บทนำ: ความฝันของนักเทรดระดับโลก – ทำไม “สอบกองทุน” จึงเป็นเส้นทางที่ฉลาดที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ไทย
หากคุณเป็นเทรดเดอร์ที่เคยเจอกับสถานการณ์ “พอร์ตแตก” หรือ “ระเบิดบัญชี” มาแล้ว คุณไม่ได้อยู่คนเดียว สถิติแสดงให้เห็นว่า 80-90% ของนักเทรดรายย่อยขาดทุนจากการเทรด forex ในระยะยาว
ปัญหาหลักของการเทรดด้วยเงินทุนตัวเอง คือ “ความดันทางจิตใจ” ที่มากเกินไป เมื่อเสียเงินตัวเองแล้ว อารมณ์จะเข้ามาควบคุม ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด
แต่จะเป็นอย่างไรหากบอกว่ามีวิธีการเทรดโดยไม่ต้องเสี่ยงเงินทุนของตัวเอง และยังได้รับ “เงินปันผล” เมื่อทำกำไร? นั่นคือสิ่งที่ prop firm หรือ “กองทุนเทรด” มอบให้
สอบกองทุน forex คือประตูสู่อาชีพ “นักเทรดที่ได้รับทุน” ระดับมืออาชีพ โดยคุณจะได้รับเงินทุนจากบริษัทเพื่อนำไปเทรด และแบ่งกำไรกันตามสัดส่วนที่ตกลงไว้ โดยทั่วไปคุณจะได้รับ 70-90% ของกำไรที่ทำได้
ข้อดีของการเป็น funded trader มีมากมาย เช่น ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทุน ได้เข้าถึง “ลิควิดิตี้” ระดับสถาบัน มีแรงจูงใจที่ดีกว่า และสำคัญที่สุดคือ “การเรียนรู้แบบมีโครงสร้าง” ที่จะทำให้คุณเป็นนักวิเคราะห์ตลาดที่ดีขึ้น
บทความนี้จะเป็น “คู่มือสอบ” ฉบับครบครันที่จะพาคุณจากเทรดเดอร์ที่เคยล้มเหลวมาสู่การเป็น funded trader ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ผ่านการสอบ แต่ยังรวมถึงการ “รักษาบัญชี” ให้อยู่รอดในระยะยาว
ทุกสิ่งที่คุณจะได้อ่านในบทความนี้มาจากประสบการณ์จริงของ “เทรดเดอร์ที่ผ่านการสอบ” และข้อมูลล่าสุดจากหลากหลาย prop firm ชั้นนำ
บทที่ 1: ไขรหัสการสอบ – คู่มือเจาะลึกกฎกติกาและเป้าหมายของการสอบกองทุน
การเข้าใจกฎการสอบกองทุนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการผ่านการทดสอบ กฎเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ “อุปสรรค” แต่เป็นตัววัดความสามารถในการบริหารความเสี่ยงแบบมืออาชีพ
หลายคนมักเข้าใจผิดว่าการสอบกองทุนเป็นการแข่งขันเพื่อ “ทำกำไรให้ได้มากที่สุด” แต่ความจริงแล้ว การสอบนี้เป็นการทดสอบ “ความสม่ำเสมอและการควบคุมความเสี่ยง” มากกว่า
ความแตกต่างระหว่าง Prop Firm กับ Trading Contest:
หัวข้อ
|
Prop Firm Challenge
|
Trading Contest
|
---|
เป้าหมาย
|
ความสม่ำเสมอ
|
กำไรสูงสุด
|
---|
ระยะเวลา
|
30-60 วัน
|
1-7 วัน
|
---|
ความเสี่ยง
|
ต่ำ-ปานกลาง
|
สูงมาก
|
---|
ผลตอบแทน
|
ระยะยาว
|
ระยะสั้น
|
---|
กฎที่ 1: เป้าหมายกำไร (Profit Target) – การทดสอบความสามารถในการ “สร้างผลตอบแทน”
เป้าหมายกำไรเป็นการทดสอบว่าคุณมี “ระบบเทรด” ที่สร้างกำไรได้อย่างสม่ำเสมอหรือไม่ โดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน:
ขั้นตอนที่ 1 – Challenge (การท้าทาย): เป้าหมายกำไร 8-10% ขั้นตอนที่ 2 – Verification (การตรวจสอบ): เป้าหมายกำไร 5%
