สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งได้ยินคำว่า CFD หรือ Contract for Difference อาจจะสงสัยว่าเครื่องมือการลงทุนนี้คืออะไร ทำงานยังไง และมีความเสี่ยงอย่างไร
ในบทความนี้เราจะพาทุกคนทำความเข้าใจ CFD คืออะไร ตั้งแต่พื้นฐาน กลไกการทำงาน ไปจนถึงข้อดี-ข้อเสียที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจลงทุน พร้อมทั้งคำเตือนสำคัญจาก ก.ล.ต. ที่ทุกคนควรศึกษาให้ดี
CFD คืออะไร? นิยามที่เข้าใจง่ายที่สุด
CFD ย่อมาจาก Contract for Difference หรือในภาษาไทยเรียกว่า “สัญญาซื้อขายส่วนต่าง” เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ต่างๆ โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง
แนวคิดของ CFD เหมือนกับการ “พนันราคา” ว่าสินทรัพย์นั้นจะขึ้นหรือลง เมื่อปิดสถานะ นักลงทุนจะได้รับกำไรหรือขาดทุนจากส่วนต่างของราคาระหว่างจุดเปิดและจุดปิดเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น หากคุณเชื่อว่าราคาทองคำจะขึ้น คุณสามารถเปิด CFD Position แบบ Long (ซื้อ) โดยไม่ต้องซื้อทองคำจริง เมื่อราคาทองคำขึ้นตามที่คาดการณ์ คุณจะได้กำไรจากส่วนต่างของราคา
กลไกการทำงานของ CFD ที่ต้องเข้าใจ
การ เทรด CFD ทำงานผ่านระบบโบรกเกอร์ที่ทำหน้าที่เป็นคู่สัญญา เมื่อนักลงทุนต้องการเปิดสถานะ จะต้องวางเงินมาร์จิ้น(Margin) เป็นหลักประกันเพียงส่วนเล็กๆ ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด
การเปิดสถานะ Long (ซื้อ)
เมื่อคุณคาดว่าราคาสินทรัพย์จะขึ้น คุณจะเปิดสถานะ Long Position หรือการซื้อ CFD เมื่อราคาขึ้นจริง คุณจะได้กำไรเท่ากับส่วนต่างของราคาคูณด้วยจำนวน CFD ที่ซื้อ
การเปิดสถานะ Short (ขาย)
ในทางกลับกัน หากคุณคาดว่าราคาจะลง คุณสามารถเปิดสถานะ Short Position หรือการขาย CFD ได้ทันที แม้จะไม่เคยถือครองสินทรัพย์นั้นมาก่อน เมื่อราคาลงจริง คุณจะได้กำไร
กระบวนการนี้เรียกว่า “Short Selling” ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำคัญของ CFD เพราะช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง
เลเวอเรจ และมาร์จิ้น: สองสิ่งที่ต้องรู้
หนึ่งในจุดเด่นที่สำคัญของ CFD คือการใช้ระบบเลเวอเรจ (Leverage) และมาร์จิ้น (Margin) ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถควบคุมสินทรัพย์มูลค่าสูงด้วยเงินทุนเพียงเล็กน้อย
เลเวอเรจ คืออะไร?
เลเวอเรจคือการใช้เงินกู้เพื่อเพิ่มขนาดการลงทุน ตัวอย่างเช่น หากโบรกเกอร์เสนอเลเวอเรจ 1:10 หมายความว่าคุณสามารถควบคุมสินทรัพย์มูลค่า 100,000 บาทด้วยเงินทุนเพียง 10,000 บาท
อัตราเลเวอเรจที่พบบ่อยใน CFD มีตั้งแต่ 1:5 จนถึง 1:500 ขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์และนโยบายของแต่ละโบรกเกอร์
มาร์จิ้น คืออะไร?
มาร์จิ้นคือเงินที่นักลงทุนต้องวางเป็นหลักประกันในการเปิดสถานะ CFD โดยปกติจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด
ยกตัวอย่าง หากต้องการเปิดสถานะ CFD มูลค่า 50,000 บาทด้วยเลเวอเรจ 1:10 นักลงทุนจะต้องวางมาร์จิ้นเพียง 5,000 บาท (10% ของมูลค่ารวม)
ข้อควรระวัง: เลเวอเรจเป็นดาบสองคม เพราะขยายทั้งกำไรและความเสี่ยง หากตลาดเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ นักลงทุนอาจสูญเสียเงินทุนได้รวดเร็วกว่าการลงทุนแบบปกติ
เทรดอะไรได้บ้างผ่าน CFD?
