บทนำ – Carry Trade คือ อะไร?
Carry Trade คือ กลยุทธ์การเทรดฟอเร็กซ์ที่นักเทรดใช้ประโยชน์จากส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสองประเทศ โดยการกู้เงินจากประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ แล้วนำไปลงทุนในประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า
กลยุทธ์นี้เป็นหนึ่งในเทคนิคพื้นฐานที่นักเทรดฟอเร็กซ์มักใช้กัน เพราะสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง หากดำเนินการอย่างถูกต้อง
ความหมายพื้นฐานและแนวคิด
Carry Trade คือ การใช้ประโยชน์จากดอกเบี้ยสองประเทศที่แตกต่างกัน นักเทรดจะ “carry” หรือถือสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงไว้ และขายสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนต่ำ
การทำ Carry Trade นั้นต้องอาศัยความรู้เรื่องนโยบายการเงินของธนาคารกลางแต่ละประเทศ เพราะอัตราดอกเบี้ยจะเป็นตัวกำหนดผลกำไรหลัก
แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากหลักการพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่า เงินทุนมักไหลเข้าสู่ตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
Carry Trade แบบติดลบ (Negative Carry)
นอกจาก Carry Trade แบบปกติที่มุ่งหวังกำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ยที่เป็นบวกแล้ว ยังมีแนวคิดที่เรียกว่า “Negative Carry” ซึ่งหมายถึงสถานการณ์ที่ต้นทุนในการถือครองสินทรัพย์สูงกว่าผลตอบแทนที่ได้รับในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
การลงทุนแบบ Negative Carry อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การคาดการณ์กำไรจากส่วนต่างราคาในอนาคต (Capital Gains) หรือผลประโยชน์ทางภาษี
ตัวอย่างเช่น การกู้ยืมเงินด้วยอัตราดอกเบี้ย 6% เพื่อลงทุนในพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทน 4% จะทำให้เกิด Negative Carry 2%
นักลงทุนอาจยอมรับ Negative Carry หากคาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งจะชดเชยต้นทุนที่เกิดขึ้น
การทำความเข้าใจแนวคิดที่กว้างขึ้นของ “Carry” นี้ แสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งในการวิเคราะห์ทางการเงินที่นอกเหนือไปจากการคำนวณส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยแบบตรงไปตรงมา
เหตุผลที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเทรดฟอเร็กซ์
กลยุทธ์ Carry Trade ได้รับความนิยมเพราะเป็นกลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรได้แม้ในตลาดที่ไม่มีความผันผวนมาก นักเทรดสามารถรับดอกเบี้ยจากการถือสกุลเงินได้ทุกวัน
อีกเหตุผลสำคัญคือ การทำ Carry Trade ไม่จำเป็นต้องเฝ้าดูตลาดตลอดเวลา ทำให้เหมาะกับนักเทรดที่มีเวลาจำกัด
นอกจากนี้ การใช้ Leverage ในตลาดฟอเร็กซ์ทำให้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยมีโอกาสขยายตัวได้มากขึ้น
กลไกการทำงานของ Carry Trade
การทำความเข้าใจกลไกการทำงานของ Carry Trade คือ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักเทรดประสบความสำเร็จ กระบวนการนี้มีขั้นตอนที่ชัดเจนและต้องใช้ความรอบคอบ
การกู้ดอกเบี้ยต่ำ ลงทุนดอกเบี้ยสูง
หลักการพื้นฐานของ Carry Trade คือการกู้เงินจากประเทศที่มีดอกเบี้ยต่ำ แล้วนำไปลงทุนในประเทศที่มีดอกเบี้ยสูง นักเทรดจะได้รับกำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยนี้