FTMO ตั้งเป้าหมายกำไรไว้ที่ 8% สำหรับ Challenge และ 5% สำหรับ Verification ในขณะที่ FundedNext อาจตั้งไว้ที่ 8% และ 5% เช่นกัน แต่ The5%ers อาจมีเป้าหมายที่ 6% และ 4%
เคล็ดลับการทำเป้าหมายกำไร:
- ไม่ต้องรีบทำให้ได้ในสัปดาห์แรก
- กระจายการทำกำไรใน 20-30 วัน
- มุ่งเน้นความสม่ำเสมอมากกว่าการ “ปาหนัก”
- ใช้ระบบ “สะสมกำไร” แทนการเสี่ยงสูง
กฎที่ 2: การขาดทุนสูงสุดต่อวัน (Maximum Daily Loss) – กฎ “ป้องกันการระเบิด”
นี่คือกฎที่สำคัญที่สุดในการป้องกันการ “ระเบิดพอร์ต” ในวันเดียว โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 4-5% ของเงินทุนเริ่มต้น
ตัวอย่างการคำนวณ Maximum Daily Loss:
- บัญชี $100,000 USD
- Maximum Daily Loss 5% = $5,000 USD
- หากขาดทุนถึง $5,000 ในวันใดวันหนึ่ง = “ตกรอบ” ทันที
สิ่งที่ต้องระวังคือ การคำนวณนี้อาจใช้ “ยอดคงเหลือเริ่มต้น” หรือ “ยอดคงเหลือของวันก่อนหน้า” ต้องศึกษาให้ชัดเจนกับแต่ละ prop firm
กลยุทธ์การป้องกัน Daily Loss:
- ตั้ง “เส้นตาย” ไว้ที่ 3% แทน 5%
- ใช้ระบบ “หยุดเทรด” อัตโนมัติ
- ไม่เทรดเมื่ออารมณ์ไม่ดี
- มี “แผนการถอน” เมื่อขาดทุนถึง 2%
กฎที่ 3: การขาดทุนสูงสุดโดยรวม (Maximum Overall Loss) – การทดสอบ “ความอดทน”
กฎนี้มี 2 รูปแบบหลัก:
Static Drawdown (ดรอว์ดาวน์คงที่): คำนวณจากเงินทุนเริ่มต้น Trailing Drawdown (ดรอว์ดาวน์ลาก): คำนวณจากจุดสูงสุดของ Equity
ตัวอย่าง Trailing Drawdown:
- เงินทุนเริ่มต้น $100,000
- ทำกำไรได้ $105,000 (จุดสูงสุด)
- Trailing Drawdown 10% = ต้องไม่ขาดทุนเกิน $10,500 จากจุดสูงสุด
- หาก Equity ลงมาที่ $94,500 = ตกรอบ
ความแตกต่างระหว่าง Static และ Trailing:
รูปแบบ
|
การคำนวณ
|
ความยาก
|
ตัวอย่าง Prop Firm
|
---|
Static
|
จากเงินทุนเริ่มต้น
|
ง่ายกว่า
|
FundedNext
|
---|
Trailing
|
จากจุดสูงสุด
|
ยากกว่า
|
FTMO
|
---|
เทคนิคการจัดการ Drawdown:
- ใช้ “ระบบลดขนาดพอซิชัน” เมื่อขาดทุน
- หยุดเทรดชั่วคราวเมื่อ Drawdown มากกว่า 5%
- มี “แผนการกู้คืน” ที่ชัดเจน
- ไม่ใช้ Martingale หรือ “เทรดแก้ตัว”
กฎที่ 4: จำนวนวันเทรดขั้นต่ำ (Minimum Trading Days) – การทดสอบ “ความอดทน”
กฎนี้ป้องกันไม่ให้เทรดเดอร์ผ่านการทดสอบด้วยการ “ปาหนัก” ในการเทรดครั้งเดียว โดยทั่วไปจะกำหนดให้เทรดอย่างน้อย 4-5 วัน (ไม่จำเป็นต้องติดต่อกัน)
FTMO กำหนด 4 วันสำหรับ Challenge และ 4 วันสำหรับ Verification ในขณะที่ FundedNext อาจกำหนด 5 วัน
กลยุทธ์การจัดการ Minimum Trading Days:
- วางแผนการเทรดล่วงหน้า 30 วัน
- เทรดในวันที่ตลาดมี “โอกาสดี”
- ไม่บังคับเทรดในวันที่ตลาดไม่ชัดเจน
- ใช้ “ระบบเทรดตามช่วงเวลา” ที่เหมาะสม
ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเทรด:
- London Session: 15:00-00:00 (เวลาไทย)
- New York Session: 20:00-05:00 (เวลาไทย)
