สำหรับผู้เล่นตลาดการเงิน โดยเฉพาะนักเทรดที่เคลื่อนไหวในตลาดฟอเร็กซ์ (Forex) ต่างรู้ดีว่ามีเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นทุกเดือนและส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อเส้นทางของราคาในตลาดทั่วโลก — นั่นคือ Non-Farm Payrolls หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า NFP เหตุการณ์นี้มักเกิดขึ้นในวันศุกร์แรกของเดือน และเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากตัวเลขถูกเปิดเผย ตลาดก็พร้อมจะสั่นสะเทือนไปทั่ว
แต่คุณเคยสงสัยไหมว่า NFP คืออะไรกันแน่? ทำไมตัวเลขการจ้างงานของแค่ประเทศเดียวถึงมีอิทธิพลได้ไกลไปถึงตลาดเอเชีย ยุโรป หรือแม้แต่ลาตินอเมริกา? บทความนี้จะพาคุณลงลึกทุกมิติของรายงาน Non-Farm Payrolls ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน บทบาทในเศรษฐกิจโลก กลไกการทำงานของตลาด และวิธีอ่านข้อมูลเชิงลึกเพื่อใช้ตัดสินใจลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์มือใหม่หรือนักลงทุนที่ต้องการเข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพื่อวิเคราะห์ทิศทางสินทรัพย์หลักอย่างดอลลาร์ ทองคำ หรือหุ้น ก็จะได้รับคำตอบอย่างครบถ้วนในคู่มือนี้

NFP คืออะไร? ความเข้าใจพื้นฐานที่ทุกนักลงทุนต้องรู้
Non-Farm Payrolls หรือ NFP คือ รายงานที่วัดจำนวนการจ้างงานรายเดือนในอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่ภาคเกษตรกรรมของสหรัฐอเมริกา ตัวเลขชุดนี้จัดทำขึ้นโดย สำนักงานสถิติแรงงานแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Bureau of Labor Statistics) และเปิดเผยในทุกวันศุกร์แรกของเดือน เวลาประมาณ 19:30 น. ตามเวลาในประเทศไทย หรือ 08:30 น. ตามเวลาโซนตะวันออกของสหรัฐฯ
ตัวเลขนี้ระบุว่า ในเดือนก่อนหน้า มีการจ้างงานเพิ่มหรือลดลงกี่ล้านตำแหน่ง โดยไม่นับรวมแรงงานที่ทำงานในภาคเกษตร เนื่องจากงานลักษณะนี้มีความแปรผันตามฤดูกาล เช่น ช่วงฤดูเพาะปลูกหรือฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งอาจบิดเบือนภาพรวมของเศรษฐกิจได้
นอกจากภาคเกษตรแล้ว ตัวเลข NFP ยังไม่รวมการจ้างงานจากกลุ่มต่อไปนี้ เพื่อความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น:
| อุตสาหกรรมที่ถูกนับใน NFP | อาชีพที่ไม่ถูกนับใน NFP |
|---|
| การผลิต (Manufacturing) | คนงานฟาร์มและเกษตรกร |
| การก่อสร้าง (Construction) | ผู้ประกอบการอิสระ |
| ภาคบริการ (Service Sector) | ทหารในระบบราชการ |
| การค้าปลีก (Retail Trade) | พนักงานในบ้านส่วนตัว (เช่น แม่บ้าน พี่เลี้ยง) |
| การเงินและการประกันภัย | องค์กรไม่แสวงหากำไร (Non-profit organizations) |
| การศึกษาและสุขภาพ | เจ้าหน้าที่รัฐบางตำแหน่ง |
ด้วยเหตุนี้ NFP จึงสะท้อนภาพรวมตลาดแรงงานหลักของสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยครอบคลุมมากกว่า 80% ของแรงงานที่ไม่ใช่ภาครัฐและภาคเกษตร ทำให้ถือเป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่ “สดใหม่” และทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่ง

เพราะเหตุใด NFP จึงมีน้ำหนักต่อเศรษฐกิจโลก?