ข้อดีอีกประการของ CFD คือความหลากหลายของสินทรัพย์ที่สามารถเทรดได้ ทำให้นักลงทุนมีตัวเลือกมากมายในการกระจายความเสี่ยง
ดัชนีหุ้น (Stock Indices)
CFD ช่วยให้เทรดดัชนีหุ้นชื่อดังทั่วโลกได้ เช่น:
- S&P 500 – ดัชนีหุ้นของ 500 บริษัทใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
- SET50 – ดัชนีหุ้นของ 50 บริษัทใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- Nikkei 225 – ดัชนีหุ้นของตลาดญี่ปุ่น
- DAX – ดัชนีหุ้นของตลาดเยอรมนี
หุ้นรายตัว (Individual Stocks)
นักลงทุนสามารถเทรด CFD ของหุ้นบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก เช่น:
- Apple (AAPL) – บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่
- Tesla (TSLA) – ผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า
- Microsoft (MSFT) – บริษัทซอฟต์แวร์และคลาวด์เซอร์วิส
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities)
สำหรับนักลงทุนที่สนใจตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CFD มีให้เลือกหลากหลาย:
- ทองคำ (Gold) – สินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงความผันผวน
- น้ำมันดิบ (Crude Oil) – WTI และ Brent Oil
- เงิน (Silver) – โลหะมีค่าที่นิยมลงทุน
คู่เงิน Forex
CFD ยังครอบคลุมตลาด ฟอเร็กซ์ (Forex) หรือการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตรา เช่น:
- EUR/USD – คู่เงินที่มีสภาพคล่องมากที่สุด
- GBP/USD – คู่เงินปอนด์สเตอร์ลิงกับดอลลาร์
- USD/JPY – คู่เงินดอลลาร์กับเยน
สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้พื้นฐานการเทรด Forex เพิ่มเติม แนะนำให้ศึกษาคู่มือเบื้องต้นก่อนเข้ามาเทรด CFD ในส่วนของสกุลเงิน
ข้อดี-ข้อเสีย: CFD เหมาะกับคุณหรือไม่?
ก่อนตัดสินใจลงทุน ต้องเข้าใจทั้งข้อดีและข้อเสียของ CFD ให้ชัดเจน
ข้อดีของ CFD Trading
1. เข้าถึงตลาดโลกได้ง่าย CFD ช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงตลาดการเงินทั่วโลกด้วยบัญชีเดียว ไม่ต้องเปิดบัญชีแยกในแต่ละประเทศ
2. ใช้เงินทุนน้อย ด้วยระบบเลเวอเรจ นักลงทุนสามารถเริ่มต้นด้วยเงินทุนไม่มาก แต่ยังควบคุมสินทรัพย์มูลค่าสูงได้
3. ทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง ความสามารถในการ Short Selling ทำให้นักลงทุนไม่จำเป็นต้องรอให้ตลาดขาขึ้นเท่านั้น
4. ไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อขาย โบรกเกอร์ CFD ส่วนใหญ่ไม่เก็บค่าคอมมิชชั่น แต่จะทำรายได้จาก Spread แทน
5. เทรดได้ 24 ชั่วโมง ตลาด Forex และสินค้าโภคภัณฑ์เปิดให้เทรดตลอด 24 ชั่วโมงในวันทำการ
ความเสี่ยงที่ต้องระวัง
1. ความเสี่ยงจากตลาด ราคาของสินทรัพย์อาจเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ ส่งผลให้เกิดการขาดทุน
2. ความเสี่ยงจากเลเวอเรจ เลเวอเรจสูงอาจทำให้สูญเสียเงินทุนได้รวดเร็ว หากไม่มีการจัดการความเสี่ยงที่ดี
3. ค่าใช้จ่ายแฝง แม้จะไม่มีค่าคอมมิชชั่น แต่มี Spread, Swap Fee (ค่าดอกเบี้ยข้ามคืน) และค่าธรรมเนียมอื่นๆ
4. ไม่มีสิทธิความเป็นเจ้าของ นักลงทุน CFD ไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง จึงไม่ได้รับเงินปันผลหรือสิทธิออกเสียงในกรณีของหุ้น
คำเตือนสำคัญจาก ก.ล.ต. เกี่ยวกับ CFD
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของการลงทุนใน CFD หลายครั้ง
ตามประกาศของ ก.ล.ต. การลงทุนใน CFD มีความเสี่ยงสูงมาก เนื่องจากใช้ระบบเลเวอเรจที่อาจทำให้นักลงทุนสูญเสียเงินทุนทั้งหมด หรือมากกว่าเงินทุนเริ่มแรกได้ ตามสถิติของ European Securities and Markets Authority (ESMA) พบว่านักลงทุน CFD มากกว่า 75% ขาดทุนจากการเทรด (อ้างอิงจาก CNMV)
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังเน้นย้ำให้นักลงทุนเลือกใช้บริการเฉพาะโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เชื่อถือได้ เช่น Financial Conduct Authority (FCA) ของอังกฤษ หรือ Cyprus Securities and Exchange Commission (CySEC) ของไซปรัส
การเลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตและถูกกำกับดูแลอย่างเข้มงวดจะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงและปกป้องเงินของนักลงทุน หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการเลือกโบรกเกอร์ที่ปลอดภัยแนะนำให้ศึกษาคู่มือฉบับสมบูรณ์
เปรียบเทียบ CFD กับการลงทุนในหุ้นโดยตรง
เพื่อให้เข้าใจความแตกต่างระหว่าง CFD และการลงทุนในหุ้นแบบดั้งเดิม ลองมาดูตารางเปรียบเทียบต่อไปนี้:
หัวข้อ
|
CFD
|
การลงทุนหุ้นโดยตรง
|
---|
ความเป็นเจ้าของ
|
ไม่ได้เป็นเจ้าของจริง
|
เป็นเจ้าของหุ้นจริง
|
---|
เลเวอเรจ
|
ใช้ได้ (1:5 ถึง 1:500)
|
ใช้ไม่ได้ (เว้นแต่ Margin Trading)
|
---|
Short Selling
|
ทำได้ง่าย
|
ซับซ้อน ต้องยืมหุ้น
|
---|
เงินปันผล
|
ได้รับการปรับปรุงเงินปันผล (Dividend Adjustment)
|
ได้รับเงินปันผลจริงตามสิทธิ
|
---|
ค่าธรรมเนียม
|
ไม่มีคอมมิชชั่น แต่มี Spread
|
มีค่าซื้อขาย ค่านายหน้า
|
---|
การกำกับดูแล
|
ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ต่างประเทศ
|
อยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต.
|
---|
เหมาะสำหรับ
|
นักเทรดระยะสั้น
|
นักลงทุนระยะยาว
|
---|
จากตารางจะเห็นได้ว่า CFD เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความยืดหยุ่นในการเทรด ในขณะที่การลงทุนหุ้นโดยตรงเหมาะกับผู้ที่มองหาผลตอบแทนระยะยาวและต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจจริงๆ
ข้อควรพิจารณาก่อนเริ่มเทรด CFD
ก่อนจะเริ่มเทรด CFD นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้อย่างรอบคอบ:
1. ความรู้และประสบการณ์ CFD เหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้ด้านการเงินและประสบการณ์การเทรดมาบ้างแล้ว มือใหม่ควรศึกษาให้ดีและฝึกใน Demo Account ก่อน
2. การจัดการความเสี่ยง ต้องมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจน กำหนด Stop Loss และไม่ลงทุนเกินความสามารถ
3. เลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้ เลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เชื่อถือได้ มีระบบรักษาความปลอดภัยเงินลูกค้า และมีรีวิวที่ดีจากผู้ใช้
4. เงินทุนที่พร้อมเสี่ยง ใช้เฉพาะเงินที่พร้อมจะเสียได้ ไม่ควรนำเงินค่าใช้จ่ายหรือเงินฉุกเฉินมาเทรด CFD
5. แผนการลงทุน มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน กำหนดเป้าหมายกำไร จุดขาดทุน และระยะเวลาการลงทุน
การเตรียมความพร้อมอย่างครบถ้วนจะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จและลดความเสี่ยงในการสูญเสีย
กลยุทธ์พื้นฐานสำหรับมือใหม่
สำหรับผู้ที่สนใจเริ่มต้นเทรด CFD แนะนำให้เริ่มจากกลยุทธ์พื้นฐานเหล่านี้:
1. เริ่มต้นด้วย Demo Account โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีบัญชีทดลองให้ฝึกเทรดด้วยเงินเสมือน ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ในการทำความเข้าใจกับระบบและทดสอบกลยุทธ์
2. เริ่มด้วยเลเวอเรจต่ำ มือใหม่ควรเริ่มด้วยเลเวอเรจไม่เกิน 1:10 เมื่อมีประสบการณ์แล้วค่อยปรับเพิ่มตามความเหมาะสม
3. ใช้ Stop Loss เสมอ กำหนดจุด Stop Loss ไว้ทุกครั้งที่เปิดสถานะ เพื่อจำกัดความเสียหายหากตลาดเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามคาดการณ์
4. เริ่มจากสินทรัพย์ที่คุ้นเคย เลือกเทรดสินทรัพย์ที่มีความรู้และติดตามข่าวสารอยู่แล้ว จะช่วยให้ตัดสินใจได้ดีกว่า
การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตารางสรุปกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงสำหรับมือใหม่ CFD
กลยุทธ์
|
คำอธิบาย
|
---|
ใช้ Stop Loss
|
กำหนดจุดตัดขาดทุนทุกครั้งที่เปิดสถานะ
|
---|
จำกัดเลเวอเรจ
|
เริ่มต้นด้วยอัตรา Leverage ต่ำ เช่น 1:5 หรือ 1:10
|
---|
ไม่ Overtrade
|
จำกัดจำนวนสถานะที่เปิดในเวลาเดียวกัน
|
---|
วางแผนเงินทุน
|
เทรดด้วยเงินที่ยอมรับความเสี่ยงได้ ไม่ใช้เงินสำรองฉุกเฉิน
|
---|
ฝึกเทรดใน Demo
|
ทดสอบกลยุทธ์ในบัญชีทดลองก่อนใช้เงินจริง
|
---|
สรุป: CFD เหมาะกับคุณหรือไม่?