- Asian Session: 01:00-10:00 (เวลาไทย) – ใช้ความระวัง
กฎที่ 5: กฎความสม่ำเสมอ (Consistency Rule) – การทดสอบ “ความเสถียร”
กฎนี้มักถูกมองข้าม แต่เป็นกฎสำคัญที่กรอง “เทรดเดอร์โชคดี” ออกไป โดยทั่วไปจะกำหนดว่ากำไรจากการเทรดในวันใดวันหนึ่งต้องไม่เกิน 20-30% ของกำไรรวม
ตัวอย่าง: หากทำกำไรรวม $8,000 กำไรในวันใดวันหนึ่งต้องไม่เกิน $1,600 (20%)
วิธีการจัดการ Consistency Rule:
- กระจายการทำกำไรในหลายวัน
- ไม่เทรด “ขนาดใหญ่” ในวันเดียว
- ใช้ “ระบบเทรดแบบสม่ำเสมอ”
- หยุดเทรดเมื่อกำไรในวันใดใกล้ขีดจำกัด
กฎที่ 6: กลยุทธ์ต้องห้าม (Prohibited Strategies) – สิ่งที่ “ห้ามทำ”
Prop firm ต่างๆ ห้าม:
- การใช้ EA แบบ Martingale หรือ Grid Trading
- การ Copy Trade จากบุคคลที่สาม
- การเทรดข่าวแบบ Hedging (Bracketing)
- การเปิดบัญชีหลายบัญชีเพื่อเพิ่มโอกาสผ่าน
- การ “ปิด-เปิด” ตำแหน่งก่อนหมดวันเพื่อหลีกเลี่ยง Daily Loss
เหตุผลของการห้าม:
- เพื่อป้องกันการ “เอาเปรียบระบบ”
- ประเมินทักษะการเทรดจริง
- ลดความเสี่ยงของบริษัท
- สร้างสภาพแวดลอมที่ “ยุติธรรม”
ตารางเปรียบเทียบ Prop Firm ยอดนิยม
Prop Firm
|
Profit Target (Phase 1)
|
Profit Target (Phase 2)
|
Max Daily Loss
|
Max Overall Loss
|
ค่าสมัคร ($100K)
|
---|
FTMO
|
10%
|
5%
|
5%
|
10%
|
$540
|
---|
The5%ers
|
8%
|
5%
|
4%
|
6%
|
$495
|
---|
FundedNext
|
8%
|
5%
|
5%
|
8%
|
$499
|
---|
Maven Trading
|
10%
|
5%
|
3%
|
6%
|
$579
|
---|
*ข้อมูลอาจเปลี่ยนแปลงได้ กรุณาตรวจสอบจากเว็บไซต์ของแต่ละบริษัท
บทที่ 2: เส้นทางสู่ชัยชนะ – กลยุทธ์ 3 เสาหลักสำหรับการผ่านการทดสอบกองทุน
การผ่านการสอบกองทุนไม่ใช่เรื่องของ “โชคดี” หรือการเทรดแบบสุ่ม แต่เป็นเรื่องของ “ระบบและวินัย” ที่ต้องสร้างขึ้นมาอย่างเป็นขั้นตอน
เสาหลัก 3 ตัวที่จะกล่าวถึงนี้เป็น “สูตรสำเร็จ” ที่ผู้ผ่านการสอบกองทุนหลายๆ คนใช้ และได้ผลจริงในการรักษาบัญชี funded ในระยะยาว
เสาหลักที่ 1: การควบคุมจิตใจ (จิตวิทยาการเทรด) – วิธีการของ Mark Douglas
จิตวิทยาการเทรดคิดเป็น 80% ของความสำเร็จในการเทรด สาเหตุที่ “นักเทรดเก่ง” ทางเทคนิคแต่ยังขาดทุนอยู่ ส่วนใหญ่มาจากปัญหาทางจิตใจ
Mark Douglas ผู้เขียนหนังสือ “Trading in the Zone” ได้กำหนดหลักการพื้นฐาน 5 ข้อของการเทรด:
- อะไรก็เกิดขึ้นได้ – ยอมรับว่าตลาดไม่สามารถคาดเดาได้ 100%
- คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพื่อทำกำไร
- มีความเป็นไปได้แบบสุ่มระหว่างผลการเทรดแต่ละครั้ง
- Edge คือความได้เปรียบเชิงสถิติ
- ทุกช่วงเวลาในตลาดเป็นเอกลักษณ์เฉพาตัว
ปัญหาทางจิตใจที่พบบ่อยในการสอบกองทุน:
- ความกลัวการขาดทุน (Fear of Loss)
- ความโลภเมื่อกำไร (Greed)
- การ “แก้แค้น” ตลาดหลังขาดทุน (Revenge Trading)
- ความกดดันจากเวลาจำกัด (Time Pressure)
- การเปลี่ยนแปลงระบบบ่อยเกินไป (System Hopping)