ตัวอย่างเช่น หากญี่ปุ่นมีอัตราดอกเบี้ย 0.1% และออสเตรเลียมีอัตราดอกเบี้ย 2.5% นักเทรดสามารถกู้เงินเยนแล้วลงทุนในดอลลาร์ออสเตรเลีย
การดำเนินการนี้จะสร้างกำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ย 2.4% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีสำหรับกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ
บทบาทของส่วนต่างดอกเบี้ย
ส่วนต่างดอกเบี้ย เป็นหัวใจสำคัญของ Carry Trade ยิ่งส่วนต่างมากเท่าไหร่ โอกาสทำกำไรก็จะสูงตามไปด้วย
ธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามสภาวะเศรษฐกิจ ประเทศที่เศรษฐกิจแข็งแกร่งมักมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า
นักเทรดต้องติดตามข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายการเงินอย่างสม่ำเสมอ เพราะการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสามารถส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์ได้อย่างมาก
วิธีการสร้างกำไร
กำไรจาก Carry Trade เกิดขึ้นจากสองแหล่งหลัก คือ ดอกเบี้ยที่ได้รับจากการถือสกุลเงิน และการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน
คู่เงิน Carry Trade ที่นิยมมักเป็นคู่ที่มีส่วนต่างดอกเบี้ยสูง เช่น AUD/JPY, NZD/JPY, หรือ TRY/JPY
นักเทรดจะได้รับ “swap” หรือดอกเบี้ยทุกคืนที่ถือสกุลเงิน หากอัตราแลกเปลี่ยนเคลื่ونไหวไปในทิศทางที่ดี กำไรจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
กลไกของ Swap ในตลาด Forex
สำหรับ Carry Trade ที่เน้นตลาด Forex แนวคิดของ “Swap” (หรือ Rollover Rates) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง Swap คือดอกเบี้ยที่นักเทรดได้รับหรือต้องจ่ายสำหรับการถือสถานะ (Position) ข้ามคืน
ค่า Swap นี้จะถูกคำนวณและปรับเข้าบัญชีเทรดทุกวัน โดยอิงจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินทั้งสองในคู่เงินนั้นๆ และอัตราที่โบรกเกอร์กำหนด
- Swap เป็นบวก: หากคุณถือสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าและขายสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า คุณจะได้รับค่า Swap เป็นบวกเข้าบัญชีของคุณ
- Swap เป็นลบ: ในทางกลับกัน หากคุณถือสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าและขายสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า คุณจะต้องจ่ายค่า Swap เป็นลบ
ค่า Swap จะถูกคิดคำนวณทุกคืนเวลา 17:00 น. ตามเวลา Eastern Time (ET) และจะมีการคิดค่า Swap สามเท่าในคืนวันพุธ เพื่อชดเชยวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ไม่มีการซื้อขาย
การทำความเข้าใจค่า Swap และวิธีการตรวจสอบค่า Swap ของโบรกเกอร์ (เช่น ผ่าน Myfxbook.com) เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ควรพิจารณาค่า Spread ของโบรกเกอร์ด้วย เพราะหาก Spread สูงเกินไป อาจทำให้กำไรจาก Swap ไม่คุ้มค่า
คู่สกุลเงินนิยมสำหรับ Carry Trade
การเลือกคู่เงิน Carry Trade ที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จ นักเทรดต้องพิจารณาทั้งส่วนต่างดอกเบี้ย ความเสถียร และสภาพคล่องของตลาด
คู่สกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูง
สกุลเงินหลัก ที่นักเทรดมักใช้ในฝั่งดอกเบี้ยสูง ได้แก่ AUD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย) NZD (ดอลลาร์นิวซีแลนด์) และ CAD (ดอลลาร์แคนาดา)
สกุลเงินเหล่านี้มาจากประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และธนาคารกลางมีนโยบายการเงินที่เข้มงวด
