คุณเคยแลกเงินบาทเป็นดอลลาร์ก่อนไปเที่ยวต่างประเทศไหม? ถ้าเคย แสดงว่าคุณมีประสบการณ์พื้นฐานเทรด Forex สำหรับมือใหม่ในตลาด Forex แล้วล่ะ แต่การเทรด Forex เพื่อทำกำไรนั้นมีรายละเอียดมากกว่านั้นมาก
การเทรด Forex หรือการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ เป็นการลงทุนที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนไทย โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีทำให้เราเข้าถึงตลาดการเงินโลกได้ง่ายขึ้น ด้วยเงินทุนเริ่มต้นไม่มาก คุณก็สามารถเริ่มเทรดและมีโอกาสทำกำไรจากความผันผวนของค่าเงินได้

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักการเทรด Forex ตั้งแต่พื้นฐาน เรียนรู้ศัพท์เฉพาะที่จำเป็น วิธีเลือกโบรกเกอร์ ขั้นตอนการเปิดบัญชี และที่สำคัญคือเทคนิคการบริหารความเสี่ยงเพื่อให้อยู่รอดในตลาดนี้ได้ยาวนาน พร้อมทั้งแนะนำวิธี Copy Trading สำหรับคนที่อยากเริ่มแบบง่าย ๆ
Forex Trading คืออะไร? ทำความเข้าใจตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา

Forex ย่อมาจาก Foreign Exchange หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าการซื้อขายต่อวันมากกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดนี้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง จันทร์ถึงศุกร์ ทำให้เทรดเดอร์สามารถเทรดได้ตลอดเวลา
การเทรด Forex คือการซื้อสกุลเงินหนึ่งและขายอีกสกุลหนึ่งไปพร้อมกัน โดยหวังว่าค่าเงินที่ซื้อจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินที่ขาย ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณคิดว่าดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าเทียบกับเยน คุณก็ซื้อคู่ USD/JPY ถ้าคาดการณ์ถูก คุณก็จะได้กำไร
ตลาด Forex ไม่มีศูนย์กลางการซื้อขายเหมือนตลาดหุ้น แต่เป็นการซื้อขายผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างธนาคาร สถาบันการเงิน และนักลงทุนทั่วโลก ทำให้มีสภาพคล่องสูงมากและสามารถเข้าออกตลาดได้ง่าย
ทำไมคนถึงสนใจเทรด Forex? ข้อดีสำหรับมือใหม่
การเทรด Forex มีข้อดีหลายประการที่ทำให้น่าสนใจสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ดังนี้
เงินทุนเริ่มต้นต่ำ: ไม่เหมือนการลงทุนในหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ การเทรด Forex สามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินเพียงไม่กี่พันบาท บางโบรกเกอร์รับเงินฝากขั้นต่ำเพียง 5-10 ดอลลาร์
ตลาดเปิด 24 ชั่วโมง: คุณสามารถเทรดได้ตลอดเวลาตั้งแต่วันจันทร์เช้าถึงศุกร์ค่ำ ไม่ว่าจะเป็นช่วงตลาดเอเชีย ยุโรป หรืออเมริกา ทำให้เหมาะกับคนที่มีงานประจำและต้องการเทรดเป็นอาชีพเสริม
สภาพคล่องสูง: ด้วยปริมาณการซื้อขายมหาศาล คุณสามารถเข้าออกตลาดได้ทันทีในราคาที่ต้องการ ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคนมารับซื้อหรือขาย
การใช้ Leverage: โบรกเกอร์ Forex ให้คุณใช้เลเวอเรจหรือการกู้ยืมเงินเพื่อเทรด ทำให้สามารถเทรดด้วยมูลค่าที่มากกว่าเงินทุนจริง เช่น เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่าด้วยเงิน 1,000 บาท คุณสามารถเทรดได้มูลค่า 100,000 บาท
โอกาสทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง: ไม่เหมือนหุ้นที่ทำกำไรได้เฉพาะตอนราคาขึ้น ใน Forex คุณสามารถทำกำไรได้ทั้งตอนค่าเงินแข็งค่าและอ่อนค่า
