คุณอยากได้กำไรจากตลาด แต่ไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอตลอดทั้งวันเหมือนเดย์เทรด? แล้วก็ไม่ต้องการถือยาวเป็นปีแบบอินเวสเตอร์? นี่แหละคือช่องว่างที่ Swing Trade เติมเต็มได้พอดี
กลยุทธ์นี้เหมาะกับคนทำงานประจำ หรือใครก็ตามที่อยากใช้เวลาแค่ช่วงเย็นหรือวันหยุด วิเคราะห์จังหวะ แล้วตั้งคำสั่งรอรับกำไรจากการเคลื่อนไหวในแนวโน้มหลักของตลาด ไม่ใช่แค่เก็งสั้น แต่จับ “คลื่น” ให้ได้เต็มที่
คู่มือนี้จะพาคุณเข้าใจทุกอย่างตั้งแต่พื้นฐาน วิเคราะห์จังหวะ สร้างระบบ เลือกตลาด ไปจนถึงการรับมือกับข้อเสียและบริหารความเสี่ยงที่ต้องรู้

Swing Trade คืออะไร? ยังไม่เข้าใจให้อ่านตรงนี้
ง่ายๆ ก็คือ “การซื้อที่ลูกคลื่นล่าง และขายที่ลูกคลื่นบน”
นักเทรดที่เน้นสไตล์นี้จะมองหาจังหวะเข้าเมื่อราคา “พักตัว” หรือ “ย่อตัว” ในขาขึ้น แล้วตามเทรนด์ต่อไป หรือในขาลงก็จะเข้าเมื่อราคา “ดีดตัว” แล้วตามขายต่อ
ถือสถานะนานกว่าเดย์เทรด โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วง 2-3 วัน ถึง หลายสัปดาห์ ซึ่งช่วงเวลานี้พอดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการ “จับคลื่นใหญ่ๆ” โดยไม่ต้องเสี่ยงหรือเหนื่อยเกินไป
จุดเด่นคือการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นหลัก ดูกราฟ สังเกตแท่งเทียน และใช้อินดิเคเตอร์ เพื่อคาดเดาทิศทางที่ราคาจะไหลต่อ ไม่เหมือนเทรดเดอร์ถือยาวที่ต้องวิเคราะห์พื้นฐานบริษัท
เป้าหมายคือ “ไม่ต้องถูกทุกครั้ง” แค่เข้าให้ตรงกับคลื่นใหญ่ และปล่อยกำไรวิ่ง แล้วค่อยปิดเมื่อจบคลื่นก็พอ
ควรใช้ Timeframe ไหน?
การซื้อขายแบบ Swing Trade ต้องอาศัยการดูกราฟหลายช่วงเวลา หรือ Multiple Timeframe Analysis เพื่อเห็นภาพให้ครบ
- กราฟรายสัปดาห์ (W1): ใช้วิเคราะห์ทิศทางหลัก ว่าภาพรวมตลาดกำลังขึ้นหรือลง
- กราฟรายวัน (D1): ใช้หาจังหวะเข้าและออกคำสั่งซื้อขายนั้น
- กราฟ 4 ชั่วโมง (H4): ใช้สำหรับหาจังหวะเข้าแม่นยำขึ้น หลังจากตัดสินใจจากกราฟใหญ่แล้ว
การใช้กราฟใหญ่ช่วยตัด noise ของราคา ทำให้ตัดสินใจชัดเจนขึ้น ไม่ต้องมานั่งกังวลกับการผันผวนในช่วงสั้นๆ

Swing, Day, Position Trade ต่างกันยังไง?