นักลงทุนทั่วโลกจับตา NFP ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นข้อมูลของสหรัฐฯ แต่เพราะนี่คือดัชนีที่สะท้อน “ชีพจร” ของเศรษฐกิจมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีผลต่อทุกสินทรัพย์และการตัดสินใจทางการเงินทั่วแผนที่ ปัจจัยหลักที่ทำให้ NFP สำคัญ มีดังนี้:
1. NFP คือชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ตรงที่สุด
การจ้างงานคือหัวใจหลักของเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เมื่อคนมีงานทำ เขาก็มีรายได้ ซึ่งนำไปสู่การบริโภค การลงทุน และการหมุนเวียนของเงินในระบบ
หากตัวเลข NFP ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นบ่งบอกว่า ภาคเอกชนกำลังขยายตัว ความต้องการแรงงานเพิ่ม และนิวเคลียสของเศรษฐกิจกำลังทำงานได้ดี ในทางกลับกัน หาก NFP ติดลบหรือเติบโตช้าลง อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว หรือกำลังก้าวเข้าใกล้ภาวะถดถอย
ด้วยเหตุนี้ NFP จึงถูกเปรียบเสมือน “ผลตรวจร่างกายประจำเดือน” ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์จะใช้ชุดตัวเลขนี้เพื่อวิเคราะห์ว่าประเทศกำลังไปในทิศทางใด
2. ข้อมูล NFP คือเข็มทิศของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
หนึ่งในภารกิจหลักของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve หรือที่เรียกสั้นว่า เฟด) คือการรักษา “การจ้างงานสูงสุด” ควบคู่กับการรักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเหมาะสม
ดังนั้น ทุกครั้งที่เฟดพิจารณาจะปรับอัตราดอกเบี้ย พวกเขามองไปที่รายงาน NFP ก่อนเสมอ รวมถึงตัวเลขอื่น ๆ ที่มาพร้อมกัน เช่น อัตราการว่างงาน และรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง เพื่อประเมินว่าตลาดแรงงาน “ร้อนแรง” หรือ “เย็นลง” แค่ไหน
ตัวอย่างเช่น หาก NFP สูงเกินคาด พร้อมรายได้เฉลี่ยที่เพิ่มเร็ว อาจบ่งบอกถึงแรงกดดันเงินเฟ้อ ทำให้เฟดพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพ ในทางกลับกัน หาก NFP ต่ำ อาจเป็นสัญญาณว่าต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
3. สหรัฐฯ หนึ่งเดียวแต่ส่งต่อผลทั่วโลก
เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) คือสกุลเงินสากลหลักที่ใช้ในระบบการค้าโลก การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จึงไม่เพียงกระทบแค่ในประเทศ แต่ยังส่งผลต่อ “คลื่นลูกที่สอง” ที่เรียกว่า Ripple Effect
เมื่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจาก NFP ที่ดี บริษัทข้ามชาติที่รับเงินเป็นดอลลาร์จะได้รับกำไรเพิ่ม แต่ประเทศที่ต้องใช้หนี้เป็นดอลลาร์จะมีภาระเพิ่มขึ้น เช่น เดียวกัน ตลาดหุ้นเกิดใหม่หลายแห่งจะวิ่งตาม “เสียงของเฟด” มากกว่าเศรษฐกิจในประเทศตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ แม้คุณจะเทรดคู่เงิน EUR/JPY หรือทองคำในกรุงเทพฯ การติดตาม NFP ก็ยังมีความสำคัญอยู่ดี

NFP ส่งผลอย่างไรต่อสินทรัพย์การเงินต่าง ๆ?