ข้อดีเพิ่มเติมสำหรับการเทรด Forex:
- ไม่มีค่าคอมมิชชั่น: ส่วนใหญ่โบรกเกอร์ Forex จะเก็บเฉพาะ Spread ไม่มีค่าคอมมิชชั่น
- ไม่มีการหมดอายุ: ไม่เหมือน Options ที่มีวันหมดอายุ Forex สามารถถือได้นานเท่าที่ต้องการ
- ความโปร่งใส: ข้อมูลราคาเป็นแบบ Real-time และเข้าถึงได้ง่าย
ทำความรู้จักศัพท์พื้นฐาน: คำศัพท์ Forex ที่มือใหม่ต้องรู้

คู่เงิน (Currency Pairs)
คู่เงินคือหัวใจของการเทรด Forex แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก:
- คู่เงินหลัก (Major Pairs): เป็นคู่ที่มี USD อยู่ด้วยเสมอ เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY มีสภาพคล่องสูงและสเปรดต่ำ เหมาะกับมือใหม่
- คู่เงินรอง (Minor Pairs): คู่เงินที่ไม่มี USD แต่เป็นสกุลเงินหลักอื่น ๆ เช่น EUR/GBP, EUR/JPY, GBP/JPY
- คู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs): คู่ที่มีสกุลเงินจากประเทศกำลังพัฒนา เช่น USD/THB, EUR/TRY มีความผันผวนสูงและสเปรดกว้าง
Pip, Lot และ Leverage
- Pip (Point in Percentage): หน่วยวัดการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กที่สุด โดยปกติคือทศนิยมตำแหน่งที่ 4 เช่น EUR/USD เคลื่อนจาก 1.1000 เป็น 1.1001 คือเคลื่อนไหว 1 pip
- Lot Size: ขนาดของการเทรด แบ่งเป็น Standard Lot (100,000 หน่วย), Mini Lot (10,000 หน่วย), และ Micro Lot (1,000 หน่วย) มือใหม่ควรเริ่มจาก Micro Lot
- Leverage (เลเวอเรจ): อัตราส่วนการกู้ยืมเงินเพื่อเทรด ยิ่งเลเวอเรจสูง ยิ่งใช้เงินน้อยแต่ความเสี่ยงก็สูงตาม
Spread และ Commission
- Spread: ส่วนต่างระหว่างราคา Bid (ราคาขาย) และ Ask (ราคาซื้อ) เป็นต้นทุนหลักในการเทรด ยิ่งสเปรดแคบยิ่งดี
- Commission (ค่าคอมมิชชั่น): ค่านายหน้าที่บางโบรกเกอร์เรียกเก็บ โดยเฉพาะบัญชี ECN ที่ให้สเปรดต่ำมาก
การเทรดแบบ Long และ Short
- Long (ซื้อ): คาดว่าราคาจะขึ้น จึงซื้อไว้ก่อนแล้วรอขายเมื่อราคาสูงขึ้น
- Short (ขาย): คาดว่าราคาจะลง จึงขายไว้ก่อน (แม้ยังไม่มี) แล้วซื้อคืนเมื่อราคาต่ำลง
วิธีเริ่มเทรด Forex ใน 7 ขั้นตอนสำหรับคนไทย
ขั้นตอนที่ 1: เลือกโบรกเกอร์ Forex ที่น่าเชื่อถือ
การเลือกโบรกเกอร์เป็นขั้นตอนสำคัญที่สุด ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่น่าเชื่อถือ เช่น FCA, ASIC, CySEC สำหรับคนไทย โบรกเกอร์ยอดนิยมได้แก่ Moneta Markets, Exness, XM, และ IC Markets
ดูเรื่องค่าธรรมเนียม สเปรด และการรองรับภาษาไทยด้วย บางโบรกเกอร์มีฝ่ายบริการลูกค้าที่พูดภาษาไทยได้ ซึ่งจะสะดวกมากสำหรับมือใหม่ สามารถเข้าไปอ่านวิธีเลือกโบรกเกอร์ Forex สำหรับมือใหม่ในไทยได้ตามลิงค์ที่แนบไว้ได้เลย
โดยสรุป สำหรับคนไทยโดยเฉพาะ ควรเลือกโบรกเกอร์ที่:
- รองรับการฝาก-ถอนด้วยเงินบาทไทย (THB)
- มีวิธีการชำระเงินที่สะดวกสำหรับคนไทย เช่น โอนธนาคารไทย, TrueMoney Wallet, QR Code PromptPay
- มีฝ่ายบริการลูกค้าภาษาไทย หรืออย่างน้อยภาษาอังกฤษที่สามารถสื่อสารได้
เกณฑ์การเลือกโบรกเกอร์เพิ่มเติม:
- ความปลอดภัยของเงิน: เลือกโบรกเกอร์ที่แยกเงินลูกค้าออกจากเงินของบริษัท (Segregated Account)
- การดำเนินคำสั่ง: ดูว่ามีการ Re-quote หรือ Slippage บ่อยไหม
- ขนาดสเปรด: เปรียบเทียบสเปรดของคู่เงินหลัก ๆ
- การรองรับ EA: หากต้องการใช้ Expert Advisor ต้องเลือกโบรกเกอร์ที่อนุญาต
