คุณเคยรู้สึกกังวลใจเมื่อต้องถือออเดอร์ค้างคืนก่อนที่จะมีการประกาศข่าวสำคัญเช่น Non-Farm Payrolls (NFP) หรือไม่? หรือเคยเจอสถานการณ์ที่ตลาดเคลื่อนไหวผิดทางจากที่วิเคราะห์ไว้แล้วไม่รู้จะทำอย่างไร?
Hedging forex คือ เทคนิคการบริหารความเสี่ยงที่เทรดเดอร์มืออาชีพและสถาบันการเงินใหญ่ๆ ใช้กันอย่างแพร่หลาย ไม่ใช่กลยุทธ์การทำกำไร แต่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่จะช่วยรักษาเงินทุนของคุณในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจ hedging forex คือ อะไรอย่างละเอียด พร้อมทั้งกลยุทธ์หลักที่ใช้ได้จริง ค่าใช้จ่ายที่แท้จริง กฎข้อบังคับของโบรกเกอร์ที่คุณต้องรู้ รวมถึงตัวอย่างการใช้งานจริงสำหรับเทรดเดอร์ไทย
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย: Hedging คือการบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่กลยุทธ์ทำกำไร
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุดคือ การคิดว่า hedging เป็นกลยุทธ์การทำกำไร ซึ่งขัดกับหลักการพื้นฐานของเทคนิคนี้โดยสิ้นเชิง
Hedging มีจุดประสงค์หลักเพื่อลดหรือขจัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ไม่ใช่เพื่อเพิ่มกำไร ลองคิดดูเหมือนการซื้อประกันรถยนต์ เราจ่ายเบี้ยประกัน (ซึ่งก็คือต้นทุนของการ hedging) เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ
การทำ hedging ในตลาด Forex ก็เป็นแนวคิดเดียวกัน เทรดเดอร์ยอมจ่ายต้นทุนเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่คาดคิด
สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ:
- การบริหารความเสี่ยง เป็นจุดประสงค์หลัก
- มีต้นทุนที่ต้องจ่ายเสมอ
- ไม่ใช่วิธีการทำกำไร
อ่านเกี่ยวกับ Hedging เพิ่มเติมได้ที่นี่ Hedging Definition
3 กลยุทธ์หลักในการทำ Hedging Forex
กลยุทธ์ hedging ในตลาด Forex มีหลายแบบ แต่เราจะมาดูกัน 3 วิธีหลักที่เทรดเดอร์ไทยสามารถนำไปใช้ได้จริง แต่ละวิธีจะมีจุดเด่น จุดด้อย และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน
1. การ Hedging แบบตรง (Direct Hedging): เปิดออเดอร์ทิศทางตรงกันข้ามในคู่เงินเดียวกัน
Direct Hedging คือการถือออเดอร์ Long และ Short ในคู่เงินเดียวกันพร้อมกัน ด้วยขนาดเท่ากัน เทคนิคนี้จะช่วยลดความเสี่ยงลงเป็นศูนย์ชั่วคราว
วิธีการทำงาน:
- ถือออเดอร์ EUR/USD Long 1 lot
- เปิดออเดอร์ EUR/USD Short 1 lot เพิ่มเติม
- ผลลัพธ์: ความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาเป็นศูนย์
ข้อดี:
- ง่ายต่อการเข้าใจและใช้งาน
- ป้องกันความเสี่ยงได้ 100% (Perfect Hedge)
- ช่วย “หยุดเวลา” ออเดอร์ในช่วงที่ไม่แน่ใจ
ข้อเสีย:
- ไม่สามารถทำกำไรได้ขณะที่ hedge
- ต้องจ่ายค่า spread และค่า swap สองเท่า
- โบรกเกอร์บางรายไม่อนุญาตเนื่องจากกฎ FIFO
ตัวอย่างการใช้งาน: สมมุติคุณถือออเดอร์ EUR/USD Long ไว้ก่อนการประกาศอัตราดอกเบี้ยของ ECB คุณสามารถเปิดออเดอร์ Short ขนาดเท่ากันเพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนชั่วคราว