การฝึกจิตใจหลังขาดทุน (Post-Loss Mindfulness Exercise):
- หยุดการเทรดทันที – ไม่ “ล้างแค้น”
- หายใจเข้าลึกๆ 3 ครั้ง – ทำให้จิตใจสงบ
- ถามตัวเอง: “การเทรดนี้เป็นไปตามแผนหรือไม่?”
- เขียนบันทึกสิ่งที่เรียนรู้ – ทำ Trading Journal
- กลับมาเทรดเมื่อจิตใจสงบแล้ว – ไม่รีบร้อน
เทคนิคการจัดการอารมณ์ขั้นสูง:
- Visualization – มองเห็นความสำเร็จในใจ
- Affirmation – พูดกับตัวเองเชิงบวก
- Meditation – ฝึกสมาธิ 10 นาทีก่อนเทรด
- Physical Exercise – ออกกำลังกายเพื่อลดความเครียด
เสาหลักที่ 2: สร้างระบบเทรดที่พิสูจน์แล้ว – มาสเตอร์คลาส Divergence
ระบบเทรดที่ดีต้องมีความชัดเจน ทดสอบได้ และทำซ้ำได้ การเทรด Divergence เป็นหนึ่งในเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูงและเหมาะกับการสอบกองทุน
ทำไมต้องเป็น Divergence?
- Win Rate สูงกว่า 60% เมื่อใช้ถูกวิธี
- Risk-to-Reward ได้ดีกว่า 1:2
- ใช้ได้ในทุกไทม์เฟรม
- ไม่ต้องพึ่งพาข่าวสาร
Divergence คืออะไร? Divergence เกิดขึ้นเมื่อราคาและ momentum indicator (เช่น RSI, MACD, Stochastic) เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม
ประเภทของ Divergence:
- Regular Bullish Divergence – ราคาทำ Lower Low แต่ RSI ทำ Higher Low
- สัญญาณ: ราคาอาจ “กลับตัวขึ้น”
- ใช้ในตลาด Downtrend
- Regular Bearish Divergence – ราคาทำ Higher High แต่ RSI ทำ Lower High
- สัญญาณ: ราคาอาจ “กลับตัวลง”
- ใช้ในตลาด Uptrend
- Hidden Bullish Divergence – ราคาทำ Higher Low แต่ RSI ทำ Lower Low
- สัญญาณ: Uptrend อาจ “ต่อเนื่อง”
- ใช้ในตลาด Uptrend
- Hidden Bearish Divergence – ราคาทำ Lower High แต่ RSI ทำ Higher High
- สัญญาณ: Downtrend อาจ “ต่อเนื่อง”
- ใช้ในตลาด Downtrend
Indicator ที่ใช้กับ Divergence:
- RSI (Relative Strength Index) – ใช้ค่า 14 periods
- MACD (Moving Average Convergence Divergence) – ใช้ค่า 12,26,9
- Stochastic Oscillator – ใช้ค่า 14,3,3
Checklist การเทรด Divergence:
- ✅ Structure ชัดเจน (Support/Resistance)
- ✅ Price Action ยืนยัน (Candlestick Pattern)
- ✅ Context เหมาะสม (Trend/Range)
- ✅ Indicator ยืนยัน (RSI, MACD, Stochastic)
- ✅ Volume สนับสนุน (หากมี)
ตัวอย่างการเทรด Divergence:
- เปิด EURUSD ไทม์เฟรม H1
- ตั้ง RSI (14) และ MACD (12,26,9)
- รอให้ราคาทำ Lower Low
- เช็คว่า RSI ทำ Higher Low หรือไม่
- หา Candlestick Pattern ยืนยัน (Hammer, Doji)
- เข้า Buy เมื่อมีการ Break Structure
- ตั้ง Stop Loss ใต้ Low ล่าสุด
- ตั้ง Take Profit ที่ Resistance ถัดไป
เสาหลักที่ 3: การบริหารความเสี่ยงแบบกันกระสุน – คณิตศาสตร์แห่งการอยู่รอด
การบริหารความเสี่ยงคือหัวใจสำคัญของการผ่านการทดสอบ กฎ 1% เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด
ทำไมต้องใช้ กฎ 1%?