ขั้นตอนที่ 2: เปิดบัญชี Demo และบัญชีจริง
เริ่มจากการเปิดบัญชี Demo ก่อนเพื่อฝึกฝนโดยไม่เสี่ยงเงินจริง บัญชี Demo จะให้เงินเสมือนจริงสำหรับทดลองเทรด ใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 เดือนในการฝึกฝนจนมั่นใจ
เมื่อพร้อมแล้ว ค่อยเปิดบัญชีจริง กรอกข้อมูลส่วนตัวตามที่โบรกเกอร์กำหนด ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีในการกรอกฟอร์ม
ขั้นตอนที่ 3: ยืนยันตัวตน (KYC)
อัพโหลดเอกสารยืนยันตัวตน ได้แก่ บัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต และเอกสารยืนยันที่อยู่ เช่น บิลค่าน้ำค่าไฟ ขั้นตอนนี้เพื่อป้องกันการฟอกเงินและปกป้องบัญชีของคุณ
โบรกเกอร์ส่วนใหญ่อนุมัติภายใน 24 ชั่วโมง บางรายอาจเร็วกว่านั้น
ขั้นตอนที่ 4: ฝากเงินเข้าบัญชี
สำหรับคนไทย วิธีฝากเงินที่สะดวกคือการโอนผ่านธนาคารไทย บัตรเครดิต/เดบิต หรือ e-wallet บางโบรกเกอร์รองรับ QR Payment ผ่าน PromptPay ด้วย
เริ่มต้นด้วยเงินที่พร้อมจะเสีย ประมาณ 500-1,000 ดอลลาร์ (17,000-35,000 บาท) เพื่อให้มีพื้นที่ในการบริหารความเสี่ยง
ขั้นตอนที่ 5: ดาวน์โหลดแพลตฟอร์มการเทรด
MetaTrader 5 (MT5) เป็นแพลตฟอร์มที่นิยมที่สุด มีทั้งเวอร์ชัน Desktop, Web และ Mobile ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์โบรกเกอร์โดยตรงเพื่อความปลอดภัย
ล็อกอินด้วย username และ password ที่ได้จากโบรกเกอร์ ทำความคุ้นเคยกับหน้าจอ เมนูต่าง ๆ และวิธีเปิด-ปิดออเดอร์
ขั้นตอนที่ 6: เรียนรู้การวิเคราะห์กราฟเบื้องต้น
ศึกษาการอ่านกราฟแท่งเทียน (Candlestick) เรียนรู้การหาแนวรับ-แนวต้าน และการดูเทรนด์ TradingView เป็นเว็บไซต์ฟรีที่ดีสำหรับการฝึกวิเคราะห์กราฟ
เริ่มจากการดูไทม์เฟรมใหญ่ เช่น Daily หรือ H4 ก่อน เพื่อเห็นภาพรวมของตลาด แล้วค่อยซูมเข้ามาดูไทม์เฟรมเล็กลง
การวิเคราะห์เทคนิคเบื้องต้น:
การอ่าน Candlestick:
- เขียว/ขาว: ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด (ขาขึ้น)
- แดง/ดำ: ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด (ขาลง)
- ตัวเทียน: ส่วนหนาระหว่างราคาเปิดและปิด
- เงา/หาง: ราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลานั้น
รูปแบบเทียนสำคัญ:
- Doji: ราคาเปิดและปิดใกล้เคียงกัน บ่งบอกความลังเล
- Hammer: มีเงาล่างยาว บ่งบอกแรงซื้อ
- Shooting Star: มีเงาบนยาว บ่งบอกแรงขาย
การหาแนวรับ-แนวต้าน:
- หาจุดที่ราคาเคยดีดตัวหลายครั้ง
- ลากเส้นแนวนอนผ่านจุดเหล่านั้น
- ยิ่งแตะบ่อยยิ่งแข็งแกร่ง
- เมื่อราคาเข้าใกล้ ให้รอดูปฏิกิริยา
อินดิเคเตอร์พื้นฐาน:
- Moving Average (MA): เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ช่วยดูเทรนด์
- RSI: วัดการซื้อขายมากเกินไป (Overbought/Oversold)
- MACD: ดูการตัดกันของเส้น Moving Average
ขั้นตอนที่ 7: เปิดออเดอร์แรกพร้อมตั้ง Risk Management
เมื่อพร้อมแล้ว ให้เปิดออเดอร์แรกด้วยขนาดเล็ก ๆ ตั้ง Stop Loss ทุกครั้งเพื่อจำกัดความเสียหาย และตั้ง Take Profit เพื่อล็อกกำไร
ใช้กฎ Risk 1% คือเสี่ยงไม่เกิน 1% ของทุนต่อการเทรด 1 ครั้ง ถ้ามีทุน 1,000 ดอลลาร์ ก็เสี่ยงไม่เกิน 10 ดอลลาร์ต่อเทรด
วิธีการเปิดออเดอร์แรกอย่างละเอียด:
การคำนวณขนาดสถานะ:
- กำหนดจำนวนเงินที่เสี่ยงได้ (1% ของทุน)
- วัดระยะห่างจากจุดเข้าถึง Stop Loss (จำนวน Pips)