2. การ Hedging ด้วยคู่เงินที่มีความสัมพันธ์กัน (Correlation Hedging)
Correlation Hedging ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างคู่เงินต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยง โดยใช้คู่เงินที่มี correlation สูงหรือมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม
วิธีการทำงาน:
- หาคู่เงินที่มีความสัมพันธ์สูง เช่น EUR/USD และ GBP/USD (correlation บวก)
- หรือคู่เงินที่เคลื่อนไหวตรงกันข้าม เช่น EUR/USD และ USD/CHF (correlation ลบ)
ข้อดี:
- ยืดหยุ่นกว่า Direct Hedging
- โบรกเกอร์ทุกรายอนุญาต
- สามารถปรับกลยุทธ์ได้หลากหลาย
ข้อเสีย:
- ไม่ใช่ Perfect Hedge เนื่องจากความสัมพันธ์อาจเปลี่ยนแปลง
- ต้องติดตามค่า correlation อยู่เสมอ
- ความเสี่ยงที่เหลืออยู่ยังคงมี
ตัวอย่างการใช้งาน: หากคุณถือออเดอร์ AUD/USD Long แต่เริ่มกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจออสเตรเลีย คุณสามารถเปิดออเดอร์ NZD/USD Short เพื่อ hedge ความเสี่ยงได้
3. การ Hedging ด้วย Forex Options (Options Hedging)
Forex Options เป็นเครื่องมือที่ให้สิทธิ์ (แต่ไม่ใช่หน้าที่) ในการซื้อหรือขายคู่เงินในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
วิธีการทำงาน:
- ซื้อ Put Option เพื่อป้องกันออเดอร์ Long
- ซื้อ Call Option เพื่อป้องกันออเดอร์ Short
- จ่ายค่า Premium ล่วงหน้า
ข้อดี:
- กำหนดความเสี่ยงสูงสุดได้ชัดเจน (เท่ากับค่า Premium)
- ยังคงมีโอกาสทำกำไรได้ไม่จำกัด
- ยืดหยุ่นในการใช้งาน
ข้อเสีย:
- ซับซ้อนกว่าวิธีอื่น
- ต้องจ่ายค่า Premium ล่วงหน้า
- โบรกเกอร์ retail หลายรายไม่มีให้บริการ
ตัวอย่างการใช้งาน: หากคุณถือออเดอร์ EUR/USD Long ที่ 1.2000 คุณสามารถซื้อ Put Option ที่ Strike Price 1.1950 เพื่อป้องกันความเสียหายเกิน 50 pips
กลยุทธ์ Hedging อื่นๆ ที่ควรรู้
นอกเหนือจากกลยุทธ์หลักข้างต้น ยังมีเครื่องมือและวิธีการ Hedging อื่นๆ ที่เทรดเดอร์และธุรกิจนิยมใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงในตลาด Forex
การทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Forward Contracts)
สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Forward Contracts) คือข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายในการซื้อหรือขายคู่สกุลเงินในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ณ วันที่ในอนาคต
วิธีการทำงาน:
- เทรดเดอร์หรือธุรกิจตกลงที่จะแลกเปลี่ยนสกุลเงินในอัตราแลกเปลี่ยนที่แน่นอนในอนาคต
- สัญญานี้สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของคู่สัญญา ทั้งในด้านจำนวนเงินและวันที่ชำระ
ข้อดี:
- ช่วยล็อกอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต ทำให้เกิดความแน่นอนในการวางแผนทางการเงิน
- เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีรายรับหรือรายจ่ายเป็นสกุลเงินต่างประเทศในอนาคต
ข้อเสีย:
- ขาดความยืดหยุ่น หากอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดจริงเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เอื้ออำนวยมากกว่าราคาที่ล็อกไว้
