CFD ย่อมาจาก “Contract for Difference” หรือในภาษาไทยเรียกว่า “สัญญาซื้อขายส่วนต่าง” เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้นักเทรดสามารถเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาของสินทรัพย์ต่างๆ โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นจริง
การเทรด CFD กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักเทรดไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากความยืดหยุ่นและโอกาสในการทำกำไรที่หลากหลาย
หลายคนยังไม่เข้าใจว่า CFD คืออะไร และทำงานอย่างไร บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงรายละเอียดสำคัญที่ควรรู้ก่อนเริ่มเทรด รวมถึงความเสี่ยงและกฎระเบียบในประเทศไทยที่ ก.ล.ต. ได้ให้คำแนะนำ
CFD ย่อมาจากอะไร? คำตอบที่ชัดเจนที่สุด
CFD ย่อมาจาก “Contract for Difference” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “สัญญาซื้อขายส่วนต่าง” เป็นข้อตกลงทางการเงินระหว่างนักเทรดและโบรกเกอร์ที่จะชำระเงินตามผลต่างของราคาสินทรัพย์อ้างอิงระหว่างจุดเปิดและปิดสัญญา
ความแตกต่างสำคัญของ CFD คือคุณไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง แต่เพียงแค่เก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา ทำให้สามารถเทรดได้ทั้งในตลาดขาขึ้น (Long) และตลาดขาลง (Short) ได้อย่างง่ายดาย
สิ่งที่ทำให้ CFD น่าสนใจคือการใช้เลเวอเรจ ที่ช่วยเพิ่มขนาดการเทรดด้วยเงินทุนที่น้อยกว่า แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นตามไปด้วย นักเทรดต้องเข้าใจกลไกนี้อย่างถ้วนถี่ก่อนเริ่มเทรดจริง
กลไกการทำงานของ CFD: เทรดได้อย่างไร?
สินทรัพย์อ้างอิงที่เทรดได้
CFD ครอบคลุมสินทรัพย์อ้างอิงหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในตลาดทั่วโลก, ดัชนีหุ้นอย่าง SET50 หรือ S&P 500, สกุลเงิน (Forex), สินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำและน้ำมัน, รวมถึง Cryptocurrency ต่างๆ
ความหลากหลายนี้ทำให้นักเทรดสามารถกระจายความเสี่ยงและใช้กลยุทธ์การเทรดที่แตกต่างกันได้ในแพลตฟอร์มเดียว โดยไม่ต้องเปิดบัญชีกับหลายโบรกเกอร์
Long (Buy) กับ Short (Sell) Position
การเทรด CFD ให้ความยืดหยุ่นในการเลือกทิศทางการเทรด หากคุณคาดว่าราคาจะขึ้น ให้เปิด Long Position (ซื้อ) แต่หากคาดว่าราคาจะลง สามารถเปิด Short Position (ขาย) ได้ทันที
ตัวอย่างเช่น หากคุณเชื่อว่าหุ้น PTT จะลดลง คุณสามารถเปิด Short Position บน PTT CFD และทำกำไรเมื่อราคาลดลงจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในการซื้อหุ้นจริง
เลเวอเรจและมาร์จิ้น: หัวใจสำคัญของ CFD
เลเวอเรจคือการยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มขนาดการเทรด ตัวอย่างเช่น หากใช้เลเวอเรจ 1:10 คุณสามารถเทรดมูลค่า 100,000 บาท ด้วยเงินทุนเพียง 10,000 บาท
มาร์จิ้นคือจำนวนเงินที่ต้องวางเป็นประกัน สำหรับเลเวอเรจ 1:10 มาร์จิ้นจะอยู่ที่ 10% ของมูลค่าการเทรด การคำนวณกำไรขาดทุนจะคิดจากมูลค่าเต็ม ไม่ใช่จากเงินมาร์จิ้น
สมมติคุณเทรด EUR/USD มูลค่า $10,000 ด้วยเลเวอเรจ 1:10 คุณต้องวางมาร์จิ้น $1,000 หากราคาเพิ่มขึ้น 1% คุณได้กำไร $100 (10% ของเงินมาร์จิ้น) แต่หากราคาลดลง 1% คุณขาดทุน $100 เช่นกัน
- ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ [เลเวอเรจ (Leverage) คืออะไร?] ได้ที่นี่
ตัวอย่างการเทรด CFD แบบเป็นขั้นตอน
มาดูตัวอย่างการเทรด CFD บนดัชนี SET50 กัน สมมติคุณคิดว่าตลาดหุ้นไทยจะขึ้น