- คำนวณขนาด Lot: ยอดเสี่ยง ÷ (Pips × Pip Value)
ตัวอย่างการคำนวณ:
- ทุน: 1,000 USD
- เสี่ยง 1%: 10 USD
- Stop Loss: 20 Pips
- คู่เงิน EUR/USD (Pip Value = 1 USD ต่อ 0.1 Lot)
- ขนาด Lot: 10 ÷ (20 × 1) = 0.05 Lot
ขั้นตอนการเปิดออเดอร์:
- วิเคราะห์กราฟและหาจุดเข้า
- คำนวณขนาดสถานะตามสูตรข้างต้น
- กำหนด Stop Loss และ Take Profit
- เปิดออเดอร์ด้วยขนาดที่คำนวณแล้ว
- ติดตามและจัดการสถานะ
ตัวอย่างการเปิดบัญชีกับ Moneta Markets
ขั้นตอนที่ 1: เข้าสู่เว็บไซต์ทางการของ Moneta Markets คลิกปุ่ม “ลงทะเบียน” บนหน้าแรก

ขั้นตอนที่ 2: กรอกข้อมูลสมัครสมาชิก ข้อมูลส่วนตัวตามที่กำหนด จากนั้นเลือกแพลตฟอร์มเทรด ประเภทบัญชี สกุลเงินของบัญชี จากนั้นกดยอมรับ


ขั้นตอนที่ 3: หลังจากกรอกข้อมูลแล้ว สามารถยืนยันตัวตน KYC โดยเลือกประเภทเอกสารที่ใช้ยืนยันได้เลย ใช้เวลาไม่กี่นาที


กลยุทธ์การเทรดง่าย ๆ สำหรับมือใหม่
การหาแนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance)
แนวรับ (Support) คือระดับราคาที่มีแรงซื้อมาก ทำให้ราคามักจะดีดตัวขึ้นเมื่อลงมาถึง ส่วนแนวต้าน (Resistance) คือระดับที่มีแรงขายมาก ทำให้ราคามักจะย่อตัวลงเมื่อขึ้นไปถึง
วิธีหาง่าย ๆ คือดูจุดที่ราคาเคยดีดตัวหรือย่อตัวหลาย ๆ ครั้ง ยิ่งแตะบ่อยยิ่งแข็งแกร่ง เมื่อราคาเข้าใกล้แนวเหล่านี้ ให้รอดูปฏิกิริยาของราคาก่อนตัดสินใจเทรด
การใช้เส้นแนวโน้ม (Trend Lines)
เส้นแนวโน้มช่วยให้เห็นทิศทางของตลาด ลากเส้นผ่านจุดต่ำสุดที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะได้เส้นแนวโน้มขาขึ้น ลากผ่านจุดสูงสุดที่ลดลงเรื่อย ๆ จะได้เส้นแนวโน้มขาลง
เทรดตามแนวโน้มจะมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าการเทรดสวนแนวโน้ม มีคำกล่าวว่า “The trend is your friend” แนวโน้มคือเพื่อนของคุณ
แนวคิด Confluence
Confluence คือการที่สัญญาณหลายตัวมาบรรจบกัน เช่น ราคาอยู่ที่แนวรับ + อยู่บนเส้นแนวโน้มขาขึ้น + มีสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ การมี confluence มากจะเพิ่มความน่าจะเป็นที่เทรดจะสำเร็จ
อย่าพึ่งสัญญาณเดียว ให้รอจนกว่าจะมีหลายสัญญาณยืนยันกันก่อนเปิดสถานะ
การบริหารความเสี่ยง: กุญแจสู่ความอยู่รอดในตลาด Forex
กฎ 1% – อย่าเสี่ยงเกิน 1% ของทุนต่อการเทรด
นี่คือกฎทองของการบริหารความเสี่ยง ไม่ว่าคุณจะมั่นใจในการวิเคราะห์แค่ไหน อย่าเสี่ยงเงินเกิน 1% ของทุนทั้งหมดในการเทรดครั้งเดียว
ถ้ามีทุน 100,000 บาท ก็เสี่ยงไม่เกิน 1,000 บาทต่อเทรด วิธีนี้จะทำให้คุณสามารถรับมือกับการขาดทุนติดต่อกันได้โดยไม่เจ๊ง
ตารางการคำนวณ Risk 1%:
ขนาดทุน | Risk 1% | Risk 2% | Risk 5% |
---|
10,000 บาท | 100 บาท | 200 บาท | 500 บาท |
---|
50,000 บาท | 500 บาท | 1,000 บาท | 2,500 บาท |
---|
100,000 บาท | 1,000 บาท | 2,000 บาท | 5,000 บาท |
---|
500,000 บาท | 5,000 บาท | 10,000 บาท | 25,000 บาท |
---|
การตั้ง Stop Loss และ Take Profit
Stop Loss คือคำสั่งปิดสถานะอัตโนมัติเมื่อขาดทุนถึงระดับที่กำหนด เป็นเหมือนประกันที่ป้องกันไม่ให้ขาดทุนมากเกินไป ตั้ง Stop Loss ทุกครั้งที่เทรด ไม่มีข้อยกเว้น
Take Profit คือคำสั่งปิดสถานะเมื่อกำไรถึงเป้าหมาย ช่วยล็อกกำไรและป้องกันความโลภที่อาจทำให้กำไรกลายเป็นขาดทุน
Risk-to-Reward Ratio ที่เหมาะสม