เมื่อตัวเลข NFP ออก แรงซื้อ-ขายในตลาดจะเพิ่มขึ้นทันที เพราะผู้เล่นทุกฝั่งต้องปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับแนวโน้มใหม่ที่อาจเกิดขึ้น นี่คือภาพรวมของผลกระทบต่อสินทรัพย์หลัก
ต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD)
นี่คือสินทรัพย์ที่ตอบสนอง NFP อย่างตรงไปตรงมา การเคลื่อนไหวของดอลลาร์ขึ้นอยู่กับ “ความไม่คาดคิด” ระหว่างตัวเลขที่ประกาศจริง กับที่ตลาดคาดการณ์ไว้
- NFP ดีกว่าคาด: หากเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นเกินคาด (เช่น ตลาดคาด 200,000 แต่ออกมา 300,000) จะถูกตีความว่าเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ส่งผลให้โอกาสที่เฟดจะ “ขึ้นดอกเบี้ย” เพิ่ม ทำให้เงินดอลลาร์มีความน่าสนใจ ส่งผลให้ ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
- NFP ต่ำกว่าคาด: หากตัวเลขออกมาอ่อนแอ (เช่น ติดลบหรือต่ำมาก) จะทำให้ตลาดมองว่าเศรษฐกิจอาจเริ่มอ่อนตัว จากเดิมที่คิดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อ ก็เปลี่ยนมาคิดว่าอาจชะลอหรือถึงขั้นลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ ดอลลาร์อ่อนค่า
ต่อราคาทองคำ (XAU/USD)
ทองคำมีความสัมพันธ์ผกผันกับดอลลาร์โดยธรรมชาติ เนื่องจากสินค้าเกษตรและสินทรัพย์ส่วนใหญ่ในตลาดโลหะถูกราคาเป็นสกุลเงินดอลลาร์ ดังนั้นเมื่อดอลลาร์แข็ง ความน่าสนใจของการซื้อทองคำจะลดลงในมุมมองของผู้ลงทุนต่างชาติ
- NFP ดี → ดอลลาร์แข็ง → ทองปรับตัวลดลง
- NFP แย่ → ดอลลาร์อ่อน → ทองมีแนวโน้มพุ่งขึ้น
ทั้งนี้ ทองคำยังถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หาก NFP แย่จนอาจส่งสัญญาณถดถอย แรงซื้อทองก็อาจมากขึ้นจากมุมมอง “ความเสี่ยง” ไม่ใช่แค่จากมุมดอลลาร์
ต่อตลาดหุ้น (Stock Market)
ความสัมพันธ์ในตลาดหุ้นซับซ้อนกว่า และไม่ใช่ “ดี-แย่” เดี่ยว ๆ แต่ขึ้นอยู่กับ “บริบท” ของเศรษฐกิจ
- ในช่วงฟื้นตัวจากรีเซสชัน: NFP ที่ดีมักส่งผลบวก เพราะบ่งบอกว่าเศรษฐกิจกลับมาเติบโต คนมีงานทำ ใช้จ่ายมากขึ้น บริษัทมีรายได้ ผลประกอบการดี ซึ่งจะหนุนดัชนี S&P 500 หรือ Dow Jones
- ในช่วงเงินเฟ้อสูง: หาก NFP ออกมายอดเยี่ยมเกินไปในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อยังร้อน ตลาดอาจกลับกังวลว่าเฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย “มากเกินไป” ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมของบริษัท และกดดันมูลค่าของหุ้น โดยเฉพาะหุ้น growth ที่ต้องพึ่งพากำไรในอนาคต ทำให้ตลาดหุ้นอาจ ปรับตัวลง ทั้งที่ข่าวแรงงานดี ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Buy the rumor, sell the fact”

คู่มืออ่านรายงาน NFP ฉบับละเอียดสำหรับมือใหม่
นักลงทุนมือใหม่มักจดจ่อแค่ตัวเลขนี้: “NFP เพิ่มกี่หมื่น?”
