Scalping Trading คืออะไร? เข้าใจใน 2 นาที
ลองนึกภาพว่าคุณเป็นพ่อค้าเล็กๆ ที่เดินจับจังหวะซื้อของมาแล้วขายต่อทันทีในราคาที่สูงขึ้นไม่กี่บาท ไม่ได้กักตุนของรอราคาพุ่ง แต่ทำบ่อยครั้งทั้งวัน ได้กำไรนิดหน่อยต่อครั้ง แต่รวมกันแล้วกลายเป็นผลตอบแทนที่น่าพอใจ นี่คือแก่นแท้ของ “Scalping Trading”
Scalping คือกลยุทธ์การเข้าออกตำแหน่งการเทรดในระยะเวลาไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที โดยเป้าหมายคือการเก็บกำไรจากความผันผวนเล็กน้อยของราคา แทนที่จะรอการเคลื่อนไหวแบบก้าวกระโดด นักเทรดแบบนี้หรือ “Scalper” มักทำการซื้อขายซ้ำๆ หลายสิบหรือหลายร้อยครั้งต่อวัน แม้กำไรต่อครั้งจะดูน้อย แต่เมื่อสะสมอย่างต่อเนื่อง จึงสามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในภาพรวมได้ นี่จึงเป็นรูปแบบการเทรดความถี่สูงที่ต้องพึ่งพาวินัย ความเร็วในการตัดสินใจ และเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินการ

Scalping vs Day Trading: ต่างกันอย่างไรแม้ดูคล้ายกัน
หลายคนมักสับสนระหว่าง Scalping และ Day Trading เพราะทั้งสองรูปแบบล้วนปิดการซื้อขายภายในวันเดียว ไม่ถือสถานะข้ามคืน แต่หากมองลึกลงไปจะพบว่าแนวคิดและการปฏิบัติมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
มิติการเปรียบเทียบ | Scalping Trading | Day Trading |
---|
ระยะเวลาถือสถานะ (Holding Period) | ไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที | ไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมง |
ความถี่ในการเทรด (Trade Frequency) | สูงมาก (หลายสิบถึงหลายร้อยครั้งต่อวัน) | ปานกลาง (1 ถึง 10+ ครั้งต่อวัน) |
เป้าหมายกำไรต่อครั้ง (Profit Target per Trade) | เพียงหนึ่งถึงไม่กี่ pip หรือ tick | มากกว่า Scalping โดยมีระยะทำกำไรที่กว้างขึ้น |
กราฟราคาที่ใช้ (Timeframe) | M1, M5 (1 นาที, 5 นาที) | M15, M30, H1 (15 นาทีขึ้นไป) |
ระดับความเครียดและสมาธิ | ต้องจดจ่อตลอดเวลา ตัดสินใจเร็วทันที | ยังใช้เวลากลั่นกรองข้อมูลและวิเคราะห์ได้บ้าง |
ผลกระทบจากค่า Spread/Commission | รุนแรง เพราะความถี่ในการเทรดสูง | ต้นทุนสะสมน้อยกว่าเมื่อเทียบกับจำนวนครั้ง |
ข้อดีและข้อเสียของการเทรดแบบ Scalping
การเทรดแบบ Scalping เหมือนกับการขับรถด้วยความเร็วบนเส้นทางที่แคบแต่คดเคี้ยว—มีทั้งโอกาสและอันตรายที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกวินาที การเข้าใจทั้งด้านบวกและด้านลบจะช่วยให้คุณประเมินตนเองได้ดียิ่งขึ้นว่าเหมาะกับสไตล์นี้หรือไม่
ข้อดี
- จับโอกาสได้ตลอดวัน: เนื่องจากไม่จำเป็นต้องรอราคาขยับครั้งใหญ่ นักเทรดจึงสามารถหาจุดเข้าทำกำไรได้ถึงแม้ในสภาพตลาดที่ซื้อขายในกรอบแคบ (Sideways)