Risk-to-Reward Ratio คืออัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวัง ควรมีอย่างน้อย 1:2 คือถ้าเสี่ยง 100 บาท ต้องมีโอกาสได้กำไรอย่างน้อย 200 บาท
แม้จะชนะแค่ 40% ของเทรดทั้งหมด แต่ถ้า Risk-Reward เป็น 1:2 คุณก็ยังทำกำไรได้ในระยะยาว
ตัวอย่างการคำนวณ Risk-Reward:
จำนวนเทรดทั้งหมด | 10 ครั้ง |
---|
ชนะ 4 ครั้ง (40%) | +800 บาท (200 บาท x 4) |
---|
แพ้ 6 ครั้ง (60%) | -600 บาท (100 บาท x 6) |
---|
กำไรสุทธิ | +200 บาท |
---|
Copy Trading: ทางเลือกสำหรับมือใหม่ที่ไม่มีเวลา
Copy Trading คือการคัดลอกการเทรดของเทรดเดอร์มืออาชีพโดยอัตโนมัติ เมื่อเขาเปิดสถานะ ระบบจะเปิดให้คุณด้วย เมื่อเขาปิด ระบบก็ปิดให้คุณ เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาเรียนรู้หรือวิเคราะห์ตลาดเอง
ข้อดีของ Copy Trading:
สามารถเรียนรู้จากการเทรดของผู้เชี่ยวชาญได้ เห็นว่าเขาเปิดสถานะตอนไหน ทำไมถึงเปิด และบริหารความเสี่ยงอย่างไร นอกจากนี้ยังประหยัดเวลาในการวิเคราะห์
คุณสามารถกระจายความเสี่ยงโดยคัดลอกหลาย ๆ คน แต่ละคนมีสไตล์การเทรดต่างกัน บางคนเทรดระยะสั้น บางคนระยะยาว
ข้อเสียและสิ่งที่ต้องระวัง:
มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม โดยปกติเทรดเดอร์ที่ให้คัดลอกจะเก็บค่าคอมมิชชั่นจากกำไรที่ทำได้ ประมาณ 20-30% และยังคงมีความเสี่ยงอยู่ แม้จะคัดลอกเทรดเดอร์เก่ง ๆ ก็ยังมีโอกาสขาดทุนได้
การเลือกเทรดเดอร์ที่จะคัดลอกเป็นสิ่งสำคัญ ดูประวัติการเทรดย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน ดู Drawdown (การขาดทุนสูงสุด) และความสม่ำเสมอของผลงาน
วิธีเริ่มต้น Copy Trading:
- เลือกแพลตฟอร์มที่รองรับ Copy Trading เช่น eToro, ZuluTrade, หรือ PAMM accounts
- ศึกษาประวัติและสถิติของ Strategy Providers
- ทดลองกับ Demo Account ก่อน
- เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย
- ติดตามผลงานอย่างสม่ำเสมอ
วิธีการใช้ Copy Trading ในระบบจริง
ขั้นตอนการเลือกผู้ให้สัญญาณ:
- เข้าสู่ระบบ Copy Trading
- เลือกเมนู “Copy Trading” หรือ “Social Trading”
- ดูรายชื่อ Strategy Providers ทั้งหมด
- วิเคราะห์ผลงาน สถิติที่ควรดู:
- Total Return: ผลตอบแทนรวม (ควรดู 6-12 เดือน)
- Win Rate: อัตราชนะ (ไม่จำเป็นต้องสูง หาก R:R ดี)
- Maximum Drawdown: การขาดทุนสูงสุด (ไม่ควรเกิน 20%)
- Trading Frequency: ความถี่ในการเทรด
- Average Holding Time: ระยะเวลาถือเฉลี่ย
- ดูกราฟเส้นทางผลงาน
- มองหาเส้นที่เติบโตสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงเส้นที่มีการปรับขึ้นลงรุนแรง
- ระวังการทำกำไรก้อนใหญ่แล้วขาดทุนก้อนใหญ่ตาม
- การตั้งค่าการคัดลอก การตั้งค่าสำคัญ:
- Copy Investment: จำนวนเงินที่จะใช้คัดลอก
- Proportional Copying: คัดลอกตามสัดส่วน
- Risk Management: ตั้ง Stop Loss สำหรับการคัดลอก
- Maximum Daily Loss: ขาดทุนสูงสุดต่อวัน
- Stop Copying: เงื่อนไขหยุดคัดลอกอัตโนมัติ
- การติดตามผลงาน
- ตรวจสอบผลงานรายวัน
- เปรียบเทียบกับผู้ให้สัญญาณคนอื่น
- ปรับการตั้งค่าตามความเหมาะสม
ตัวอย่างการกระจายความเสี่ยงใน Copy Trading:
กองทุน 10,000 USD แบ่งเป็น:
– Provider A (Scalping): 2,000 USD (20%)
– Provider B (Swing Trading): 3,000 USD (30%)
– Provider C (Trend Following): 3,000 USD (30%)