CFD เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีทั้งโอกาสและความเสี่ยงสูง การตัดสินใจลงทุนใน CFD ต้องพิจารณาหลายปัจจัยอย่างรอบคอบ เราได้สรุปปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ไว้ให้คุณแล้ว สามารถเช็คความพร้อมตามลิสต์นี้ได้เลย
CFD เหมาะกับคุณหาก:
- คุณมีความรู้และประสบการณ์ด้านการเทรด
- คุณเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงจากเลเวอเรจ
- คุณมีเงินลงทุนที่เสียได้โดยไม่กระทบการดำรงชีวิต
- คุณต้องการความยืดหยุ่นในการเข้าถึงตลาดโลก
- คุณมีเป้าหมายการเทรดระยะสั้นถึงกลาง
ควรหลีกเลี่ยง CFD หาก:
- คุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่ยังขาดประสบการณ์
- คุณไม่สามารถรับความเสี่ยงสูงได้
- คุณต้องการการลงทุนแบบ Buy and Hold ระยะยาว
- คุณต้องการความมั่นคงและการคุ้มครองจากกฎหมาย
- คุณใช้เงินที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
สิ่งสำคัญที่สุดคือการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ฝึกฝนใน Demo Account และเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนเล็กน้อย การเทรด CFD ต้องใช้ความรู้ ระเบียบวินัย และการจัดการความเสี่ยงที่ดี
อย่าลืมคำเตือนจาก ก.ล.ต. ว่า CFD เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงสูง การเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและได้รับการกำกับดูแลอย่างเหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กับการมีความรู้ในการเทรด
สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับพื้นฐานการเทรดฟอเร็กซ์ในบทความ [Forex คืออะไร? พื้นฐานที่มือใหม่ควรรู้]
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CFD
CFD ผิดกฎหมายในไทยไหม?
การเทรด CFD ไม่ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่ ก.ล.ต. ไม่ได้ให้ใบอนุญาตโบรกเกอร์ CFD ในประเทศ นักลงทุนไทยที่ต้องการเทรด CFD จึงต้องใช้บริการโบรกเกอร์ต่างประเทศที่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เชื่อถือได้
CFD กับ Forex ต่างกันอย่างไร?
Forex เป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราโดยตรง ส่วน CFD เป็นสัญญาที่อ้างอิงกับราคาของสินทรัพย์ต่างๆ รวมถึง Forex ด้วย CFD จึงครอบคลุมกว่า Forex เพราะสามารถเทรดหุ้น ดัชนี และสินค้าโภคภัณฑ์ได้ด้วย
CFD เสี่ยงมากไหม?
CFD มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากใช้ระบบเลเวอเรจ ซึ่งขยายทั้งกำไรและขาดทุน สถิติแสดงว่านักลงทุน CFD ส่วนใหญ่ขาดทุน จึงเหมาะเฉพาะผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์เท่านั้น
ต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการเริ่มต้น?
เงินทุนขั้นต่ำขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละโบรกเกอร์ โดยทั่วไปเริ่มต้นได้ตั้งแต่ $100-500 (ประมาณ 3,000-15,000 บาท) แต่แนะนำให้มีเงินทุนที่เพียงพอต่อการจัดการความเสี่ยงอย่างน้อย $1,000 (ประมาณ 35,000 บาท)
มีวิธีฝึกก่อนใช้เงินจริงไหม?
มี Demo Account หรือบัญชีทดลองที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีให้บริการฟรี ช่วยให้ฝึกเทรดด้วยเงินเสมือนในสภาพตลาดจริง เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ก่อนลงเงินจริง