- ลดความเสี่ยงจากการถือสถานะข้ามคืน: ทุกการซื้อขายปิดภายในวัน เลยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากข่าวร้ายหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นนอกเวลาทำการ ที่อาจทำให้ราคา “กระโดด Gap” ตอนเปิดตลาดเช้าวันถัดไป
- ผลตอบแทนทบต้นแบบเร่งด่วน: คุณไม่ต้องรอให้กำไรสะสมเป็นปี แต่หากคุณปิดทำกำไรอย่างต่อเนื่องในแต่ละครั้ง และนำเงินที่ได้ไปเป็นต้นทุนเพิ่ม ผลลัพธ์สะสมก็อาจเพิ่มพูนเร็วอย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่อใช้กลยุทธ์บริหารเงินอย่างมีระบบ
ข้อเสีย
- ความกดดันสูงมาก: การต้องจับจ้องจอและตัดสินใจในเวลาไม่กี่วินาทีทุกๆ ไม่กี่นาที ทำให้เกิดความเครียดสะสม ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงาน ความสัมพันธ์ และสุขภาพจิตในระยะยาว
- ต้นทุนค่าธรรมเนียมสะสมรวดเร็ว: ทุกครั้งที่เปิด-ปิดสถานะคุณต้องจ่ายค่าสเปรดหรือค่าคอมมิชชั่น เมื่อทำหลายสิบครั้งต่อวัน ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจกลายเป็นแรงกดดันใหญ่ที่กินกำไรไปก่อนที่จะได้ผล ดังที่ Babypips ชี้แจงไว้ว่า “ต้นทุนต่อครั้งที่ดูเล็กน้อย กลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อผลกำไรสุทธิสำหรับนัก Scalping”
- ต้องอาศัยวินัยและเทคโนโลยีระดับสูง: หากคุณเป็นคนที่ไม่ชอบวางแผนหรือชอบตัดสินใจตามอารมณ์ การเทรดแบบนี้อาจไม่เหมาะ ต้องอาศัยระบบการตัดขาดทุน (Stop-loss) ที่เข้มงวด อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และแพลตฟอร์มที่ตอบสนองได้ทันใจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตลาดเคลื่อนไหวเร็ว

4 กลยุทธ์ Scalping ยอดนิยมที่มือใหม่ควรเรียนรู้
การเริ่มต้น Scalping ไม่จำเป็นต้องพึ่งความซับซ้อน กลยุทธ์ที่ใช้กันทั่วไปมักพึ่งพาเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือ 4 แนวทางที่เหมาะสำหรับมือใหม่
1. ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)
หลักการ: เลือกใช้เส้น MA 2 เส้น เช่น EMA 5 และ EMA 20 เพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงทิศทางแนวโน้มระยะสั้น
สัญญาณเข้าซื้อ (Long): เมื่อ EMA 5 ตัดขึ้นเหนือ EMA 20
สัญญาณเข้าขาย (Short): เมื่อ EMA 5 ตัดต่ำกว่า EMA 20
การตั้ง Stop-loss: วางไว้ที่จุดต่ำสุดหรือสูงสุดของแท่งเทียนล่าสุดก่อนที่จะเกิดสัญญาณไขว้ ช่วยจำกัดความเสี่ยงหากเกิดสัญญาณหลอก
2. Bollinger Bands
หลักการ: เครื่องมือนี้แสดงระดับความผันผวนของราคาด้วยเส้น 3 เส้น ซึ่งราคามัก “ยืดกลับ” เมื่อแตะถึงขอบด้านบนหรือด้านล่าง
