
ต่างมาก เพราะ cryptocurrency มีความผันผวนสูงกว่า Forex อย่างมาก crypto สามารถขึ้นลง 10-20% ในวันเดียวได้ ในขณะที่ Forex มักจะขึ้นลงแค่ 1-2% การใช้ leverage เดียวกันกับ crypto จึงมีความเสี่ยงสูงกว่าเยอะ ต้องระมัดระวังมากกว่าปกติ