- อาจมีข้อจำกัดในการเข้าถึงสำหรับเทรดเดอร์รายย่อย
ตัวอย่างการใช้งาน: บริษัทนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะต้องชำระเงินเป็นสกุล USD ในอีก 3 เดือนข้างหน้า บริษัทสามารถทำสัญญา Forward เพื่อล็อกอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB ในวันนี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงหากเงินบาทอ่อนค่าลงในอนาคต
การใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures)
สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) เป็นข้อตกลงมาตรฐานในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาและวันที่ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
วิธีการทำงาน:
- เทรดเดอร์เข้าทำสัญญา Futures เพื่อล็อกราคาซื้อหรือขายคู่สกุลเงินในอนาคต
- สัญญา Futures มีการซื้อขายในตลาดแลกเปลี่ยนที่มีการควบคุม ทำให้มีความโปร่งใสและสภาพคล่องสูง
ข้อดี:
- ให้การป้องกันความเสี่ยงแบบสมบูรณ์ (Fully Hedging) ได้ 100% หากมีการป้องกันความเสี่ยงเต็มจำนวน
- มีสภาพคล่องสูงและสามารถซื้อขายได้ง่ายในตลาดแลกเปลี่ยน
ข้อเสีย:
- มีข้อกำหนดมาร์จิ้น (Margin) ที่ต้องวางหลักประกัน
- อาจมีความซับซ้อนสำหรับมือใหม่
ตัวอย่างการใช้งาน: ผู้ส่งออกไทยคาดว่าจะได้รับเงินดอลลาร์สหรัฐจำนวน 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐในเดือนมิถุนายน 2567 แต่กังวลว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินบาท จึงทำการ Hedge ครึ่งหนึ่งของมูลค่า โดย Short USD Futures จำนวน 1,000 สัญญา เพื่อป้องกันความเสี่ยง
การ Hedging ข้ามประเภทสินทรัพย์ (Cross-Asset Hedging)
Cross-Asset Hedging คือการใช้สินทรัพย์ประเภทอื่นเพื่อป้องกันความเสี่ยงในตลาด Forex
วิธีการทำงาน:
- ใช้สินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กับคู่สกุลเงินที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง เช่น การใช้ทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อหรือความผันผวนของสกุลเงิน
- หรือใช้ดัชนีหุ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
ข้อดี:
- เพิ่มความหลากหลายในการบริหารความเสี่ยง
- สามารถใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ
ข้อเสีย:
- มีความซับซ้อนในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์
- ไม่ใช่การป้องกันความเสี่ยงโดยตรงสำหรับคู่สกุลเงินนั้นๆ
ตัวอย่างการใช้งาน: หากเทรดเดอร์ถือสถานะ Long ในคู่สกุลเงินที่อ่อนไหวต่อความเสี่ยงทางเศรษฐกิจสูง อาจพิจารณาซื้อทองคำเพื่อเป็น Hedge เนื่องจากทองคำมักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน
ต้นทุนที่แท้จริงของการ Hedging: สิ่งที่โบรกเกอร์ไม่ได้บอกคุณ
ต้นทุนการ hedging เป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าม แต่จริงๆ แล้วมันสำคัญมาก เพราะสามารถกิดกร่อนกำไรได้อย่างเงียบๆ
ตารางสรุปต้นทุนการ Hedging
ประเภทต้นทุน
|
Direct Hedging
|