- ป้องกันการ “ระเบิดบัญชี”
- ให้โอกาสฟื้นตัวจากการขาดทุน
- ลดความดันทางจิตใจ
- สร้างความมั่นใจในระยะยาว
กฎ 1% และการคำนวณ Position Sizing:
สูตรการคำนวณ:
Position Size = (Account Balance × Risk %) ÷ (Stop Loss × Point Value)
ตัวอย่างการคำนวณ:
- Account Balance: $100,000
- Risk per Trade: 1% = $1,000
- Stop Loss: 50 pips
- Point Value (EURUSD): $10 per pip
- Position Size = $1,000 ÷ (50 × $10) = 2 lots
ตารางการคำนวณ Position Sizing:
Account Size
|
Risk 1%
|
Stop Loss
|
Position Size
|
---|
$10,000
|
$100
|
50 pips
|
0.2 lots
|
---|
$50,000
|
$500
|
50 pips
|
1.0 lots
|
---|
$100,000
|
$1,000
|
50 pips
|
2.0 lots
|
---|
$200,000
|
$2,000
|
50 pips
|
4.0 lots
|
---|
ความสำคัญของ Risk-to-Reward Ratio: การมี R:R อย่างน้อย 1:2 ช่วยให้คุณทำกำไรได้แม้ว่าจะชนะเพียง 40% ของการเทรด
Win Rate
|
Risk:Reward
|
ผลลัพธ์
|
---|
30%
|
1:3
|
กำไร +20%
|
---|
40%
|
1:2
|
กำไร +20%
|
---|
50%
|
1:2
|
กำไร +50%
|
---|
60%
|
1:2
|
กำไร +80%
|
---|
เทคนิคการปรับ Position Size:
- เริ่มต้นด้วย 0.5% ในสัปดาห์แรก
- เพิ่มเป็น 1% เมื่อมั่นใจแล้ว
- ลดเป็น 0.5% เมื่อ Drawdown มากกว่า 3%
- หยุดเทรดเมื่อ Drawdown มากกว่า 5%
บทที่ 3: เครื่องมือของเทรดเดอร์ไทย: แพลตฟอร์ม โบรกเกอร์ และการเริ่มต้น
การเลือกโบรกเกอร์สำหรับฝึกฝนและเทรดจริง
โบรกเกอร์ที่แนะนำสำหรับเทรดเดอร์ไทย:
- Exness – Spread ต่ำ รองรับภาษาไทย
- XM – เซอร์วิสดี มีการศึกษาภาษาไทย
- FP Markets – Execution เร็ว ECN Account
คุณสมบัติสำคัญที่ต้องมี:
- Spread ต่ำและ Execution เร็ว
- แพลตฟอร์ม MT4/MT5 ที่เสถียร
- การสนับสนุนภาษาไทย
- การควบคุมโดยหน่วยงานที่เชื่อถือได้
กระบวนการสมัครสอบที่เข้าใจง่าย
ขั้นตอนการสมัครสอบกองทุน:
- เลือก Prop Firm และขนาดบัญชี
- FTMO: บัญชี $10K – $200K
- FundedNext: บัญชี $6K – $200K
- The5%ers: บัญชี $4K – $100K
- ลงทะเบียนและยืนยันตัวตน (KYC)
- อัพโหลดบัตรประชาชน
- ยืนยันที่อยู่ด้วยใบเรียกเก็บเงิน
- ชำระค่าสอบ
- FTMO $10K Account: ค่าสอบ $155
- ค่าสอบจะได้คืนเมื่อผ่านและได้รับบัญชีจริง
- รับ Login Credentials
- ดาวน์โหลด MT4/MT5
- Login เข้าบัญชีทดสอบ
รายการตรวจสอบก่อนสอบขั้นสุดท้าย
Checklist เตรียมสอบกองทุน:
จิตวิทยา (Psychology)
- ✅ เข้าใจหลักการ 5 ข้อของ Mark Douglas
- ✅ ฝึกการควบคุมอารมณ์หลังขาดทุน
- ✅ ยอมรับว่าการขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด
กลยุทธ์ (Strategy)
- ✅ มีระบบเทรดที่ Backtest แล้ว
