ในตลาด Forex ที่เต็มไปด้วยความผันผวนและสถานการณ์ฉับพลัน การมีกลยุทธ์จัดการความเสี่ยงจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งในเครื่องมือที่เทรดเดอร์มืออาชีพมักใช้เพื่อป้องกันพอร์ตคือ Hedging Forex ทั้งนี้ การรู้ว่า “ตลาด Forex เปิดกี่โมงวันจันทร์? อัปเดตเวลาไทยล่าสุดปี 2025” ก็มีความสำคัญไม่น้อย เพราะช่วยให้คุณวางแผนเปิดปิดออเดอร์และใช้กลยุทธ์ Hedging ได้ตรงจังหวะมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการลดความเสี่ยงและรักษากำไรในช่วงเวลาที่ตลาดมีความเคลื่อนไหวสูง

เกราะป้องกันพอร์ตในวันที่ตลาดผันผวน
แต่สำหรับมือใหม่ คำนี้อาจฟังดูซับซ้อน หรือเข้าใจผิดว่าเป็นวิธีทำกำไร ทั้งที่จริงแล้ว Hedging ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อทำกำไร แต่เพื่อ “ปกป้อง” กำไรหรือ “จำกัด” ความเสียหาย หากคุณต้องการพัฒนาทักษะจากเทรดเดอร์ทั่วไปไปสู่ระดับมืออาชีพ การเรียนรู้เรื่อง สอบกองทุน Forex และแนวทางสู่การเป็น Funded Trader จะช่วยให้คุณเข้าใจการบริหารความเสี่ยงเชิงลึกและวางแผนการเทรดได้อย่างมีระบบมากขึ้น
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจ Hedging Forex คือ อะไรอย่างลึกซึ้ง พร้อมเปรียบเทียบกับกลยุทธ์อื่น เช่น Stop Loss และวิธีใช้งานอย่างเหมาะสม รวมถึงข้อดีข้อเสียที่ต้องคำนึงถึง เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเป็นส่วนหนึ่งของ การจัดการความเสี่ยง ได้อย่างชาญฉลาด ไม่ใช่เพียงทำตามโดยไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ
Hedging Forex คืออะไร? อธิบายให้เห็นภาพ
หากพูดง่ายๆ Hedging คือการ “ประกันความเสี่ยง” สำหรับพอร์ตการเทรดของคุณ
ในทางการเงิน คำนี้หมายถึงการเปิดสถานะ “สวนทาง” กับตำแหน่งที่คุณมีอยู่ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ตัวอย่างเช่น:
คุณเปิดสถานะ Buy EUR/USD ไว้ เพราะเชื่อว่าค่าเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้น
แต่ทันใดนั้น มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญที่อาจทำให้เกิดการพลิกตัวของตลาด
แทนที่จะปิดออเดอร์เดิม คุณอาจเลือกเปิดสถานะ Sell EUR/USD ขนาดเท่ากันในเวลาเดียวกัน
ผลลัพธ์คือ ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง กำไรหรือขาดทุนของคุณจะถูกล็อคเอาไว้ในระดับหนึ่ง
กล่าวง่ายๆ คือ การทำ Hedging ไม่ได้ช่วยให้คุณ “รวยเร็ว” แต่ช่วยให้คุณ “อยู่รอด” ในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง และซื้อเวลาให้คุณได้ตัดสินใจอย่างใจเย็น

ทำไมต้องใช้กลยุทธ์ Hedging? 4 สถานการณ์สำคัญ
ไม่ใช่ทุกสถานการณ์ที่ควรใช้ Hedging ต่อไปนี้คือเหตุผลหลักที่เทรดเดอร์เลือกใช้
1. ช่วงประกาศข่าวสำคัญ (High-Impact News Events)
ข่าวเศรษฐกิจ เช่น ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐ (Non-farm Payrolls), เลือกตั้ง, หรือวิกฤตการณ์ทางการเมือง มักทำให้ตลาดสั่นคลอนอย่างรุนแรง การเปิดออเดอร์ Hedging ช่วยลดความเสี่ยงจาก Slippage หรือ การขาดทุนจำนวนมากในช่วงเวลาไม่กี่นาที
2. ต้องการ “ล็อค” ผลขาดทุนชั่วคราว
เมื่อออเดอร์คุณเริ่มติดลบ แต่คุณยังเชื่อมั่นในทิศทางเดิม Hedging ช่วยหยุด “เลือดออก” โดยไม่ต้องปิดออเดอร์ทิ้ง ซึ่งอาจถูกกลับตัวทันทีหลังจากคุณออก
3. ต้องการปกป้องกำไร (Lock in Profits)
หากคุณมีออเดอร์ที่ได้กำไรแล้ว แต่กังวลว่าอาจมีการย่อตัวชั่วคราวในระยะสั้น การ Hedging ช่วยล็อคกำไรบางส่วนไว้ก่อน โดยไม่ต้องปิดออเดอร์ทั้งหมด
4. ลดแรงกดดันทางจิตใจ
การเห็นขาดทุนเพิ่มเรื่อยๆ อาจทำให้เทรดเดอร์ตื่นตระหนกและตัดสินใจผิดพลาด Hedging ช่วยให้คุณรู้สึก “ปลอดภัย” และมีสมาธิวิเคราะห์ตลาดต่อไปอย่างมีเหตุผล

