ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์หลากแนวทาง หนึ่งในกลยุทธ์ที่คงความน่าสนใจและถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำอีกคือ Carry Trade โดยเฉพาะในตลาดฟอเร็กซ์ ที่เปิดช่องทางให้นักลงทุนสามารถแสวงหาผลตอบแทนจากการใช้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสกุลเงินสองประเทศ บทความนี้จะพาคุณเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า Carry Trade คืออะไร กลไกการทำงานเป็นอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างกรณีศึกษาเชิงประวัติศาสตร์อย่าง Yen Carry Trade ที่สะท้อนทั้งโอกาสและภัยร้ายของกลยุทธ์นี้ รวมถึงให้คำแนะนำสำหรับมือใหม่ที่อยากลองเดินเส้นทางนี้ พร้อมเตือนถึง ความเสี่ยงในการลงทุน ที่ไม่ควรมองข้าม

แม้ Carry Trade จะฟังดูเหมือนกลยุทธ์ง่าย ๆ ที่เน้นเก็บผลต่างดอกเบี้ย แต่ความสำเร็จของมันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ต้องอาศัยความเข้าใจในสภาพเศรษฐกิจโลก นโยบายการเงินของธนาคารกลาง และการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างมืออาชีพ
Carry Trade คืออะไร? เข้าใจง่ายใน 5 นาที
Carry Trade คือ กลยุทธ์การลงทุนที่ทำกำไรจากการ “ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย” โดยนักลงทุนจะกู้สกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ (Funding Currency) แล้วนำเงินจำนวนนั้นไปลงทุนในสินทรัพย์หรือสกุลเงินอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า (Asset Currency)
กำไรจากการทำ Carry Trade เกิดขึ้นในลักษณะ “เงินปันผลรายวัน” ซึ่งนักลงทุนจะได้รับในทุกคืนที่ถือสถานะข้ามวัน (overnight) ผ่านสิ่งที่เรียกว่า Rollover หรือ Swap อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างมั่นคงก็ต่อเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินทั้งสองไม่ผันผวโนรุนแรง หรือแม้แต่ขยับไปในทิศทางที่เอื้อต่อการลงทุน
ลองนึกภาพสถานการณ์หนึ่ง: หากคุณสามารถกู้เงินบาทในอัตราดอกเบี้ยเพียง 2% ต่อปี แล้วนำเงินนั้นไปแลกเป็นดอลลาร์สหรัฐเพื่อฝากไว้ในประเทศที่ให้ผลตอบแทน 5% ต่อปี คุณจะได้รับส่วนต่างดอกเบี้ย 3% ต่อปี ซึ่งเป็นกำไรที่ “แทบไม่ต้องทำอะไร” แต่ต้องจำไว้ว่า หากค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงหรือบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนต่างที่คุณได้รับอาจหายไปหรือกลายเป็นขาดทุนก็ได้

กลไกการทำงานของ Carry Trade ทีละขั้นตอน
การทำ Carry Trade ไม่ใช่แค่เปิดออร์เดอร์ตามสัญชาตญาณ แต่ต้องมีขั้นตอนที่เป็นระบบและพิจารณาปัจจัยพื้นฐานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน
ขั้นตอนที่ 1: การเลือกคู่สกุลเงิน (Funding & Asset Currency)
สิ่งสำคัญที่สุดคือการค้นหาสกุลเงินคู่ที่มี “ช่องว่าง” ของอัตราดอกเบี้ยมากที่สุด โดยสกุลเงินที่ใช้กู้ยืมควรเป็นสกุลเงินที่ประเทศนั้นมีเงินบาทหรือมีนโยบายการเงินผ่อนคลาย (ผู้ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำ) ส่วนสกุลเงินปลายทางควรมาจากประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มที่ธนาคารกลางจะขยับดอกเบี้ยขึ้น นักลงทุนจำเป็นต้องติดตามกำหนดการประชุมและการแถลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed), ธนาคารกลางยุโรป (ECB), และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อย่างใกล้ชิด