Correlation Hedging
|
Options Hedging
|
---|
ค่า Spread
|
2x (ทั้งสองออเดอร์)
|
2x (ทั้งสองออเดอร์)
|
1x (เฉพาะออเดอร์หลัก)
|
---|
ค่า Swap
|
สะสมทุกวัน
|
สะสมทุกวัน
|
ไม่มี
|
---|
ค่า Premium
|
ไม่มี
|
ไม่มี
|
จ่ายล่วงหน้า
|
---|
ความซับซ้อน
|
ต่ำ
|
ปานกลาง
|
สูง
|
---|
1. ค่า Spread และคอมมิชชั่น
เมื่อคุณเปิดออเดอร์ hedge คุณจะต้องจ่ายค่า spread ใหม่ทุกครั้ง หากใช้ Direct Hedging คุณจะจ่ายค่า spread สองเท่า
ตัวอย่าง:
- EUR/USD Spread = 1.2 pips
- Direct Hedging ต้องจ่าย = 2.4 pips
- ออเดอร์ 1 lot = ขาดทุน $24 ทันที
2. ค่า Swap (Rollover)
ค่า swap เป็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่ที่หลายคนไม่ได้คิดถึง เมื่อคุณ hedge ด้วย Direct Hedging คุณจะมีการจ่ายค่า swap ทั้งสองออเดอร์
ในกรณีส่วนใหญ่ ค่า swap ของออเดอร์ Long และ Short จะไม่เท่ากัน ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายสุทธิทุกวัน
ตัวอย่าง:
- EUR/USD Long swap = -$3/วัน
- EUR/USD Short swap = -$1/วัน
- รวมค่า swap = -$4/วัน
3. ค่า Premium ของ Options
สำหรับ Forex Options คุณต้องจ่ายค่า premium ล่วงหน้า ซึ่งจะหายไปไม่ว่าออเดอร์จะกำไรหรือขาดทุน
ตัวอย่าง:
- EUR/USD Put Option premium = 0.5%
- ออเดอร์ 1 lot = จ่าย $500 ล่วงหน้า
Case Study: วิธีการ Hedging ออเดอร์ก่อนการประกาศตัวเลข Non-Farm Payrolls (NFP)
มาดูตัวอย่างการใช้งาน hedging ในสถานการณ์จริง เมื่อมีการประกาศข่าว NFP ที่มีผลกระทบสูงต่อตลาด
สถานการณ์:
- วันที่: วันศุกร์ก่อนประกาศ NFP
- ออเดอร์ปัจจุบัน: EUR/USD Long ที่ 1.2000 (1 lot)
- ความคาดหวัง: NFP อาจส่งผลกระทบต่อ USD อย่างมาก
การวิเคราะห์:
คุณเชื่อมั่นใน trend ระยะยาวของ EUR/USD แต่กังวลเกี่ยวกับความผันผวนจาก NFP ที่อาจทำให้ออเดอร์ถูก stop loss
กลยุทธ์ที่ใช้: Direct Hedging
ขั้นตอนที่ 1: เปิดออเดอร์ EUR/USD Short 1 lot ที่ราคา 1.2000 ขั้นตอนที่ 2: รอให้ข่าว NFP ออกมา ขั้นตอนที่ 3: ปิดออเดอร์ hedge และให้ออเดอร์หลักดำเนินต่อ
ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้:
สถานการณ์ที่ 1: NFP ออกมาดีกว่าคาด (USD แข็งค่า)
- EUR/USD ลดลงเหลือ 1.1950
- ออเดอร์ Long: -$500
- ออเดอร์ Short: +$500
- ผลรวม: $0 (ไม่นับต้นทุน)
สถานการณ์ที่ 2: NFP ออกมาแย่กว่าคาด (USD อ่อนค่า)
- EUR/USD เพิ่มขึ้นเป็น 1.2050
- ออเดอร์ Long: +$500
- ออเดอร์ Short: -$500
- ผลรวม: $0 (ไม่นับต้นทุน)
ข้อดีของกลยุทธ์นี้:
- ป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนระยะสั้น
- ยังคงรักษาออเดอร์หลักไว้ได้
- ไม่ต้องเสี่ยงถูก stop loss จากความผันผวน
ต้นทุนที่เกิดขึ้น:
- ค่า spread: 2.4 pips = $24
- ค่า swap: ประมาณ $4 (ถือค้างคืน 1 วัน)
- รวมต้นทุน: $28
กฎของโบรกเกอร์ที่คุณต้องรู้: ทำไมบางโบรกเกอร์ไม่อนุญาตให้ Hedging?
หนึ่งในปัญหาที่เทรดเดอร์ไทยเจออยู่บ่อยครั้งคือ ทำไม hedge ไม่ได้ กับโบรกเกอร์บางราย คำตอบอยู่ที่กฎ FIFO (First In First Out)
FIFO คืออะไร?