สัญญาณเข้าซื้อ (Long): เมื่อราคาแตะขอบล่าง แล้วเกิดแท่งเทียนสีเขียวที่แสดงการดีดตัวกลับ
สัญญาณเข้าขาย (Short): เมื่อราคาแตะขอบบน แล้วเปลี่ยนทิศทางลงด้วยแท่งเทียนสีแดง
การตั้ง Stop-loss: วางไว้ภายนอก Bollinger Band เล็กน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตัดออกจากความผันผวนเฉลี่ยในขณะที่แนวโน้มยังไปต่อ
3. เครื่องมือ Relative Strength Index (RSI)
หลักการ: RSI ใช้วัดแรงซื้อ-แรงขาย โดยค่าต่ำกว่า 30 แสดงถึงภาวะขายมากเกินไป ส่วนค่าสูงกว่า 70 บ่งชี้ว่าซื้อมากเกินไป
สัญญาณเข้าซื้อ (Long): ราคาอยู่ในแนวโน้มขาลงและ RSI ต่ำเกิน 30 จากนั้นเริ่มวกกลับขึ้น
สัญญาณเข้าขาย (Short): ราคาขึ้นแรงและ RSI เกิน 70 แล้วกลับตัวลง
การตั้ง Stop-loss: วางไว้ที่จุดสุดท้ายก่อนที่ RSI จะเข้าเขตสุดขั้ว เพื่อจับการกลับตัวอย่างแม่นยำ
4. Price Action
หลักการ: ใช้การอ่านรูปแบบของแท่งเทียนและการเคลื่อนไหวของราคาโดยตรง โดยไม่พึ่งเครื่องมือช่วย ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการความเร็วและลดความยุ่งเหยิงในกราฟ
สัญญาณเข้าซื้อ (Long): พบแท่งเทียนกลับตัว เช่น Pin Bar หรือ Bullish Engulfing ที่บริเวณแนวรับ
สัญญาณเข้าขาย (Short): พบแท่งเทียนกลับตัวขาลงที่แนวต้าน เช่น แท่งเทียนหางยาวหรือ Bearish Engulfing
การตั้ง Stop-loss: วางไว้ต่ำกว่าหรือสูงกว่าจุดกลับตัวนั้นเล็กน้อย เพื่อรอให้มั่นใจว่าสิ่งนั้นไม่ใช่แค่ความผันผวน

ใครเหมาะกับการเป็น Scalper? สำรวจตัวคุณ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับการเทรดแบบเร็วและถี่ขนาดนี้ นี่คือคุณสมบัติพื้นฐานที่ช่วยบ่งชี้ว่าสไตล์นี้อาจใช่ทางของคุณ
- มีวินัยสูง: คุณทำได้ตามกฎของตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องการตัดขาดทุน แม้อารมณ์จะบอกให้รั้งอยู่
- ตัดสินใจเร็วและเด็ดขาด: ไม่ลังเล ไม่มองย้อนหลัง รู้ว่าเมื่อไหร่ควรหนี หรือเมื่อไหร่ควรเข้า
- ควบคุมความเครียดได้ดี: ทนต่อแรงกดดันได้ ไม่ปล่อยให้ความกลัวหรือความโลภเข้าครอบงำการตัดสินใจ
- มีเวลาว่างเฉพาะ: ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2–3 ชั่วโมงต่อวัน จับตามช่วงเวลาตลาดที่ผันผวน เช่น ตอนเปิดหรือก่อนปิด
การบริหารความเสี่ยงคือหัวใจสำคัญของ Scalping
ความจริงที่นักเทรดหลายคนมองข้ามคือ การอยู่รอดในตลาดไม่ได้วัดกันที่ “การคาดการณ์ถูกต้อง” แต่ขึ้นอยู่กับการจัดการความเสี่ยงในวันที่คาดผิดมากกว่า เว็บไซต์ทางการอย่าง Investor.gov ได้ชี้ว่า เทรดเดอร์มือใหม่จำนวนมากมักล้มเหลวเพราะโฟกัสแค่จังหวะเข้า แต่ไม่ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง ดังนั้นการวางระบบจัดการความเสี่ยงจึงเป็นพื้นฐานที่จะช่วยให้คุณอยู่ในตลาดได้ยาวนาน