– เงินสำรอง: 2,000 USD (20%)
เคล็ดลับการ Copy Trading:
- อย่าใส่เงินทั้งหมดกับคนเดียว
- เลือกผู้ให้สัญญาณที่มีสไตล์ต่างกัน
- ตั้งค่า Max Drawdown ไม่เกิน 10-15%
- หยุดคัดลอกหากขาดทุนต่อเนื่อง 3 เดือน
- ติดตามข่าวสารที่อาจส่งผลต่อผู้ให้สัญญาณ
5 ข้อผิดพลาดที่มือใหม่มักทำ และวิธีหลีกเลี่ยง
1. ใช้เลเวอเรจสูงเกินไปและเทรดบ่อยเกินไป
มือใหม่มักตื่นเต้นกับเลเวอเรจสูง ๆ และอยากเทรดตลอดเวลา แต่นี่คือทางลัดสู่การล้มละลาย ควรใช้เลเวอเรจต่ำ ๆ และเทรดเฉพาะเมื่อมีสัญญาณชัดเจน
2. Revenge Trading – เทรดแก้มือเมื่อขาดทุน
เมื่อขาดทุน อารมณ์จะเข้ามาแทรกแซง ทำให้อยากเทรดเพิ่มเพื่อเอาคืน แต่การเทรดด้วยอารมณ์มักจบด้วยการขาดทุนมากขึ้น ควรหยุดพักเมื่อขาดทุนติดต่อกัน
3. เทรดโดยไม่มีแผน
การเทรดแบบสุ่มโดยไม่มีกลยุทธ์ชัดเจนเหมือนการพนัน ต้องมีแผนว่าจะเข้าตอนไหน ออกตอนไหน เสี่ยงเท่าไหร่ และยึดตามแผนอย่างเคร่งครัด
4. คาดหวังผลตอบแทนสูงเกินจริง
หลายคนคิดว่าจะรวยเร็วจาก Forex แต่ความจริงคือเทรดเดอร์มืออาชีพทำกำไรเฉลี่ยแค่ 5-10% ต่อเดือน การคาดหวังสูงเกินไปจะทำให้เสี่ยงมากเกินไปและขาดทุนในที่สุด
5. ไม่ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง
มือใหม่มักมองแต่กำไร ลืมคิดถึงการป้องกันความเสี่ยง ไม่ตั้ง Stop Loss หรือตั้งแต่ไม่ยอมให้ถูกกระทบ ทำให้ขาดทุนยับเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามคาด
เทคนิคการพัฒนาทักษะการเทรดอย่างต่อเนื่อง
การเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จต้องใช้เวลาและความอดทน ไม่มีใครเก่งในชั่วข้ามคืน การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็น
จดบันทึกการเทรด (Trading Journal)
บันทึกทุกการเทรดของคุณ ทั้งที่กำไรและขาดทุน จดว่าทำไมถึงเข้า ใช้เหตุผลอะไร ผลเป็นอย่างไร และได้บทเรียนอะไร การทบทวนบันทึกจะช่วยให้เห็นจุดอ่อนและพัฒนาได้
ฝึกฝนด้วยบัญชี Demo อย่างจริงจัง
อย่ารีบเทรดเงินจริง ใช้บัญชี Demo ฝึกฝนอย่างน้อย 3-6 เดือน ทดสอบกลยุทธ์ต่าง ๆ จนเจอสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง แล้วค่อยเริ่มเทรดจริงด้วยเงินจำนวนน้อย
เรียนรู้จากแหล่งความรู้ที่น่าเชื่อถือ
มีคอร์สออนไลน์ หนังสือ และวิดีโอมากมายเกี่ยวกับการเทรด Forex แต่ต้องเลือกเรียนจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ระวังคอร์สที่สัญญาว่าจะทำให้รวยเร็ว
เข้าร่วมกลุ่มเทรดเดอร์ที่มีคุณภาพ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ แต่อย่าเชื่อทุกอย่างที่อ่าน ต้องมีวิจารณญาณ
การเตรียมตัวด้านจิตใจสำหรับการเทรด Forex
การเทรด Forex ไม่ได้ท้าทายแค่ด้านเทคนิค แต่ยังท้าทายด้านจิตใจด้วย การควบคุมอารมณ์เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้อยู่รอดในตลาดนี้ได้
จัดการกับความกลัวและความโลภ
ความกลัวทำให้ไม่กล้าเปิดสถานะดี ๆ หรือปิดเร็วเกินไป ส่วนความโลภทำให้ถือสถานะนานเกินไปจนกำไรกลายเป็นขาดทุน ต้องฝึกให้ตัดสินใจด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์
ยอมรับการขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของเกม
ไม่มีใครชนะทุกเทรด แม้แต่เทรดเดอร์ระดับโลกก็ยังขาดทุนเป็นประจำ สิ่งสำคัญคือให้กำไรมากกว่าขาดทุนในระยะยาว การขาดทุนแต่ละครั้งคือค่าเรียนรู้
สร้างความมั่นใจด้วยการเตรียมตัวที่ดี