3 กลยุทธ์ Hedging ที่นักเทรดใช้ในโลกจริง
1. Direct Hedging (การป้องกันโดยตรง)
วิธีที่เข้าใจง่ายที่สุด คือ เปิดออเดอร์ตรงข้ามใน คู่เงินเดียวกัน และ ขนาดเท่ากัน
ตัวอย่าง:
เปิด Buy EUR/USD 1 Lot ที่ราคา 1.0800
เมื่อราคาลดลงถึง 1.0750 มีการเปิด Sell EUR/USD 1 Lot
ผลลัพธ์: ขาดทุน 50 pips ถูกล็อคไว้ ไม่ว่าราคาจะไปไกลแค่ไหน ผลรวมของสองออเดอร์ก็ยังขาดทุนเพียงเท่านี้
วิธีนี้นิยมในช่วงข่าวหรือตลาดไร้ทิศทางชัดเจน แต่ควรใส่ใจเรื่องค่า Swap เพราะคุณอาจต้องจ่ายดอกเบี้ยทั้งฝั่งซื้อและขายหากถือข้ามคืน
2. Hedging ด้วยความสัมพันธ์ของคู่เงิน (Currency Correlation)
กลยุทธ์ขั้นสูงอีกแบบคือการใช้คู่เงินที่มี “ความสัมพันธ์สวนทาง” หรือ Negative Correlation เพื่อป้องกันความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น EUR/USD กับ USD/CHF หรือ AUD/USD กับ USD/CAD
นักลงทุนสามารถใช้เครื่องมือ Correlation Tool ของ OANDA เพื่อตรวจสอบค่าความสัมพันธ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
ตัวอย่างการใช้งาน:
หากคุณเปิด Buy EUR/USD และกังวลว่ายูโรอาจอ่อนค่า คุณอาจเปิด Buy USD/CHF เพิ่มเพื่อ Hedging เพราะถ้า EUR อ่อน → USD มักจะแข็งค่า → CHF จะอ่อนเมื่อเทียบกับ USD ผลคือ หาก EUR/USD ขาดทุน กำไรจาก USD/CHF จะช่วยชดเชยบางส่วน
ข้อดี: ลดความเสี่ยงจากข่าวเฉพาะประเทศ
ข้อเสีย: ค่า Correlation อาจเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด จึงต้องศึกษาให้เข้าใจและติดตามอย่างใกล้ชิด
3. Hedging ด้วยอนุพันธ์ (Options)
กลยุทธ์ที่ซับซ้อน เหมาะกับนักลงทุนสถาบัน แต่มือใหม่ก็ควรเข้าใจหลักการ
การซื้อ FX Option ประเภท Put (ขาย) หรือ Call (ซื้อ) เป็นการ “ซื้อสิทธิ์” เพื่อใช้ป้องกันความเสี่ยงในอนาคต
ตัวอย่าง:
คุณถือสถานะ Long คู่เงิน GBP/USD และกังวลว่าตลาดจะล่ม
คุณจึงซื้อ Put Option ที่มี Strike Price อยู่เหนือราคาปัจจุบัน เช่น 1.2800
หากตลาดทรุดลงเหลือ 1.2600
คุณสามารถใช้สิทธิ์ขายที่ 1.2800 ได้ ช่วยลดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากออเดอร์ซื้อต้นฉบับ
ข้อดี: จำกัดความเสี่ยงเฉพาะทิศทางที่กังวล
ข้อเสีย: ต้องจ่ายค่า Premium (ค่าซื้อ Option) ซึ่งถือเป็นต้นทุนถาวร
สรุปแล้ว การใช้ Options สำหรับ Hedging อาจไม่เหมาะกับทุกคน แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนมี “แผนสำรอง” ในตลาดที่ผันผวน