FIFO เป็นกฎที่บังคับโดยหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ (CFTC) ที่กำหนดให้:
- ออเดอร์ที่เปิดก่อนต้องปิดก่อน
- ไม่สามารถถือออเดอร์ Long และ Short ในคู่เงินเดียวกันพร้อมกัน
ทำไมต้องมีกฎ FIFO?
กฎนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อ:
- ป้องกันการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากโบรกเกอร์
- ลดความซับซ้อนในการคำนวณกำไรขาดทุน
- เพิ่มความโปร่งใสในการเทรด
ตารางเปรียบเทียบโบรกเกอร์
ประเภทโบรกเกอร์
|
กฎ FIFO
|
Direct Hedging
|
Correlation Hedging
|
Options Hedging
|
---|
โบรกเกอร์ US
|
✓
|
✗
|
✓
|
✓
|
---|
โบรกเกอร์ EU
|
✗
|
✓
|
✓
|
✓
|
---|
โบรกเกอร์ Offshore
|
✗
|
✓
|
✓
|
Limited
|
---|
ทางเลือกสำหรับเทรดเดอร์ที่เจอข้อจำกัด FIFO:
1. ใช้ Correlation Hedging แทน
- เปิดออเดอร์ในคู่เงินที่มีความสัมพันธ์สูง
- ไม่ขัดกับกฎ FIFO
2. ใช้ Options Hedging
- ซื้อ Put/Call Options
- ไม่ถูกจำกัดด้วยกฎ FIFO
3. ใช้โบรกเกอร์หลายราย
- แบ่งออเดอร์ไปยังโบรกเกอร์ต่างๆ
- ต้องระวังเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
เทคนิคการ Hedging ขั้นสูงที่เทรดเดอร์มืออาชีพใช้
นอกจากกลยุทธ์พื้นฐาน 3 แบบที่เราได้พูดถึงไปแล้ว ยังมีเทคนิคขั้นสูงที่เทรดเดอร์มืออาชีพนำมาใช้ในการบริหารความเสี่ยงอย่างละเอียด
1. Partial Hedging (การ Hedge บางส่วน)
แทนที่จะ hedge 100% ของออเดอร์ คุณสามารถเลือก hedge เพียงบางส่วนเพื่อลดต้นทุน
ตัวอย่าง:
- ออเดอร์หลัก: EUR/USD Long 2 lots
- Hedge: EUR/USD Short 1 lot
- ผลลัพธ์: ลดความเสี่ยงลง 50%
2. Dynamic Hedging (การ Hedge แบบไดนามิก)
ปรับขนาดการ hedge ตามความผันผวนของตลาด:
- ในช่วงความผันผวนสูง: เพิ่มขนาด hedge
- ในช่วงความผันผวนต่ำ: ลดขนาด hedge
3. Cross-Asset Hedging (การ Hedge ข้ามประเภทสินทรัพย์)
ใช้สินทรัพย์ประเภทอื่นในการ hedge:
- ทอง (Gold) เพื่อ hedge ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
- ดัชนีหุ้น เพื่อ hedge ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจ
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการทำ Hedging
1. Over-Hedging (การ Hedge มากเกินไป)
- ปัญหา: ลดความเสี่ยงจนเกินไป ทำให้ไม่มีโอกาสทำกำไร
- แก้ไข: กำหนดเปอร์เซ็นต์การ hedge ที่เหมาะสม
2. ไม่คิดถึงต้นทุน
- ปัญหา: มุ่งเน้นแต่การลดความเสี่ยง แต่ไม่คิดถึงต้นทุน
- แก้ไข: คำนวณต้นทุนทั้งหมดก่อนตัดสินใจ
3. ไม่มีแผนการปิด Hedge
- ปัญหา: ไม่รู้ว่าจะปิด hedge เมื่อไหร่
- แก้ไข: กำหนดเงื่อนไขการปิด hedge ไว้ล่วงหน้า
4. ใช้ Hedging เป็นกลยุทธ์ทำกำไร
- ปัญหา: คิดว่าจะทำกำไรจากการ hedge
- แก้ไข: จำไว้ว่า hedge เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง
การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสำหรับการ Hedging
สิ่งที่ต้องพิจารณา:
1. นโยบายเรื่อง Hedging
- รองรับ Direct Hedging หรือไม่
- มีข้อจำกัดเรื่อง FIFO หรือไม่
2. ค่าใช้จ่าย
- ค่า spread ในคู่เงินที่ต้องการใช้
- ค่า swap/rollover
- ค่าคอมมิชชั่น