ความมั่นใจมาจากการเตรียมตัวที่ดี มีแผนการเทรดชัดเจน ทดสอบกลยุทธ์จนมั่นใจ และบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เมื่อมีความมั่นใจ การตัดสินใจจะดีขึ้น
เครื่องมือและแหล่งข้อมูลที่มือใหม่ควรรู้จัก
Economic Calendar
ปฏิทินเศรษฐกิจแสดงข่าวสำคัญที่จะออกมา เช่น การประกาศดอกเบี้ย ตัวเลข GDP หรือการว่างงาน ข่าวเหล่านี้มีผลต่อค่าเงินมาก ควรหลีกเลี่ยงการเทรดช่วงข่าวสำคัญถ้าเป็นมือใหม่
เว็บไซต์วิเคราะห์
Investing.com และ DailyFX เป็นเว็บที่มีบทวิเคราะห์และข่าวสารฟรี ช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ตลาดได้ดีขึ้น
กลุ่มและฟอรัม
มีกลุ่ม Facebook และฟอรัมต่าง ๆ ของเทรดเดอร์ไทย เป็นที่แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ แต่ต้องมีวิจารณญาณในการรับข้อมูล
แนวโน้มการเทรด Forex ในอนาคต
ตลาด Forex กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
การใช้ AI และ Machine Learning
มีการพัฒนา Expert Advisor (EA) ที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์และเทรดอัตโนมัติ แต่ยังไม่สามารถทดแทนการตัดสินใจของมนุษย์ได้ทั้งหมด
การเทรดคริปโตเคอร์เรนซี
หลายโบรกเกอร์ Forex เริ่มเพิ่มคู่คริปโต เช่น BTC/USD, ETH/USD เข้ามา ทำให้มีตัวเลือกในการเทรดมากขึ้น แต่ความผันผวนก็สูงมาก
การกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้น
หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกมีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น เพื่อปกป้องนักลงทุนรายย่อย ทำให้ตลาดมีความปลอดภัยมากขึ้น แต่อาจมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น การจำกัดเลเวอเรจ
บทสรุป
การเทรด Forex สำหรับมือใหม่ไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนเกินไปหากเริ่มต้นอย่างถูกวิธี สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้พื้นฐานให้แน่น เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ และฝึกฝนด้วยบัญชี Demo ก่อนใช้เงินจริง
การบริหารความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญของการอยู่รอด ใช้กฎ 1% ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง และมี Risk-Reward Ratio ที่เหมาะสม อย่าคาดหวังที่จะรวยเร็ว แต่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับคนที่ไม่มีเวลาหรือไม่อยากเรียนรู้มาก Copy Trading เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ก็ยังต้องเลือกเทรดเดอร์ที่จะคัดลอกอย่างระมัดระวัง
ที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง จดบันทึกการเทรด เรียนรู้จากความผิดพลาด และควบคุมอารมณ์ให้ได้ การเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จต้องใช้เวลาและความอดทน แต่ถ้าทำอย่างจริงจังและมีวินัย ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้แน่นอน
ข้อควรระวังสำหรับคนไทย:
- ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่อนุญาตให้โอนเงินไปต่างประเทศเพื่อเทรด Forex
- หลีกเลี่ยงการใช้บริการที่อ้างว่าเป็นโบรกเกอร์ไทยแต่ไม่มีใบอนุญาต
- ระวังการหลอกลวงที่อ้างผลตอบแทนสูงแบบ MLM หรือพีระมิด
- ควรศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ก่อนตัดสินใจ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
เริ่มเทรด Forex ต้องใช้เงินเท่าไหร่?