ขั้นตอนที่ 2: การเปิดสถานะ (Short Funding Currency, Long Asset Currency)
หลังจากกำหนดคู่สกุลเงินแล้ว นักลงทุนจะเปิดสถานะในตลาดโดยการ ขายสกุลเงินที่ต้นทุนต่ำ (Short) และ ซื้อสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูง (Long) ตัวอย่างเช่น คู่ AUD/JPY ที่เป็นที่นิยมสูง เพราะญี่ปุ่น (JPY) มีดอกเบี้ยต่ำมาโดยตลอด ในขณะที่ออสเตรเลีย (AUD) มักมีดอกเบี้ยสูงกว่าและขึ้นกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ การเปิด Long AUD/JPY จึงเป็นการเดิมพันว่า ออสเตรเลียจะรักษานโยบายดอกเบี้ยสูงไว้ และญี่ปุ่นไม่เร่งขยับดอกเบี้ยขึ้น
ขั้นตอนที่ 3: การรับผลตอบแทน (Rollover/Swap)
ทุกคืนที่คุณถือสถานะข้ามวัน โบรกเกอร์จะคำนวณและตัดสินใจว่าคุณจะได้รับหรือเสีย “Swap” ขึ้นอยู่กับส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยของคู่นั้น สำหรับนักลงทุนที่เปิด Long ตัวที่ให้ผลตอบแทนสูง พวกเขามักได้รับรายได้จาก Swap ในแต่ละวัน ซึ่งในช่วงยาว ๆ อาจรวมเป็นจำนวนที่น่าสนใจ
ขั้นตอนที่ 4: การปิดสถานะ และปัจจัยที่ต้องพิจารณา
การปิดสถานะ Carry Trade ควรทำเมื่อเห็นว่าสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป เช่น เมื่อธนาคารกลางญี่ปุ่นเริ่มส่งสัญญาณปรับดอกเบี้ยขึ้น หรือเมื่อสกุลเงิน AUD เริ่มมีแนวโน้มอ่อนตัว การตัดสินใจปิดสถานะจึงไม่ควรพิจารณาแค่ “ดอกเบี้ยที่ได้” เท่านั้น แต่ต้องประเมิน “ผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน” ด้วย หากไม่ทำ การขาดทุนอาจมากกว่าที่คิดไว้

ข้อดี vs. ความเสี่ยงของ Carry Trade ที่ต้องรู้
เช่นเดียวกับ กลยุทธ์เทรด Forex อื่น ๆ Carry Trade ก็มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนที่จำเป็นต้องเข้าใจอย่างชัดเจน
ข้อดี
- ให้ผลตอบแทนที่ต่อเนื่อง: ตราบใดที่ถือสถานะ นักลงทุนจะได้รับกระแสเงินสดเข้าพอร์ตจาก Swap ทุกวัน เหมาะกับคนที่ต้องการ “ผลตอบแทนระยะยาว” โดยไม่ต้องเข้าออร์เดอร์บ่อย
- หลักการเรียบง่าย: เข้าใจได้ง่าย ทำให้มือใหม่เริ่มต้นเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนได้เร็ว
- ทำงานได้ดีในช่วงตลาดมีเสถียรภาพ: ในยุคที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่น (Risk-on) เช่น ช่วงเศรษฐกิจเติบโต มีการขยับไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง สกุลเงินที่ให้ดอกเบี้ยสูงอย่าง AUD, NZD มักแข็งค่า ส่งผลให้ Carry Trader ได้ผลกำไรมากกว่าหนึ่งทาง
ความเสี่ยง
- ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate Risk): หากสกุลเงินที่ใช้กู้ยืมเกิดแข็งค่าขึ้นอย่างรุนแรง (เช่น JPY กลับมาแรง) ส่วนต่างดอกเบี้ยที่สะสมไว้หลายเดือนอาจหายไปในไม่กี่วัน
- การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน: ทันใดหากธนาคารกลางของประเทศที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงเริ่มลดดอกเบี้ย หรือของประเทศที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกลับมาขึ้นดอกเบี้ย ส่วนต่างจะแคบลง โดยอาจทำให้การเทรดขาดทุน
- การใช้ Leverage สูงเกินไป: แม้ว่าจะสามารถใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มกำไรจาก Swap ได้ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงอย่างมหาศาล เพราะการขยับเพียง 1-2% ของอัตราแลกเปลี่ยนอาจทำให้พอร์ตล้มระนาว