หลายท่านสับสนระหว่างสไตล์การเทรด ตารางนี้สรุปให้ชัดเจน
ลักษณะ | Swing Trading | Day Trading | Position Trading |
---|
ระยะเวลาถือครอง | 2–3 วัน ถึงหลายสัปดาห์ | ไม่กี่วินาที ถึงไม่กี่ชั่วโมง | หลายเดือน ถึงหลายปี |
เวลาที่ต้องใช้ | ปานกลาง วิเคราะห์วันละครั้ง | สูงมาก ต้องเฝ้าตลอด | น้อย ดูปีละครั้งก็พอ |
การวิเคราะห์หลัก | เทคนิคอินดิเคเตอร์ | เทคนิค (ในกรอบสั้น) | พื้นฐานบริษัท |
ความกดดัน | ปานกลาง | สูงมาก | ต่ำ |
กำไรต่อครั้ง | สูง | น้อย | สูงมาก |
ถ้าคุณทำงานประจำและเทรดเป็นช่วงเย็น ตัวเลือกดีที่สุดคือ Swing Trade ไม่ต้องลุ้นทุกวินาที แต่ก็ไม่ต้องรอปีเหมือนอินเวสเตอร์
ข้อดี-ข้อเสีย ที่ต้องรู้ก่อนเริ่ม
ข้อดี: ทำไมใครๆ ก็ชอบ
Swing Trade ถูกออกแบบมาสำหรับคนที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้เวลาน้อย
- ใช้เวลานั่งหน้าจอไม่นาน: วิเคราะห์ตอนเย็น ตั้งคำสั่ง แล้วปิดจอไปทำอย่างอื่นได้
- จับกำไรได้มากกว่าเดย์เทรด: เพราะเข้าในช่วงเคลื่อนไหวหลัก กำไรต่อครั้งมักสูง
- หลีกเลี่ยงความผันผวนรบกวน: เลี่ยง Noise จากราคาในระยะสั้น ตัดสินใจชัดเจนขึ้น
- เครียดน้อยลง: ไม่ต้องกดดันตัวเองตัดสินใจเร็วในวินาที
เหมาะกับคนที่มีวินัย วางแผนก่อนเทรด และไม่หวังกำไรทุกวัน
ข้อเสีย: ถ้าไม่ระวัง อาจขาดทุนหนัก
- ต้องเผชิญความเสี่ยงข้ามคืน (Overnight Risk): ข่าวด่วน ผลประกอบการ หรือเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดตอนตลาดปิด อาจทำให้ราคาเปิดวันรุ่งขึ้นกระโดดข้ามจุด stop ของคุณ
- พลาดแนวโน้มใหญ่: บางคนเข้าจังหวะดีแต่รีบตัดกำไรเร็ว แล้วเสียดายทีหลัง เพราะราคาไปต่อเป็นเดือน
- ต้องใช้ความอดทนสูง: อย่าคิดว่าจะเจอสัญญาณทุกสัปดาห์ ช่วงขี้เกียจของตลาด คุณต้องนั่งเฉยๆ รอ
- ต้องใช้เงินค้ำประกันสูง: เพราะ stop loss ค่อนข้างกว้าง (1-5%) คุณต้องมีเงินในพอร์ตพอสมควรเพื่อรองรับความเสี่ยง

5 กลยุทธ์ Swing Trade ที่ใช้ได้จริง
มีหลายวิธี แต่กลยุทธ์ที่ดีคือวิธีที่เข้าใจ ติดตามได้ และเห็นสัญญาณชัดเจน
1. เทรดตามเทรนด์ (Trend Following)
หลักการง่ายๆ: “แนวโน้มของตลาดคือเพื่อน”
ใช้เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average) เช่น EMA 20 หรือ EMA 50 ว่าราคาอยู่เหนือหรือใต้เส้น
หากราคาอยู่เหนือเส้น = อยู่ในเทรนด์ขึ้น = เข้าซื้อเมื่อราคาพักตัวและตั้ง stop ด้านล่าง
ตัวอย่าง: เมื่อ EMA 20 ตัดขึ้นเหนือ EMA 50 (Golden Cross) ถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นเทรนด์ใหม่
2. ใช้แนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance)
มองหาระดับราคาที่เคย “เด้ง” หรือ “ถอย” บ่อยๆ เหล่านี้คือ Support และ Resistance
ในขาขึ้น: รอราคา “ย่อเข้าแนวรับ” เช่น ระดับเดิมที่เคยรีบูต แล้วหาสัญญาณซื้อ เช่น แท่งเทียนเขียวใหญ่
ในขาลง: รอราคา “เด้งเข้าหาแนวต้าน” แล้วหาสัญญาณขาย เช่น แท่งเทียนแดงใหญ่