สำหรับการเริ่มต้นเทรด Forex คุณสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ 5-10 ดอลลาร์กับบางโบรกเกอร์ แต่เพื่อให้มีพื้นที่ในการบริหารความเสี่ยงที่ดี ควรมีทุนอย่างน้อย 500-1,000 ดอลลาร์ (17,000-35,000 บาท)
การมีทุนมากขึ้นช่วยให้สามารถกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า และไม่ต้องใช้เลเวอเรจสูงจนเกินไป ซึ่งจะช่วยลดความเครียดในการเทรด
เทรด Forex ได้เงินจริงไหม?
เทรด Forex สามารถทำกำไรได้จริง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน สถิติแสดงว่ามีเทรดเดอร์เพียง 10-15% เท่านั้นที่ทำกำไรได้ในระยะยาว ส่วนใหญ่ขาดทุนเพราะขาดความรู้และวินัย
ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการเรียนรู้อย่างจริงจัง การฝึกฝน การบริหารความเสี่ยงที่ดี และการควบคุมอารมณ์ ไม่ใช่เรื่องโชคหรือการเดา
MT4 กับ MT5 ต่างกันอย่างไร ควรใช้อันไหน?
MT4 เป็นแพลตฟอร์มที่เก่ากว่าแต่ยังนิยม เหมาะกับการเทรด Forex โดยเฉพาะ มี EA และอินดิเคเตอร์ให้เลือกมากมาย ส่วน MT5 เป็นเวอร์ชันใหม่กว่า รองรับสินค้าหลากหลายกว่า มีไทม์เฟรมให้เลือกมากกว่า และมีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทันสมัยกว่า
สำหรับมือใหม่ที่เทรด Forex เป็นหลัก MT4 ก็เพียงพอและอาจใช้งานง่ายกว่า แต่ถ้าต้องการความหลากหลายและฟีเจอร์ใหม่ ๆ MT5 จะเหมาะสมกว่า
Copy Trading คุ้มค่าไหมสำหรับมือใหม่?
Copy Trading เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับมือใหม่ที่ไม่มีเวลาเรียนรู้หรือวิเคราะห์ตลาดเอง คุณจะได้เรียนรู้จากการเทรดของผู้เชี่ยวชาญ และสามารถเริ่มเทรดได้ทันทีโดยไม่ต้องมีความรู้มาก
อย่างไรก็ตาม มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมและยังคงมีความเสี่ยง ควรเลือกเทรดเดอร์ที่จะคัดลอกอย่างระมัดระวัง ดูประวัติย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน และอย่าลงทุนเกินกว่าที่รับได้
ควรเทรดกี่ชั่วโมงต่อวัน?
ไม่จำเป็นต้องนั่งหน้าจอทั้งวัน คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ เทรดเดอร์มืออาชีพหลายคนใช้เวลาแค่ 1-2 ชั่วโมงต่อวันในการวิเคราะห์และเทรด
ช่วงเวลาที่ตลาดมีความเคลื่อนไหวมากที่สุดคือช่วง London Session (14:00-23:00 เวลาไทย) และ New York Session (19:00-04:00 เวลาไทย) เลือกเทรดช่วงที่สะดวกและมีสมาธิมากที่สุด
เทรด Forex ผิดกฎหมายไหมในไทย?
การเทรด Forex กับโบรกเกอร์ต่างประเทศไม่ผิดกฎหมายในไทย แต่ไม่มีกฎหมายคุ้มครองโดยตรง คุณต้องรับความเสี่ยงเอง ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่น่าเชื่อถือ
สำหรับเรื่องภาษี หากมีกำไรและนำเงินเข้าประเทศไทย อาจต้องเสียภาษีตามกฎหมาย ควรปรึกษานักบัญชีหรือที่ปรึกษาภาษีเพื่อความชัดเจน