ข้อดีและข้อเสียของ Hedging: ควรใช้เมื่อไหร่?
แม้ Hedging จะดูเหมือน “เครื่องมือวิเศษ” แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องเข้าใจ
| ด้าน | ข้อดี | ข้อเสีย |
|---|
| การจัดการความเสี่ยง | ควบคุมระดับขาดทุนได้ เหมาะกับตลาดผันผวน | ไม่ได้กำจัดความเสี่ยง เพียง “ระงับ” ไว้ชั่วคราว |
| ต้นทุน | ไม่จำเป็นต้องปิดออเดอร์เร็ว รักษากำไรที่อาจกลับมาได้ | เพิ่มต้นทุน: จ่ายค่า Spreads 2 รอบ ค่า Swap ข้ามคืน และอาจจ่าย Commission เพิ่ม |
| ความยืดหยุ่น | มีเวลาวิเคราะห์ตลาดใหม่ โดยไม่ต้องด่วนตัดสินใจ | อาจทำให้ลังเล และอยู่ในสถานะที่ซับซ้อนเกินไป โดยเฉพาะกับผู้เริ่มต้น |
| ความเหมาะสม | ใช้ได้ดีในช่วงเวลามีความไม่แน่นอนสูง เช่น ก่อนข่าว | ไม่เหมาะกับตลาดแนวโน้มชัดเจน และบาง โบรกเกอร์ อาจห้ามใช้กลยุทธ์ Hedging |

Hedging vs. Stop Loss: ใช้เมื่อไหร่ดี?
คำถามหนึ่งที่เทรดเดอร์มักตั้งคือ “อันไหนดีกว่ากัน?”
คำตอบคือ: ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะต่างกันโดยสิ้นเชิง
Stop Loss
- กลไก: สั่งปิดออเดอร์อัตโนมัติเมื่อราคาถึงระดับที่กำหนด
- เป้าหมาย: ตัดขาดทุนออกจากระบบ หลังจากทิศทางผิดคาด
- ต้นทุน: ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
- เหมาะกับ: ตลาดที่มีเทรนด์ชัดเจน หรือกลยุทธ์ Breakout
Hedging
- กลไก: เปิดสถานะใหม่เพื่อชดเชยผลขาดทุน ออเดอร์เดิมยังอยู่
- เป้าหมาย: พักการขาดทุนไว้ชั่วคราว และรอจังหวะกลับเข้ามา
- ต้นทุน: มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม (Spread, Swap) และต้องจัดการ 2 ตำแหน่ง
- เหมาะกับ: ตลาดไร้ทิศทาง หรือช่วงที่มีข่าวใหญ่ใกล้เกิด
ดังที่ Babypips ชี้ไว้ การใช้ Stop Loss ควรเป็นรากฐานก่อน เมื่อคุณเชี่ยวชาญแล้ว จึงค่อยพิจารณา Hedging
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Hedging Forex (FAQ)
Hedging คืออะไร?
Hedging หรือการป้องกันความเสี่ยง คือการเปิดสถานะซื้อหรือขายที่สวนทางกับตำแหน่งที่คุณถืออยู่ เพื่อลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่พึงประสงค์ เสมือนเป็นการทำประกันพอร์ต
กลยุทธ์ Hedging Forex ที่นิยมมีอะไรบ้าง?
มี 3 วิธีหลัก ได้แก่: 1) Direct Hedging เปิดออเดอร์ตรงข้ามในคู่เงินเดียวกัน 2) Correlation Hedging ใช้คู่เงินที่มีความสัมพันธ์สวนทาง และ 3) Hedging ด้วย Options ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์
การทำ Hedging มีต้นทุนอะไรบ้าง?
ต้นทุนหลักคือค่า Spread จากการเปิดสถานะเพิ่ม และค่า Swap (ดอกเบี้ย) หากถือข้ามคืน รวมถึงค่าคอมมิชชั่นที่โบรกเกอร์อาจเรียกเก็บ
Hedging กับ Stop Loss ต่างกันอย่างไร?
Stop Loss จะปิดสถานะโดยอัตโนมัติเมื่อถึงจุดที่กำหนด เพื่อตัดขาดทุนทันที ส่วน Hedging คือการเปิดสถานะใหม่เพื่อล็อคการขาดทุนไว้ โดยไม่ปิดออเดอร์เดิม ทำให้ยืดหยุ่นกว่า แต่มีต้นทุนสูงกว่า
การ Hedging เหมาะกับนักเทรดประเภทไหน?
เหมาะกับเทรดเดอร์ระดับกลางถึงสูงที่มีประสบการณ์ เข้าใจโครงสร้างตลาด และต้องการใช้ในช่วงตลาดผันผวน เช่น ก่อนข่าวใหญ่ เพื่อซื้อเวลาและลดแรงกดดันทางจิตใจ