3. แพลตฟอร์ม
- ง่ายต่อการเปิดปิดออเดอร์
- มีเครื่องมือช่วยคำนวณ correlation
4. การสนับสนุน
- มีทีมงานที่เข้าใจเรื่อง hedging
- ให้คำปรึกษาได้
มุมมองที่ไม่สมจริงของการขาดทุน
การทำ Hedging อาจทำให้เทรดเดอร์มองข้ามขอบเขตที่แท้จริงของการขาดทุนได้ เนื่องจากยอดคงเหลือ (Balance) ในพอร์ตอาจไม่เปลี่ยนแปลงจนกว่าคำสั่งซื้อขายจะถูกปิด สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบ
Equity (ส่วนของผู้ถือหุ้น) ของพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงของบัญชีหลังจากหักกำไร/ขาดทุนลอยตัวทั้งหมด การมุ่งเน้นเพียงยอดคงเหลืออาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาดและประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป
เครื่องมือและทรัพยากรที่ช่วยในการ Hedging
1. Currency Correlation Tools
- Investing.com Currency Correlation
- DailyFX Correlation Matrix
2. Volatility Indicators
- VIX (Volatility Index)
- ATR (Average True Range)
- Economic Calendar
3. Position Size Calculator
- คำนวณขนาดออเดอร์ที่เหมาะสม
- ปรับขนาด hedge ตามความเสี่ยง
สรุป: Hedging เหมาะกับสไตล์การเทรดของคุณหรือไม่?
Hedging forex คือ เครื่องมือการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ แต่ไม่เหมาะกับทุกคน การตัดสินใจว่าจะใช้หรือไม่ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย
Hedging เหมาะกับใคร:
- Swing Traders และ Position Traders ที่ถือออเดอร์ระยะยาว
- เทรดเดอร์ที่มีเงินทุนมากพอที่จะรองรับต้นทุน
- ผู้ที่มีความรู้เรื่องการบริหารความเสี่ยงเป็นอย่างดี
- เทรดเดอร์ที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากข่าวสำคัญ
Hedging ไม่เหมาะกับใคร:
- Scalpers และ Day Traders ที่ถือออเดอร์ระยะสั้น
- เทรดเดอร์มือใหม่ที่ยังไม่เข้าใจต้นทุนและความเสี่ยง
- ผู้ที่มีเงินทุนน้อยเพราะต้นทุนจะกิดกร่อนกำไร
- เทรดเดอร์ที่คิดว่า hedging เป็นวิธีทำกำไร
คำแนะนำสำหรับการเริ่มต้น:
1. ศึกษาให้ถี่ถ้วนก่อน
- ทำความเข้าใจกลยุทธ์ทั้ง 3 แบบ
- คำนวณต้นทุนที่แท้จริง
- ศึกษากฎของโบรกเกอร์ที่ใช้
2. ทดลองใน Demo Account
- ฝึกเปิดปิดออเดอร์ hedge
- ติดตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
- ทดสอบในสถานการณ์ต่างๆ
3. เริ่มต้นด้วยขนาดเล็ก
- ใช้ขนาดออเดอร์ที่เล็กในการเริ่มต้น
- ปรับเพิ่มขนาดเมื่อมีความมั่นใจ
- ไม่ hedge เกิน 50% ของพอร์ต
4. มีแผนการจัดการ
- กำหนดเงื่อนไขการเปิด hedge ไว้ล่วงหน้า
- ตั้งเป้าหมายการปิด hedge
- ติดตามผลลัพธ์และปรับปรุงอยู่เสมอ
ข้อสรุปสำคัญ:
- การบริหารความเสี่ยง เป็นหัวใจหลักของ hedging
- มีค่าใช้จ่ายที่ต้องคำนวณให้ดี
- ต้องเข้าใจกฎของโบรกเกอร์
- ไม่ใช่เครื่องมือทำกำไร แต่เป็นเครื่องมือป้องกัน
การทำ hedging ที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และการฝึกฝน เริ่มต้นด้วยการศึกษาให้ถี่ถ้วน ทดลองใน demo account และค่อยๆ ประยุกต์ใช้กับเงินทุนจริงเมื่อมีความมั่นใจแล้ว
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. Hedging Forex คืออะไร?