กรณีศึกษา: Yen Carry Trade บทเรียนที่โลกต้องจดจำ
หากพูดถึง Carry Trade การยกตัวอย่าง “Yen Carry Trade” เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะนี่คือหนึ่งในปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก
Yen Carry Trade คืออะไร
Yen Carry Trade คือการใช้เงินเยน (JPY) เป็นสกุลเงินที่ใช้กู้ยืมหรือ “แหล่งเงินทุน” เนื่องจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) รักษานโยบายดอกเบี้ยต่ำมาหลายทศวรรษ ทำให้นักลงทุนทั่วโลกสามารถเข้าถึงเงินเยนในต้นทุนที่ถูกได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่กู้ JPY แล้วนำเงินไปซื้อสินทรัพย์รูปแบบต่าง ๆ เช่น กองทุนหุ้นต่างประเทศ หรือสกุลเงินที่ให้ดอกเบี้ยสูงอย่าง AUD และ NZD กลยุทธ์นี้จึงกลายเป็น “ขาประจำ” ในหมู่นักลงทุนสถาบัน
เพิ่มเติม: ตั้งแต่ช่วงปี 1990 เป็นต้นมา เยนกลายเป็น Funding Currency ยอดนิยมไม่ใช่แค่เพราะดอกเบี้ยต่ำ แต่ยังเพราะตลาดการเงินญี่ปุ่นมีสภาพคล่องสูง สามารถกู้ยืมได้ไม่จำกัด นอกจากนี้ วัฒนธรรมการเก็บออมของคนญี่ปุ่นยังทำให้เงินเยนมี “เสบียง” สะสมมากในระบบ เหมาะสำหรับการปล่อยให้คนทั่วโลกยืมไปใช้
จุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่
กลยุทธ์นี้กลายเป็นที่นิยมสูงสุดในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ถึงก่อนวิกฤตfinancial crisis ปี 2008 เศรษฐกิจโลกเติบโตอย่างรวดเร็ว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทะยานสูง ทำให้สกุลเงินของประเทศผลิตสินค้าอย่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้รับความสนใจมาก นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าญี่ปุ่นมาก ทำให้การ “ยืม JPY ไปซื้อ AUD หรือ NZD” เป็นหนทางที่ให้ทั้งผลตอบแทนจากดอกเบี้ยและผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ในช่วงเวลาเหล่านั้น ค่าเงินเยนค่อย ๆ อ่อนตัวลงขณะที่ AUD ยืนเหนือระดับ 90 เซนต์ต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นภาพสวยของการทำงานร่วมกันระหว่างนโยบายเงินต่ำกับความเชื่อมั่นในตลาด
บทเรียนจากวิกฤตซับไพรม์
เมื่อมหาวิกฤตต้มยำกุ้ง (ซับไพรม์) ปะทุในปี 2008 ทุกอย่างกลับด้านทันที ความเชื่อมั่นในระบบการเงินล่มสลาย นักลงทุนทั่วโลกเริ่มเทขายสินทรัพย์เสี่ยงและรีบเคลียร์หนี้ที่กู้ไว้ด้วยเงินเยน เหตุการณ์นี้เรียกว่า “Unwinding of Yen Carry Trade” ซึ่งส่งผลให้เยนพุ่งแข็งค่าขึ้นอย่างเฉียบพลัน นักลงทุนที่ถือ Long AUD/JPY หรือ NZD/JPY ต่างขาดทุนหนัก และหลายคนล้มละลายในไม่กี่สัปันห์ ข้อมูลจาก Federal Reserve Bank of San Francisco ชี้ให้เห็นว่า การไหลกลับของเงินเยนทำให้แรงเทขายในสกุลเงินเกิดใหม่เกิดขึ้นทั่วโลก เป็นเครื่องเตือนใจว่า ผลตอบแทนที่ได้มามาย อาจหายไปในพริบตาหากไม่ได้เตรียมตัวรับความเสี่ยง

วิธีเริ่มต้นและเลือกคู่สกุลเงินสำหรับ Carry Trade
สำหรับมือใหม่ที่อยากลองกลยุทธ์นี้ ควรเริ่มจากการศึกษาและวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ควรกระโดดเข้าตลาดโดยใช้เพียง “ความอยากได้ดอกเบี้ยสูง”
ปัจจัยที่ต้องพิจารณา
- ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ: ควรเลือกสกุลเงินจากประเทศที่มีฐานะเศรษฐกิจแข็งแรง หนี้สาธารณะไม่พุ่งสูง และมีการเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะความอ่อนแอทางเศรษฐกิจจะนำไปสู่การปรับลดดอกเบี้ยหรือความผันผวนของค่าเงิน
- แนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลาง: ข้อมูลจากประชุมธนาคารกลาง เช่น Fed, BOJ หรือ RBA เป็นสิ่งสำคัญ ควรติดตามคำพูดของผู้ว่าฯ และรายงานเศรษฐกิจเพื่อดูว่า “การขึ้น-ลงดอกเบี้ย” มีแนวโน้มหรือไม่ แหล่งข้อมูลอย่าง Trading Economics สามารถช่วยให้เห็นภาพรวมของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกได้รวดเร็ว
- สภาพคล่องของคู่สกุลเงิน: ให้เลือกเฉพาะคู่สกุลเงินที่มีปริมาณการซื้อขายสูง เช่น Major Pairs เพื่อให้ Spread ต่ำ และสามารถเปิดหรือปิดตำแหน่งได้ทันที โดยไม่ติดกับดักความผันผวนของราคา
ตัวอย่างคู่สกุลเงินยอดนิยม
- AUD/JPY: เป็นหนึ่งในคู่สกุลเงินที่ใช้กันมากสุดใน Carry Trade โดยเฉพาะเมื่อออสเตรเลียมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อ และญี่ปุ่นยังคงยืนยันแนวโน้มเพอร์มาแนนต์ลอว์เยลด์
- NZD/JPY: เช่นเดียวกับ AUD/JPY ประเทศนิวซีแลนด์มีนโยบายดอกเบี้ยตึงตัวในหลายช่วง ทำให้เป็น Asset Currency ที่ดึงดูดนักลงทุน
- USD/CHF: แม้ฟรังก์สวิสจะถือเป็น Safe Haven การจะทำ Carry Trade ได้อาจต้องเกิดในช่วงที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ย และธนาคารกลางสวิสฯ ยังคงหยุดนิ่ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดไม่บ่อยนัก แต่ก็พอใช้ได้ในบางภาวะ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Carry Trade (FAQ)
Carry Trade คืออะไร?
Carry Trade คือกลยุทธ์การลงทุนที่ทำกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย โดยการกู้สกุลเงินที่มีต้นทุนต่ำ (Funding Currency) แล้วนำเงินไปลงทุนในสกุลเงินหรือสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า (Asset Currency)
เยน carry trade คืออะไร?
เยน carry trade คือการใช้เงินเยน (JPY) เป็นสกุลเงินที่ใช้กู้ยืม เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในญี่ปุ่นต่ำมานานหลายทศวรรษ นักลงทุนจึงนำเงินเยนไปลงทุนในสกุลเงินอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือดอลลาร์นิวซีแลนด์ เพื่อรับผลต่างดอกเบี้ยและผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
ความเสี่ยงหลักของ Carry Trade คืออะไร?
ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดคือความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน หากสกุลเงินที่กู้ยืมมา (เช่น JPY) แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือสกุลเงินปลายทางอ่อนค่าลง ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจะกลบกำไรจากดอกเบี้ยทันที โดยเฉพาะเมื่อใช้ Leverage สูง
Copy Trade คืออะไร?
Copy Trade คือกลยุทธ์การลงทุนที่ให้คุณคัดลอกคำสั่งซื้อขายของเทรดเดอร์คนอื่นโดยอัตโนมัติ ซึ่งต่างจาก Carry Trade ที่เน้นส่วนต่างดอกเบี้ย โดยทั่วไปเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้หรือทำตามนักเทรดมืออาชีพ
Margin Trade คืออะไร?
Margin Trade คือการซื้อขายโดยใช้เงินประกันหรือเงินกู้จากโบรกเกอร์ (Leverage) เพื่อเพิ่มขนาดคำสั่งให้ใหญ่กว่าเงินในบัญชีจริง แม้ Carry Trade มักใช้มาร์จินเพื่อเปิดสถานะ แต่ Margin Trade เป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่กลยุทธ์การลงทุน