3. Buy the Dip / Sell the Rip
กลยุทธ์นี้ใช้ได้ดีในตลาดที่มีเทรนด์ชัดเจน
ในขาขึ้น: ไม่ต้องซื้อตอนราคาขึ้นพรวด ให้ “รอขาลงเล็กน้อย” (Dip) แล้วค่อยซื้อตาม
ในขาลง: ไม่ต้องขายตอนราคาพุ่ง ให้ “รอเด้งตัว” (Rip) แล้วค่อยขาย จับช่วงที่แรงต้านกลับมา
การใช้ Support และ MA เป็นจุดอ้างอิงเวลาซื้อ Dip หรือขาย Rip จะช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถูก
4. Momentum Breakout
ตลาดส่วนใหญ่จะเคลื่อนที่แบบ “เดินข้าง” (Sideways) ก่อนจะพุ่ง
เมื่อราคาทะลุแนวต้านบน หรือทะลุแนวรับล่าง พร้อมกับ Volume เพิ่ม = สัญญาณแรง
เทรดเดอร์แบบ Momentum รอจุดนี้เพื่อเข้าตาม แล้วตามเทรนด์นั้นต่อ แต่ควรรอให้ทะลุ “จริงๆ” ไม่ใช่แค่แตะแล้วกลับ
5. ใช้ RSI + MACD ยืนยัน
การใช้เครื่องมือเพิ่มเพื่อยืนยันสัญญาณ จะช่วยลดสัญญาณหลอก
- RSI: ถ้าต่ำกว่า 30 แปลว่า “ขายมากเกิน” (Oversold) มีโอกาสเด้ง ถ้าสูงกว่า 70 แปลว่า “ซื้อมากเกิน” (Overbought) มีโอกาสย่อ แต่ในเทรนด์เข้มแข็ง RSI อาจอยู่ในโซน Overbought นาน
- MACD: ดูจุดที่เส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal มีความหมายว่า Momentum เริ่มกลับตัว เป็นสัญญาณเข้า
ข้อมูลอ้างอิงจาก Investopedia ระบุว่า การใช้ “หลายเครื่องมือร่วมกัน” ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณ

สร้างระบบ Swing Trading ของตัวเอง
ถ้าไม่มีระบบก็เหมือนขับรถไม่มีเข็มทิศ ต่อให้สกิลดีแค่ไหน ก็อาจหลงทาง
1. เลือกตลาดและสินทรัพย์
เริ่มจากถามตัวเองว่า “ฉันถนัดอะไร?”
- ถ้าชอบหุ้นไทย: เลือกหุ้นที่มี liquidity สูง เช่น PTT, AOT, KBANK
- ตลาด FOREX: คู่สกุลเงิน EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY ที่มีความผันผวนพอ
- คริปโต: BTC/USDT, ETH/USDT เป็นต้น
อย่าเข้าทุกตลาดในคราวเดียว โฟกัสที่ 1-2 อย่างก่อนให้เชี่ยว
2. กำหนดสัญญาณเข้า-ออก
ไม่ต้องดู “ทุกอย่าง” ให้ระบุเงื่อนไขที่ชัดเจนว่า “เมื่อเกิดอะไร ฉันจะเข้า”
ตัวอย่าง:
- หาก: ราคาปิดรายวัน > EMA 50 และ RSI > 50
- ให้: เข้าซื้อตอนเปิดตลาดวันถัดไป
- Stop Loss: ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเข้าซื้อ 3%
- Take Profit: ที่แนวต้านถัดไป หรือเมื่อได้กำไร 2 เท่าของ Risk (Risk/Reward 1:2)
การมีระบบจะช่วยให้คุณไม่ “คิดเองเออเอง” ทุกครั้งที่เห็นราคา
3. วางกฎบริหารความเสี่ยง
แม้ระบบจะแม่น แต่ก็ต้องมี “กาวกันล้ม”
- กฎ 2%: เสี่ยงไม่เกิน 2% ของพอร์ตต่อคำสั่งหนึ่ง
- วันที่เสียติดกัน 3 ครั้ง: หยุดเทรด 1 วัน
- ห้ามขยายตำแหน่งตอนเสีย: อย่าเอาความรู้สึกโกรธหรือเสียดายมาเทรด
แหล่งข้อมูลจาก Charles Schwab และ IG เน้นว่า การวางแผนคือหัวใจของความยั่งยืน
4. จดบันทึกและทดสอบย้อนหลัง (Journaling & Backtesting)
เทรดแล้วไม่ต้องรีบนับกำไร ให้กลับไปดูว่า “ระบบเราเสียเพราะจังหวะผิดหรือว่าไม่ได้ทำตามแผน?”