แต่ความจริงคือ ตัวเลขที่ตลาดตอบสนองไม่ใช่ “ตัวเลขจริง” เพียงอย่างเดียว แต่คือ “ความแตกต่างจากที่คาด” เรียกว่า Surprise Factor หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า “ความเซอร์ไพรส์”
ตัวอย่าง: หากตลาดคาด NFP จะเพิ่ม 150,000 ตำแหน่ง แต่ออกมาเพียง 120,000 แม้ตัวเลขจะเป็นบวก แต่ตลาดก็ตีความว่า “แย่กว่าคาด” แล้วตอบสนองด้วยการขายน้ำมัน เงินดอลลาร์ และซื้อทอง
อย่ามองแค่ตัวเลขชุดเดียว: ต้องดูทุกชิ้นส่วน
ในรายงาน NFP มีข้อมูลสำคัญร่วมกัน 3 ชุด:
- NFP (Non-Farm Payrolls) – จำนวนตำแหน่งงานที่เพิ่มหรือลดนอกภาคเกษตร
- อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) – สัดส่วนของผู้ที่ว่างงานแต่ยังอยู่ในแรงงาน (กำลังหางาน) ยิ่งต่ำยิ่งดี (แต่ต่ำมากเกินไปอาจหมายถึงแรงงานขาดแคลน)
- รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง (Average Hourly Earnings) – การเพิ่มขึ้นของค่าแรงต่อชั่วโมงต่อเดือน ใช้ดูแรงกดดันเงินเฟ้อ เพราะเงินเดือนที่พุ่งอาจนำไปสู่ภาวะ “แรงงาน-สินค้า”
เช่น หาก NFP สูง แต่รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มต่ำ — อาจบ่งบอกว่าเศรษฐกิจเติบโต แต่ไม่ได้กดดันเงินเฟ้อ — ตลาดอาจไม่ตอบสนองรุนแรง
ต้องเทียบทุกครั้ง: จริง vs. คาด
ก่อน NFP เปิดเผย นักวิเคราะห์จากธนาคารใหญ่ (เช่น Goldman Sachs, Morgan Stanley) จะออกตัวเลขคาดการณ์ของตัวเอง ซึ่งรวมเป็น “Consensus” หรือตัวเลขคาดการณ์ร่วม
ดังนั้น ตัวเลขที่คุณต้องมองคือ:
- ตัวเลขที่คาด (Consensus): 200,000
- ตัวเลขที่ออกมา: 250,000 → +50,000 หรือ “สูงกว่าคาด 50,000” → ส่งสัญญาณ “ดอลลาร์-ขาขึ้น”
แหล่งข้อมูลเชื่อถือได้ต้องเป็นทางการ
ควรติดตามตัวเลขต้นทางจาก หรือใช้ปฏิทินเศรษฐกิจจากผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถืออย่าง Bloomberg, Reuters หรือ Investing.com เพื่อให้ได้ตัวเลขที่แม่นยำที่สุด
หลีกเลี่ยงแหล่งข้อมูลที่อ้างอิงช้า เพราะในตลาด NFP ช่วงเวลาไม่กี่วินาทีก็แปรเป็นกำไรหรือขาดทุนได้ทันที

สิ่งที่ควรระวังหากคุณคิดจะเทรดช่วง NFP
ช่วงเวลาประกาศ NFP คือเวทีที่เต็มไปด้วยโอกาสและอันตราย ราคามักพุ่งหรือดิ่งร่วงกว่า 100 pips ภายใน 5 นาที ทำให้เกิด “ข่าวดีกลายเป็นร้าย” ได้ง่ายมาก ดังนั้น แม้คุณอยากลองเสี่ยงก็ควรทำความเข้าใจกับความเสี่ยงเหล่านี้ก่อน:
- ความผันผวนสูงสุดของปี: เทรดเดอร์มือใหม่หลายรายขาดทุนเพราะไม่เข้าใจว่าราคาอาจวิ่งสวนทางกับ “ตรรกะ” ที่คิดไว้ บางครั้งแม้ NFP ดี แต่ตลาดดิ่ง เพราะรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงอ่อน ทำให้เฟดไม่ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย
- ค่าสเปรด (Spread) ถ่างกว้าง: ช่วงเปิดตัว NFP โบรกเกอร์จำนวนมากจะเพิ่มสเปรดจากปกติ (เช่น จาก 1 pip เป็น 10–20 pips) เพื่อป้องกันความเสี่ยงของตนเอง นั่นหมายถึงต้นทุนการเทรดที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
- อย่าเทรดด้วยอารมณ์: อย่ารีบกดซื้อหรือขายทันทีที่ตัวเลขออก ควรตั้งสติ รอให้ตลาดเคลื่อนไหวผ่าน “ปฏิกิริยาตอบสนองเฉียบพลัน” แล้วดูทิศทางหลัง 5-10 นาที
- ปฏิกิริยาแรกอาจไม่ใช่ทิศทางจริง: ผู้เชี่ยวชาญจาก Investopedia เตือนว่า มักมี “false break” หรือการทะลุระดับที่ไม่ยั่งยืนในช่วง 2 นาทีแรก แล้วกลับตัวทันที ควรใช้ข้อมูลครบ ทั้ง Unemployment Rate และ Average Earnings ในการตัดสินใจ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ตัวเลข NFP ประกาศเมื่อไหร่ กี่โมง?