Hedging forex คือ เทคนิคการบริหารความเสี่ยงที่ใช้เพื่อป้องกันความเสียหายจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่คาดคิด โดยการเปิดออเดอร์ในทิศทางตรงกันข้ามหรือใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ
2. ทำไมบางโบรกเกอร์ hedge ไม่ได้?
ทำไม hedge ไม่ได้ กับโบรกเกอร์บางราย เนื่องจากกฎ FIFO (First In First Out) ที่บังคับโดยหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ทำให้ไม่สามารถถือออเดอร์ Long และ Short ในคู่เงินเดียวกันพร้อมกัน
3. ค่าใช้จ่ายในการ Hedging มีอะไรบ้าง?
ต้นทุนการ hedging ประกอบด้วย ค่า spread (ต้องจ่าย 2 เท่าสำหรับ direct hedging), ค่า swap ที่สะสมทุกวัน, และค่า premium สำหรับ forex options
4. Hedging ทำกำไรได้หรือไม่?
Hedging ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อทำกำไร แต่เป็นเครื่องมือการบริหารความเสี่ยง การคิดว่า hedging เป็นกลยุทธ์ทำกำไรเป็นความเข้าใจผิดที่พบบ่อย
5. กลยุทธ์ Hedging ไหนดีที่สุด?
กลยุทธ์ hedging ที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ Direct Hedging เหมาะกับการป้องกันระยะสั้น, correlation hedging เหมาะกับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่น, และ forex options เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมความเสี่ยงอย่างแม่นยำ
6. ต้องมีเงินทุนเท่าไหร่ถึงจะ Hedge ได้?
ไม่มีจำนวนเงินทุนขั้นต่ำที่กำหนดตายตัว แต่ต้องมีเงินทุนเพียงพอที่จะรองรับต้นทุนของการ hedge โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการเทรดหลัก
7. การ Hedging ผิดกฎหมายหรือไม่?
การ hedging ไม่ผิดกฎหมาย แต่อาจมีข้อจำกัดจากโบรกเกอร์หรือหน่วยงานกำกับดูแลในแต่ละประเทศ เช่น กฎ FIFO ในสหรัฐฯ
8. ควรใช้ Hedging บ่อยแค่ไหน?
ควรใช้ hedging เฉพาะเมื่อจำเป็น เช่น ก่อนข่าวสำคัญอย่าง NFP หรือเมื่อมีความไม่แน่นอนสูงในตลาด การใช้บ่อยเกินไปจะทำให้ต้นทุนสูง
9. Hedging กับ Stop Loss ต่างกันอย่างไร?
Stop Loss จะปิดออเดอร์เมื่อขาดทุนถึงระดับที่กำหนด ในขณะที่ hedging จะรักษาออเดอร์หลักไว้แต่ลดความเสี่ยงลงชั่วคราว
10. มือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยกลยุทธ์ไหน?
มือใหม่ควรเริ่มต้นด้วย correlation hedging เพราะเข้าใจง่าย ไม่ขัดกับกฎ FIFO และมีความยืดหยุ่นสูง แต่ต้องศึกษาเรื่อง correlation ระหว่างคู่เงินให้ดีก่อน