ขั้นตอนที่ 1: วิเคราะห์และตัดสินใจเปิด Long Position บน SET50 CFD ที่ราคา 1,000 จุด มูลค่า 100,000 บาท
ขั้นตอนที่ 2: ใช้เลเวอเรจ 1:20 จึงต้องวางมาร์จิ้น 5,000 บาท (5% ของมูลค่า)
ขั้นตอนที่ 3: ตั้ง Stop Loss ที่ 980 จุด (ขาดทุน 2,000 บาท) และ Take Profit ที่ 1,040 จุด (กำไร 4,000 บาท)
ผลลัพธ์: หากราคาขึ้นไปแตะ Take Profit คุณได้กำไร 4,000 บาท คิดเป็น 80% ของเงินมาร์จิ้น แต่หากราคาลงแตะ Stop Loss คุณขาดทุน 2,000 บาท คิดเป็น 40% ของเงินมาร์จิ้น
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงพลังของเลเวอเรจที่สามารถเพิ่มทั้งกำไรและขาดทุนได้อย่างชัดเจน
ข้อดีและข้อเสียของการเทรด CFD
ข้อดีที่โดดเด่น
การเทรด CFD มีจุดแข็งหลายประการที่ดึงดูดนักเทรด ข้อดีแรกคือการเข้าถึงตลาดโลกได้ง่าย คุณสามารถเทรดหุ้นอเมริกัน, ยุโรป, เอเชีย รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์จากทั่วโลกในแพลตฟอร์มเดียว
ความสามารถในการเปิด Short Position ทำให้สามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่มีประโยชน์ในช่วงตลาดผันผวนหรือมีแนวโน้มลดลง
เลเวอเรจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินทุน ทำให้สามารถเทรดมูลค่าสูงด้วยเงินทุนที่น้อยกว่า เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีเงินทุนจำกัดแต่ต้องการโอกาสทำกำไรที่มากขึ้น
ข้อเสียที่ต้องระวัง
ความเสี่ยงจากการใช้เลเวอเรจเป็นจุดอ่อนหลักของ CFD เนื่องจากทั้งกำไรและขาดทุนจะถูกขยายตามอัตราเลเวอเรจ อาจทำให้เกิดการขาดทุนเกินเงินทุนเริ่มต้นได้
ค่าใช้จ่าย Overnight Financing เป็นอีกปัจจัยสำคัญ หากถือ Position ข้ามคืน จะมีค่าดوकเบี้ยที่อาจกัดกินกำไรในระยะยาว โดยเฉพาะการเทรดแบบ Swing Trading
การเทรด CFD ต้องพึ่งพาความเชื่อถือได้ของโบรกเกอร์ หากโบรกเกอร์มีปัญหาทางการเงินหรือการควบคุมไม่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อเงินทุนของนักเทรด
ตารางเพิ่มเติม: ค่าใช้จ่ายในการเทรด CFD
ประเภทค่าใช้จ่าย
|
รายละเอียด
|
หมายเหตุ
|
---|
Spread
|
ส่วนต่างราคาซื้อขาย (Bid-Ask spread)
|
เป็นค่าใช้จ่ายหลักสำหรับเทรด CFD
|
---|
ค่า Overnight Financing
|
ค่าดอกเบี้ยข้ามคืน (Swap Fee)
|
คิดตามขนาดและระยะเวลาถือสถานะข้ามคืน
|
---|
ค่าคอมมิชชั่น
|
ค่าธรรมเนียมแบบเปอร์เซ็นต์หรือคงที่ (บางโบรกเกอร์)
|
มักใช้กับ CFD หุ้น
|
---|
ค่าธรรมเนียมถอนเงิน
|
ค่าธรรมเนียมสำหรับถอนเงิน (ถ้ามี)
|
ขึ้นอยู่กับนโยบายแต่ละโบรกเกอร์
|
---|
เปรียบเทียบ: เทรด CFD กับการซื้อหุ้นจริง
หัวข้อเปรียบเทียบ
|
CFD Trading
|
การซื้อหุ้นจริง
|
---|
ความเป็นเจ้าของ
|
ไม่เป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง
|
เป็นเจ้าของหุ้นจริง มีสิทธิออกเสียง
|
---|
เลเวอเรจ
|
ใช้ได้ สูงสุด 1:30 ในบางตลาด
|
ไม่มี (ต้องใช้เงินเต็มจำนวน)
|
---|
Short Selling
|
ทำได้ง่าย ไม่มีข้อจำกัด
|
มีข้อจำกัด ต้องยืมหุ้น
|
---|
ค่าใช้จ่าย
|
Spread + Overnight Fee
|
Commission + Stamp Duty
|
---|
การรับเงินปันผล
|
ได้รับ Dividend Adjustment
|
ได้รับเงินปันผลจริง
|
---|
การเข้าถึงตลาด
|
ตลาดโลก ใน Platform เดียว
|
จำกัดตามโบรกเกอร์แต่ละราย
|
---|
ความเสี่ยง
|
สูง (เนื่องจากเลเวอเรจ)
|
ปานกลาง (ตามมูลค่าลงทุน)
|
---|
ตารางเปรียบเทียบนี้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองวิธีมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และกลยุทธ์การลงทุนของแต่ละคน
ความเสี่ยงและกฎระเบียบในประเทศไทย