กลยุทธ์ที่ดีต้องผ่านการทดสอบ
- Backtest ย้อนหลัง 1-2 ปีในตลาดที่คุณเลือก
- เขียน Journal ทุกครั้ง จดเหตุผลที่เข้า จิตวิทยาตอนนั้น ผลลัพธ์
ทำไปสัก 20-30 คำสั่ง ก็จะเห็นรูปแบบ ว่าระบบเราเหมาะกับตลาดแบบไหน
บริหารความเสี่ยงคือกุญแจ
ตั้ง Stop-Loss ทุกครั้ง
ไม่มีข้อยกเว้น
Stop-Loss คือ “ประกันชีวิต” ของการเทรด ช่วยให้คุณอยู่ในเกมได้นาน โดยเฉพาะเวลาเจอข่าวร้าย
ถ้าไม่ตั้งนี่เท่ากับคุณ “ไม่ได้เทรด” แต่ “วางเงินให้พนัน”
กำหนดขนาดคำสั่ง (Position Sizing)
อย่าเข้าเท่ากันหมดทุกครั้ง
ตัวอย่าง: พอร์ต 100,000 บาท = ความเสี่ยง 2% = 2,000 บาทต่อคำสั่ง
หากตั้ง stop ห่าง 4% ของราคา แสดงว่าคุณซื้อได้แค่ 50,000 บาท (เพราะ 4% ของ 50,000 = 2,000)
อย่าเข้าเต็มพอร์ตเพราะเสี่ยงล้างบัญชี
เป้าหมาย Risk/Reward ต้องไม่น้อยกว่า 1:2
หมายความว่า คุณเสี่ยง 1,000 ต้องหวังกำไร 2,000 คิดเป็นอัตรา 1:2
ถ้าคุณชนะแค่ 40% แต่ได้กำไรต่อครั้งมากกว่าขาดทุน พอร์ตยังเติบโตได้ในระยะยาว
คนมักผิดตรงนี้ คือได้นิดก็ตัด แต่ขาดทุนหนักก็ไม่ยอมออก ทำให้พอร์ตไหลลง
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ต้องมีเงินเริ่มต้นเท่าไหร่?
ไม่ตายตัว แต่ควรใช้ “กฎ 2%” เป็นเกณฑ์
ตลาดหุ้นไทย: ขั้นต่ำ 50,000 ถึง 100,000 บาท เพื่อจัดการความเสี่ยงได้ดี
ตลาด Forex/คริปโต: เริ่ม 10,000 บาทก็ได้ แต่ต้องระวังเลเวอเรจ
FOREX กับ ตลาดหุ้น อะไรเหมาะกับ Swing Trade มากกว่า?
แต่ละตลาดมีข้อดีต่างกัน
FOREX: เปิด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ เล่นเวลาไหนก็ได้ มีเลเวอเรจช่วย
หุ้นไทย: มีปัจจัยพื้นฐานช่วย เทรนด์อาจยั่งยืนกว่า แต่เปิดแค่ชั่วโมงเช้าถึงบ่าย
ลองเลือกตามความเข้าใจ ถ้ารู้จักบริษัทใน SET ก็เริ่มที่หุ้น
คนทำงานประจำเทรดได้ไหม?
ได้แน่นอน และถือว่า “เหมาะที่สุด”
คุณสามารถวิเคราะห์ตอนเย็น หลังเลิกงาน ตั้งคำสั่งรอรับ แล้วตอนเช้าเข้ามาดูยอดก็พอ
ใช้อินดิเคเตอร์ตัวไหนดีที่สุด?
ไม่มีตัวเดียวที่เทพที่สุด
แต่ที่นิยมและใช้ได้ผลคือ MA, RSI, MACD รวมกัน
ลองใช้ดูว่าอันไหนเข้ากับสไตล์คุณ แล้วยึดเอาไว้ อย่าเปลี่ยนบ่อย
ถือข้ามคืนมีความเสี่ยงไหม?
มี
คือ Gap Risk คือราคาเปิดขึ้นหรือลงมากกว่าจุด stop ของคุณโดยไม่ทันตั้งตัว เช่น จากเหตุการณ์นอกตลาดตอนกลางคืน
วิธีลดความเสี่ยง: อย่าเข้าช่วงมีข่าวใหญ่ หรือใช้ leverage น้อย
จะรู้ว่าควรตัดขาดทุน หรือเก็บต่อ?
ตัดเมื่อ “ระบบผิด”
เช่น เข้าซื้อที่แนวรับ แต่ราคาทะลุลงมาต่ำกว่าแนวรับ = ระบบทหาระดับผิด ควรออกทันที
อย่ารอ เพราะสัญญาณบอกว่า “เราผิด” แล้ว
ต้องดูข่าวไหม?
ต้อง
ถึงแม้จะเน้นเทคนิค แต่ข่าวสำคัญอย่าง “อัตราดอกเบี้ย” “CPI” “ผลประกอบการ” สามารถเปลี่ยนทิศทางเทรนด์ได้ทันที
ควรเช็กปฏิทินเศรษฐกิজก่อนเข้าเทรดทุกครั้ง
Timeframe เหมาะสมที่สุดคืออะไร?
ใช้หลายกรอบเวลา
ดู W1 ว่าภาพใหญ่เป็นยังไง → ดู D1 หาจังหวะเข้า → ใช้ H4 หาจุดเข้าลงลึก
การวิเคราะห์หลาย Timeframe จะเพิ่มความมั่นใจและลดการเข้าผิดจังหวะ