- ✅ เขียนแผนการเทรดลงกระดาษ
- ✅ ทดสอบบน Demo Account อย่างน้อย 3 เดือน
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
- ✅ ยึดมั่นในกฎ 1% Rule
- ✅ คำนวณ Position Sizing ได้อย่างถูกต้อง
- ✅ กำหนด R:R อย่างน้อย 1:2
กฎการสอบ (Rules Understanding)
- ✅ จำกฎทุกข้อของ Prop Firm ที่เลือก
- ✅ เข้าใจการคำนวณ Trailing Drawdown
- ✅ รู้กลยุทธ์ที่ห้ามใช้
สรุปการสอบกองทุน forex – การก้าวสู่เทรดเดอร์มืออาชีพที่ได้รับทุน
การเดินทางของ “สอบกองทุน forex” ไม่ใช่เพียงแค่การผ่านการทดสอบ แต่เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้คุณกลายเป็นเทรดเดอร์ที่มีวินัยและการบริหารความเสี่ยงระดับมืออาชีพ
หากคุณเคยประสบกับ “พอร์ตแตก” ในอดีต การเรียนรู้และปฏิบัติตามหลักการที่กล่าวมาในบทความนี้จะช่วยให้คุณเอาชนะความล้มเหลวในอดีตและก้าวสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน
การควบคุมจิตใจ การสร้างระบบเทรดที่พิสูจน์แล้ว และการบริหารความเสี่ยงแบบกันกระสุน คือ 3 เสาหลักที่จะพาคุณไปสู่การเป็น funded trader ที่แท้จริง
จำไว้ว่า กองทุน forex ที่ดีที่สุดคือกองทุนที่เหมาะกับสไตล์การเทรดของคุณ ไม่ใช่กองทุนที่มีชื่อเสียงมากที่สุด การเลือก prop firm ให้เหมาะสมกับตัวเองคือก้าวแรกสู่ความสำเร็จ
สำหรับเทรดเดอร์ไทยที่ต้องการทดสอบฝีมือ การสอบกองทุน forex ที่ไหนดีนั้นขึ้นอยู่กับความพร้อมและเป้าหมายของแต่ละคน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเตรียมตัวให้พร้อมด้วยความรู้และทักษะที่ถูกต้อง
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q1: ค่าสอบ FTMO เท่าไหร่?
A: ค่าสอบ FTMO ประมาณ $155-$1,080 ขึ้นอยู่กับขนาดบัญชี โดยจะได้เงินคืนเมื่อผ่านการทดสอบและได้รับบัญชี Funded
Q2: Trailing Drawdown คืออะไร?
A: Trailing Drawdown คือการคำนวณขาดทุนสูงสุดจากจุดสูงสุดของ Equity แทนที่จะเป็นเงินทุนเริ่มต้น ทำให้ยากกว่า Static Drawdown
Q3: prop firm คืออะไร?
A: Prop firm หรือ Proprietary Trading Firm คือบริษัทที่ให้เงินทุนกับเทรดเดอร์เพื่อนำไปเทรดและแบ่งกำไรกัน โดยเทรดเดอร์ไม่ต้องเสี่ยงเงินทุนของตัวเอง
Q4: สอบกองทุน forex ที่ไหนดี?
A: FTMO, FundedNext, The5%ers เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเทรดเดอร์ไทย แต่ควรเลือกตามสไตล์การเทรดและความพร้อมของตัวเอง
Q5: My Forex Funds alternative Thailand มีอะไรบ้าง?
A: นอกจาก MyForexFunds แล้ว ยังมี FTMO, FundedNext, Funding Pips, The5%ers ที่เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ไทยเช่นกัน