การเทรด CFD เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ได้ออกคำเตือนหลายครั้งเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการเทรดผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีเลเวอเรจสูง สถิติแสดงว่านักเทรด CFD กว่า 70-80% ขาดทุนจากการเทรด
ในประเทศไทย ยังไม่มีใบอนุญาตเฉพาะสำหรับโบรกเกอร์ CFD จึงต้องเลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการควบคุมจากหน่วยงานกำกับดูแลที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ เช่น FCA (สหราชอาณาจักร), CySEC (ไซปรัส), หรือ ASIC (ออสเตรเลีย) การตรวจสอบใบอนุญาตสามารถทำได้ผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานกำกับดูแลแต่ละประเทศ
การเลือกโบรกเกอร์ที่ถูกต้องตามกฎหมายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เนื่องจากจะช่วยปกป้องเงินทุนของนักเทรดและให้ความคุ้มครองในกรณีที่เกิดข้อพิพาท นักเทรดควรตรวจสอบใบอนุญาต อ่านข้อกำหนดการใช้บริการอย่างละเอียด และดูว่าโบรกเกอร์มีการแยกเงินลูกค้าออกจากเงินของบริษัทหรือไม่
นอกจากนี้ ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับภาษีจากการเทรด CFD เนื่องจากกำไรจากการเทรดอาจต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามกฎหมายไทย โดยเฉพาะหากมีกำไรสูงหรือเทรดเป็นอาชีพหลัก แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อความถูกต้องและหลีกเลี่ยงปัญหาตามมา
สำหรับนักเทรดที่พบโบรกเกอร์ผิดกฎหมายหรือถูกโกง สามารถแจ้งเบาะแสต่อ ก.ล.ต. ผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตกเป็นเหยื่อ
กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงสำหรับนักเทรด CFD
การบริหารความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญของการเทรด CFD ที่ประสบความสำเร็จ กฎข้อแรกคือไม่ควรเสี่ยงเงินทุนเกิน 2-3% ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง แม้จะใช้เลเวอเรจ ก็ต้องคำนวณให้ขาดทุนสูงสุดไม่เกินร้อยละนี้
การใช้ Stop Loss เป็นเครื่องมือป้องกันที่จำเป็น ควรตั้ง Stop Loss ทุกครั้งก่อนเปิด Position และไม่ควรเลื่อน Stop Loss ในทิศทางที่เพิ่มความเสี่ยง การมีระเบียบวินัยในการใช้ Stop Loss จะช่วยรักษาเงินทุนไว้ในระยะยาว
การกระจายความเสี่ยงโดยไม่เทรดสินทรัพย์ประเภทเดียวหรือภูมิภาคเดียวเท่านั้น จะช่วยลดผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การเทรดทั้งหุ้น, Forex, และ Commodity ในสัดส่วนที่เหมาะสม
เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มการเทรด CFD
แพลตฟอร์มการเทรดที่ดีเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการเทรด CFD ที่มีประสิทธิภาพ แพลตฟอร์มยุคใหม่มักมี Real-time Chart, เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค และระบบการจัดการคำสั่งซื้อขายที่รวดเร็ว
ฟีเจอร์ Risk Management Tools อย่าง Guaranteed Stop Loss, Trailing Stop และ Take Profit ช่วยให้นักเทรดสามารถควบคุมความเสี่ยงได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อไม่สามารถติดตามตลาดตลอดเวลา
การเข้าถึงข่าวสารและการวิเคราะห์ตลาดแบบ Real-time ภายในแพลตฟอร์ม จะช่วยให้การตัดสินใจเทรดมีข้อมูลประกอบที่ครบถ้วนและทันเหตุการณ์มากขึ้น
เทคนิคการวิเคราะห์สำหรับการเทรด CFD
การวิเคราะห์ที่ถูกต้องเป็นรากฐานสำคัญของการเทรด CFD ที่ประสบความสำเร็จ นักเทรดส่วนใหญ่ใช้การวิเคราะห์ 2 แบบหลักคือ Technical Analysis และ Fundamental Analysis