1. กำหนดขนาดการเทรดอย่างเหมาะสม (Position Sizing)
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่อันตรายที่สุดของนักเทรดมือใหม่คือการใช้ขนาดการเทรดใหญ่เกินไป กฎที่ถูกต้องคือการเสี่ยงไม่เกิน 1–2% ของทุนต่อครั้ง ตัวอย่างเช่น หากคุณมีทุน 100,000 บาท อย่าให้ความเสี่ยงการขาดทุนครั้งใดครั้งหนึ่งเกิน 2,000 บาท การบริหารแบบนี้ช่วยให้คุณสามารถผ่านวันที่ “ผิดพลาดหลายครั้ง” ได้โดยไม่ล้างพอร์ต
2. ตั้งเพดานขาดทุนรายวัน
ก่อนเริ่มเทรดแต่ละวัน ให้กำหนดว่า “วันนี้ฉันยอมเสียได้เท่าไหร่” เช่น 5% ของทุน หากเสียถึงเกณฑ์นั้น จงหยุดทันที การไม่ทำตามกฎนี้อาจนำไปสู่ “การไล่ทุน” หรือ Revenge Trading ที่ส่งผลให้ขาดทุนหนักกว่าเดิมหลายเท่า
3. ยึดมั่นกับการตั้ง Stop-loss
สำหรับนัก Scalping การตั้ง Stop-loss ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นเงื่อนไขจำเป็นของการอยู่รอด คุณต้องตั้งจุดตัดขาดทุนทันทีที่เข้าตำแหน่ง และห้าม “ย้ายจุด stop” เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน เพราะนั่นคือกับดักอันตรายที่ทำให้ขาดทุนพุ่งจากน้อยเป็นมากในชั่วพริบตา

คำแนะนำเฉพาะสำหรับการ Scalping ในตลาดไทย
แม้หลักการจะเหมือนกันทั่วโลก แต่การนำไปใช้ในตลาดไทยอย่าง SET หรือ TFEX ต้องคำนึงถึงบริบทเฉพาะด้าน
- สภาพคล่อง (Liquidity) สำคัญที่สุด: Scalping ต้องการตลาดที่มียอดซื้อขายสูงเพื่อให้เข้า-ออกได้เร็ว ในตลาดหุ้นไทย แนะนำให้โฟกัสหุ้นในดัชนี SET50 หรือ SET100 ส่วนใน TFEX ควรเลือก SET50 Index Futures ซึ่งมีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับการทำ Scalping คุณสามารถตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์และปริมาณการซื้อขายได้จากเว็บไซต์ Thailand Futures Exchange (TFEX)
- ช่วงเวลาทองในการเทรด: ตลาดไทยมีช่วง “คึกคักสูงสุด” สองช่วงหลักคือ 10:00–11:00 น. (เปิดตลาด) และ 16:00–16:30 น. (ก่อนปิด) ช่วงเหล่านี้มักมีความผันผวนและปริมาณซื้อขายหนาแน่นที่สุด ช่วยเพิ่มโอกาสงดงามสำหรับนัก Scalper
- เลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะกับสไตล์: ต้นทุนการเทรดต้องต่ำ การเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าคอมมิชชั่นต่ำ อัตราส่งคำสั่งเร็ว และ Slippage ต่ำ คือความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การใช้แพลตฟอร์มที่ค้างหรือล่าช้า เพียงไม่กี่วินาทีอาจทำให้สูญเสียโอกาสหรือกำไรไปได้
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Scalping Trading ต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นเท่าไหร่?