NFP ประกาศทุกวันศุกร์แรกของเดือน เวลาประมาณ 19:30 น. ตามเวลาประเทศไทย แต่ควรตรวจสอบปฏิทินเศรษฐกิจเสมอ เพราะอาจมีการปรับเวลาในช่วง daylight saving ของสหรัฐฯ
เราสามารถดูตัวเลข NFP ได้จากที่ไหน?
แหล่งข้อมูลหลักคือเว็บไซต์ทางการของ U.S. Bureau of Labor Statistics นอกจากนี้ ผู้ให้บริการข้อมูลต่าง ๆ เช่น Investing.com, ForexFactory หรือ Bloomberg ก็มีการรายงานแบบเรียลไทม์
NFP สูงกว่าคาดหมายถึงผลดีหรือไม่ดี?
โดยทั่วไปถือว่าเป็นข่าวดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่า แต่ในช่วงที่เงินเฟ้อสูง การเติบโตของ NFP มากเกินไปอาจทำให้ตลาดกังวลว่าเฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ซึ่งอาจกระทบต่อราคาหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยง
NFP ส่งผลต่อราคาทองคำอย่างไร?
NFP ส่งผลต่อทองคำผ่านทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ เนื่องจากทองคำซื้อขายในหน่วยดอลลาร์โดยตรง ดังนั้น เมื่อ NFP ออกมาดี ดอลลาร์แข็ง ราคาทองมักปรับตัวลง และในทางกลับกัน หากรายงานแรงงานอ่อนแอ ทองคำมักได้รับแรงซื้อ
มือใหม่ควรเทรดช่วงเปิดตัว NFP หรือไม่?
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ขอแนะนำให้ หลีกเลี่ยงการเทรดโดยตรงในช่วง 5 นาทีแรกหลังประกาศ ความผันผวนสูงมาก หากยังไม่มีประสบการณ์เพียงพอ ให้เริ่มจากการศึกษาด้วยการดูกราฟย้อนหลัง หรือตั้งคำสั่ง Stop-Loss อย่างรัดกุมทุกครั้งหากต้องเข้าเทรด
นอกจากตัวเลขการจ้างงาน ควรดูอะไรในรายงาน NFP อีกบ้าง?
นอกจากตัวเลขการจ้างงาน ควรดูอะไรในรายงาน NFP อีกบ้าง?
ควรจับตาทั้งอัตราการว่างงาน และ รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง อย่างใกล้ชิด เพราะข้อมูลเหล่านี้ให้ภาพรวมว่าตลาดแรงงาน “แข็งแกร่งจริง” หรือ “จ้างงานได้มาก แต่จ่ายต่ำ” การรวมทั้งสามชุดตัวเลขช่วยให้การวิเคราะห์มีความลึกและแม่นยำยิ่งขึ้น
ทำไม NFP ถึงไม่นับรวมภาคเกษตร?
เพราะการจ้างงานในภาคเกษตรมีความผันผวนต่อฤดูกาลอย่างมาก เช่น ในฤดูเก็บเกี่ยวอาจจ้างงานเพิ่ม แต่พอหมดฤดูกาลก็ปล่อยออก ซึ่งจะทำให้ข้อมูลไม่มั่นคง การตัดภาคส่วนนี้ออกไปจึงช่วยให้ดัชนีสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจหลักอย่างอุตสาหกรรมและบริการได้ชัดเจนขึ้น