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เป็นการศึกษาจากรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต เพื่อทำนายทิศทางในอนาคต เครื่องมือที่นิยมใช้ได้แก่ Moving Average, RSI, MACD, และ Bollinger Bands การเข้าใจ Support และ Resistance Level จะช่วยให้การตั้ง Entry Point และ Exit Point มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis) เน้นการศึกษาปัจจัยเศรษฐกิจ การเมือง และข่าวสารที่อาจส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ สำหรับการเทรด Forex CFD ต้องติดตามข้อมูลอย่างอัตราดอกเบี้ย, GDP, อัตราเงินเฟ้อ และนโยบายธนาคารกลางของประเทศต่างๆ
การรวมทั้งสองวิธีวิเคราะห์จะให้ภาพรวมที่ชัดเจนมากขึ้น เช่น ใช้ Fundamental Analysis เพื่อกำหนดทิศทางใหญ่ของตลาด แล้วใช้ Technical Analysis เพื่อหาจังหวะเข้าและออกที่เหมาะสม
ข้อผิดพลาดที่นักเทรด CFD มักทำ
นักเทรด CFD มือใหม่มักเผชิญกับข้อผิดพลาดที่คล้ายกัน การเข้าใจข้อผิดพลาดเหล่านี้จะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
- เลเวอเรจสูงเกินไป – ข้อผิดพลาดอันดับแรกคือการใช้เลเวอเรจสูงเกินไป หลายคนคิดว่าเลเวอเรจสูงจะช่วยเพิ่มกำไร แต่จริงๆ แล้วยังเพิ่มความเสี่ยงด้วย การเริ่มต้นด้วยเลเวอเรจต่ำและเพิ่มขึ้นเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นจะปลอดภัยกว่า
- ไม่ใช้ Stop Loss – การไม่ใช้ Stop Loss หรือใช้ไม่สม่ำเสมอเป็นอีกปัญหาใหญ่ บางครั้งนักเทรดคิดว่าตลาดจะกลับมาในทิศทางที่คาดหวัง จึงไม่ตัด Loss หรือเลื่อน Stop Loss ออกไป พฤติกรรมนี้มักนำไปสู่การขาดทุนใหญ่
- การเทรดตามอารมณ์ – การเทรดตามอารมณ์แทนที่จะเทรดตามแผน เป็นสิ่งที่เห็นได้บ่อย เมื่อได้กำไรก็โลภอยากได้มากกว่า เมื่อขาดทุนก็พยายามเทรดเพื่อเอาคืน การมีแผนการเทรดที่ชัดเจนและยึดมั่นในแผนนั้นเป็นสิ่งจำเป็น
- การขาดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง – ตลาดการเงินเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลในอดีตอาจไม่ได้ผลในปัจจุบัน นักเทรดที่ประสบความสำเร็จจะพัฒนาทักษะและปรับแผลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอ
ตลาด CFD กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีนักเทรดรายย่อยเพิ่มขึ้นจากการเข้าถึงเทคโนโลยีและการศึกษาที่ดีขึ้น ประเทศอย่างไทย สิงคโปร์ และมาเลเซียมีนักเทรด CFD เพิ่มขึ้นกว่า 40% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
การพัฒนา Artificial Intelligence และ Machine Learning ในแพลตฟอร์มเทรดช่วยให้นักเทรดสามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงระบบ Automated Trading ที่ช่วยลดอารมณ์ในการตัดสินใจเทรด เทคโนโลยี Copy Trading ที่ให้นักเทรดมือใหม่สามารถคัดลอกกลยุทธ์จากเทรดเดอร์มืออาชีพได้ก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
การควบคุมดูแลที่เข้มงวดขึ้นในหลายประเทศกำลังสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักเทรด แต่ก็อาจทำให้เงื่อนไขการเทรดเปลี่ยนแปลง เช่น การจำกัดเลเวอเรจสูงสุดที่ 1:30 สำหรับคู่สกุลเงินหลัก หรือการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โบรกเกอร์หลายรายจึงต้องปรับแผลตฟอร์มและบริการให้สอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่
แนวโน้มใหม่ที่น่าติดตามคือการรวม Social Trading เข้ากับแพลตฟอร์ม CFD ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรียนรู้จากกันได้ รวมถึงการเพิ่มสินทรัพย์ใหม่อย่าง NFT และ Metaverse Token ที่เริ่มมีให้เทรดในรูปแบบ CFD มากขึ้น