ไม่มีข้อกำหนดตายตัว แต่โดยทั่วไปยิ่งทุนมาก ยิ่งทำให้กำไรเล็กๆ มีนัยสำคัญมากขึ้น เหตุผลสำคัญคือ “ความหมายของ 1% ความเสี่ยง” หากทุนน้อย การจำกัดความเสี่ยง 1% อาจหมายถึงสคริปต์ที่เปิดไม่ได้หรือมีเลเวอเรจสูงเกินไป จึงแนะนำให้มีทุนขั้นต่ำ 50,000–100,000 บาท พร้อมการจัดการความเสี่ยงอย่างเข้มงวด
Scalping ทำกำไรได้จริงหรือไม่?
ทำได้จริง แต่ไม่ง่าย ต้องอาศัยทั้งทักษะการอ่านตลาด วินัยในการบริหารเงิน ความสามารถในการตัดสินใจเร็ว และการจัดการอารมณ์ สิ่งสำคัญคือ “การอยู่รอดก่อน ทำกำไรทีหลัง” สถิติบ่งชี้ว่า 90% ของนักเทรดระยะสั้นล้มเหลวภายในปีแรก เพราะขาดระบบการบริหารความเสี่ยง
กรอบเวลากี่นาทีดีที่สุดสำหรับ Scalping?
โดยทั่วไปใช้กรอบ M1 และ M5 ในการตัดสินใจ แต่ควรดูกราฟ M15 ควบคู่เพื่อเข้าใจแนวโน้มใหญ่และหลีกเลี่ยงการเทรดสวนกระแสหลัก
โบรกเกอร์แบบไหนเหมาะกับ Scalping?
ควรเลือกโบรกเกอร์ที่: (1) มีค่าสเปรด/คอมมิชชั่นต่ำ (2) ส่งคำสั่งเร็ว (3) แพลตฟอร์มเสถียร (4) ไม่ห้ามการเทรดความถี่สูง บางโบรกเกอร์อาจมองว่า Scalping เป็นพฤติกรรมเสี่ยง ควรตรวจสอบเงื่อนไขการใช้บริการก่อนเริ่ม
Scalping ในตลาดคริปโตและ Forex ต่างกันอย่างไร?
หลักการเหมือนกัน แต่ความแตกต่างคือ ตลาด Forex ให้สภาพคล่องสูงและเปิด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ส่วนคริปโตเปิดตลอด 24/7 และมีความผันผวนรุนแรงกว่ามาก ซึ่งให้ทั้งโอกาสและอันตรายในระดับที่สูงขึ้น
จำเป็นต้องใช้เครื่องมือวิเคราะห์ (Indicator) หรือไม่?
ไม่จำเป็น แต่สำหรับมือใหม่ การใช้ Indicator เช่น moving average หรือ RSI ช่วยเพิ่มระบบการตัดสินใจให้ชัดเจนและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ทีมือเก๋าก็อาจใช้เพียงกราฟเปล่ากับ Price Action เพื่อเพิ่มความเร็วและลดสิ่งรบกวน
จะควบคุมอารมณ์และความเครียดได้อย่างไร?
เริ่มจากมีแผนเทรดที่ชัดเจน ตั้งเพดานขาดทุนรายวัน หยุดพักเมื่อรู้สึกเหนื่อย และฝึกสติ เช่น การนั่งสมาธิหรือออกกำลังกายเป็นประจำ การดูกราฟโดยไม่มีแผนคือหนทางสู่การสูญเสียทั้งเงินและสุขภาพจิต
ค่าคอมมิชชั่นและสเปรดส่งผลต่อ Scalping แค่ไหน?
รุนแรงมาก เพราะยิ่งเทรดบ่อย ต้นทุนสะสมก็ยิ่งสูง หากต้นทุนต่อครั้งมากกว่ากำไรที่หวัง จะทำให้ระบบเทรด “ขาดทุนก่อนเริ่ม” ตั้งแต่ครั้งแรก ดังนั้นการเลือกโบรกเกอร์ที่มีต้นทุนต่ำจึงเป็นขั้นตอนแรกที่ขาดไม่ได้