สรุป: เริ่มต้นเทรด CFD อย่างปลอดภัย
CFD ย่อมาจาก “Contract for Difference” หรือสัญญาซื้อขายส่วนต่าง เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ให้ความยืดหยุ่นสูงในการเทรด แต่มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องจัดการอย่างระมัดระวัง
การเทรด CFD ที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการเตรียมตัวที่ดี การศึกษาอย่างต่อเนื่อง และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เริ่มต้นด้วยการทดลองเทรดใน Demo Account ก่อน จากนั้นค่อยเปลี่ยนไปใช้เงินจริงเมื่อมีความมั่นใจแล้ว
ที่สำคัญที่สุดคือการเลือกโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการควบคุมจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เหมาะสม การมีแผนการเทรดที่ชัดเจนและยึดมั่นในระเบียบวินัยจะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในระยะยาว
จำไว้เสมอว่าการเทรด CFD เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ไม่ควรใช้เงินที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และควรศึกษาให้เข้าใจอย่างถ้วนถี่ก่อนเริ่มเทรดจริง
FAQ – คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CFD
CFD ย่อมาจากอะไร และแตกต่างจากการซื้อหุ้นจริงอย่างไร
CFD ย่อมาจาก Contract for Difference หรือสัญญาซื้อขายส่วนต่าง ซึ่งแตกต่างจากการซื้อหุ้นจริงตรงที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง แต่เก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาเท่านั้น คุณสามารถใช้เลเวอเรจและเปิด Short Position ได้ง่ายกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงสูงกว่าการซื้อหุ้นจริง
การเทรด CFD ผิดกฎหมายในไทยหรือไม่
การเทรด CFD ไม่ผิดกฎหมายในไทย แต่ต้องเลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการควบคุมจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เชื่อถือได้ เช่น FCA, CySEC หรือ ASIC เนื่องจากไทยยังไม่มีใบอนุญาตเฉพาะสำหรับโบรกเกอร์ CFD ก.ล.ต. แนะนำให้ศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงอย่างละเอียดก่อนเริ่มเทรด
เงินทุนขั้นต่ำในการเริ่มเทรด CFD เท่าไหร่
เงินทุนขั้นต่ำขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์แต่ละราย โดยทั่วไปอยู่ในช่วง 100-500 ดอลลาร์สหรัฐ แต่แนะนำให้มีเงินทุนอย่างน้อย 1,000-2,000 ดอลลาร์เพื่อการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และไม่ควรใช้เงินที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตมาเทรด
CFD เทรดได้กี่โมงต่อวัน
CFD สามารถเทรดได้เกือบ 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ โดยเวลาเทรดจะแตกต่างกันไปตามประเภทสินทรัพย์ เช่น Forex เทรดได้ตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนหุ้นจะเทรดตามเวลาเปิด-ปิดตลาดของแต่ละประเทศ
ควรเลือกโบรกเกอร์ CFD อย่างไร
ควรเลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เชื่อถือได้ มี Spread และค่าคอมมิชชั่นที่แข่งขันได้ แพลตฟอร์มใช้งานง่ายและเสถียร มีการคุ้มครองเงินลูกค้า และมีทีมสนับสนุนที่ให้บริการเป็นภาษาไทย
การอ่าน Review จากนักเทรดคนอื่นและทดลองใช้ Demo Account ก่อนเปิดบัญชีจริงเป็นสิ่งที่แนะนำ นอกจากนี้ควรดูว่าโบรกเกอร์มีการแยกเงินลูกค้าจากเงินบริษัท (Segregated Account) และมี Investor Protection Fund หรือไม่