ในฝั่งดอกเบี้ยต่ำ JPY (เยนญี่ปุ่น) และ CHF (ฟรังก์สวิส) เป็นตัวเลือกหลัก เพราะประเทศเหล่านี้มีนโยบายดอกเบี้ยต่ำมาเป็นเวลานาน
AUD/JPY และ NZD/JPY ในฐานะตัวอย่าง
คู่เงิน Carry Trade ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ AUD/JPY และ NZD/JPY เพราะมีส่วนต่างดอกเบี้ยที่สูงและมีสภาพคล่องดี
AUD/JPY เคยให้ส่วนต่างดอกเบี้ยสูงถึง 4-5% ในบางช่วงเวลา ทำให้นักเทรดสามารถรับดอกเบี้ยได้วันละหลายร้อยเยน ทั้งนี้ส่วนต่างขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและนโยบายการเงินในแต่ละช่วงเวลา
NZD/JPY ก็เป็นคู่ที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะธนาคารกลางนิวซีแลนด์มีนโยบายการเงินที่เป็นอิสระ และมักปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
คู่สกุลเงิน
|
ส่วนต่างดอกเบี้ย (%)
|
ความเสี่ยง
|
ความเหมาะสม
|
---|
AUD/JPY
|
2.5-4.0
|
กลาง
|
เริ่มต้น
|
---|
NZD/JPY
|
2.0-3.5
|
กลาง
|
เริ่มต้น
|
---|
TRY/JPY
|
5.0-15.0
|
สูง
|
ผู้เชี่ยวชาญ
|
---|
ZAR/JPY
|
3.0-6.0
|
สูง
|
ผู้เชี่ยวชาญ
|
---|
ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการทำ Carry Trade
แม้ว่า Carry Trade จะดูเป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัย แต่ความเสี่ยง Carry Trade ก็มีอยู่หลายประการที่นักเทรดต้องระวัง การเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้การลงทุนมีความยั่งยืนมากขึ้น
ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ความเสี่ยงหลักของ Carry Trade คือการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน หากสกุลเงินที่มีดอกเบี้ยสูงอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว กำไรจากดอกเบี้ยอาจไม่เพียงพอชดเชยการขาดทุน
ตัวอย่างเช่น หากนักเทรดถือ AUD/JPY และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลง 5% ในเวลาสั้น การขาดทุนนี้อาจมากกว่าดอกเบี้ยที่ได้รับทั้งปี
การวิเคราะห์เทคนิคและพื้นฐานจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อประเมินทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยนในระยะยาว
ความผันผวนของตลาดและการแทรกแซงของธนาคารกลาง
ความผันผวนของตลาด สามารถทำลายกลยุทธ์ Carry Trade ได้ในเวลาอันสั้น เมื่อตลาดมีความไม่แน่นอน นักลงทุนมักจะหนีไปหาสกุลเงินที่ปลอดภัย
การแทรกแซงของธนาคารกลางก็เป็นอีกปัจจัยเสี่ยง เมื่อธนาคารกลางเปลี่ยนนโยบายการเงินอย่างกะทันหัน ส่วนต่างดอกเบี้ยอาจหายไปในชั่วข้ามคืน
ในช่วงวิกฤตการเงิน การทำ Carry Trade กลายเป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงมาก เพราะนักลงทุนต่างเร่งขายสกุลเงินที่มีความเสี่ยงสูง
ความเสี่ยงจากการขยายผลของ Leverage
การใช้ Leverage ในตลาดฟอเร็กซ์สามารถขยายผลทั้งกำไรและขาดทุน การใช้ Leverage สูงในกลยุทธ์ Carry Trade อาจทำให้บัญชีเทรดระเบิดได้ในเวลาอันสั้น
นักเทรดมือใหม่มักใช้ Leverage สูงเกินไป โดยคิดว่า Carry Trade เป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัย แต่เมื่อตลาดเคลื่อนไหวผิดทาง การขาดทุนอาจเกินกว่าที่คาดหวัง
การจัดการ Leverage อย่างเหมาะสมจึงเป็นกุญแจสำคัญ ไม่ควรใช้ Leverage เกิน 1:10 สำหรับกลยุทธ์นี้
ความเสี่ยงเพิ่มเติมที่นักเทรดต้องระวัง
- ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาค: เหตุการณ์ทางการเมืองหรือเศรษฐกิจที่ไม่คาดฝัน เช่น สงคราม การเลือกตั้ง หรือวิกฤตเศรษฐกิจโลก สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อค่าเงินและอัตราดอกเบี้ย ทำให้ Carry Trade พลิกกลับเป็นขาดทุนได้อย่างรวดเร็ว
- ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงหรือเกิดวิกฤต สภาพคล่องของบางคู่สกุลเงินอาจลดลง ทำให้การเข้าหรือออกจากสถานะทำได้ยากขึ้น หรือต้องทำด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น
- ความเสี่ยงจากการลดค่าเงิน (Devaluation Risk): สกุลเงินของตลาดเกิดใหม่ ซึ่งมักมีอัตราดอกเบี้ยสูงและเป็นเป้าหมายของ Carry Trade อาจเผชิญกับการลดค่าเงินอย่างกะทันหัน ซึ่งมักเกิดจากการแทรกแซงของธนาคารกลางหรือความไม่สงบทางการเมือง
- แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงอาจบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของสกุลเงิน แต่ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงหรือความไม่สงบสามารถนำไปสู่การอ่อนค่าอย่างรวดเร็วได้
เทคนิคสำหรับกลยุทธ์ Carry Trade ที่ประสบความสำเร็จ
การทำกลยุทธ์ Carry Tradeให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการวางแผนที่ดี การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม และการติดตามตลาดอย่างต่อเนื่อง
การติดตามนโยบายอัตราดอกเบี้ย
การติดตามข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางเป็นสิ่งสำคัญที่สุด นักเทรดต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ธนาคารกลางจะประชุมและมีโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ย
การใช้ปฏิทินเศรษฐกิจ (Economic Calendar) จะช่วยให้นักเทรดติดตามเหตุการณ์สำคัญได้ ข้อมูลเช่น GDP, อัตราเงินเฟ้อ, และการจ้างงาน ล้วนมีผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลาง
นักเทรดที่ประสบความสำเร็จมักจะศึกษารายงานและคำแถลงของธนาคารกลางอย่างสม่ำเสมอ
การจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดการความเสี่ยงใน Carry Trade ต้องใช้หลายเครื่องมือร่วมกัน Stop Loss เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่จำเป็น แต่ต้องตั้งให้เหมาะสมกับลักษณะของตลาด
Position Sizing เป็นอีกเรื่องสำคัญ ไม่ควรลงทุนเกิน 2-3% ของเงินทุนทั้งหมดในแต่ละ Position เพื่อป้องกันการขาดทุนครั้งใหญ่
การใช้ Hedging ด้วยตัวเลือกอื่นๆ เช่น การซื้อ Put Options หรือการเปิด Position ที่มีความสัมพันธ์แบบผกผัน
การกระจายความเสี่ยงในหลาย Position
การกระจายการลงทุนเป็นหลักการสำคัญในทุกกลยุทธ์ ไม่ควรเทในคู่เงินเดียว หรือพึ่งพาประเทศเดียว
นักเทรดควรเปิด Position ในหลายคู่เงินที่มีความสัมพันธ์น้อย เช่น AUD/JPY, NZD/USD, และ CAD/CHF
การกระจายเวลาในการเข้า Position ก็สำคัญเช่นกัน ไม่ควรเปิด Position ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน
กรณีศึกษา – ตัวอย่างจริงจากตลาด Carry Trade
ตัวอย่าง Carry Trade ที่โด่งดังที่สุดคือช่วงปี 2005-2008 เมื่อคู่ AUD/JPY กลายเป็นคู่เงินที่นักเทรดทำ Carry Trade มากที่สุด
ภาพรวมประวัติศาสตร์
ในช่วงปี 2005-2007 ธนาคารกลางออสเตรเลียมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 6.25% ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5%
ส่วนต่างดอกเบี้ยที่สูงถึง 5.75% ทำให้ AUD/JPY เป็นคู่เงินที่น่าสนใจมาก นักเทรดจากทั่วโลกเทเงินเข้ามาทำ Carry Trade
ราคา AUD/JPY ปรับตัวขึ้นจาก 82 เยนในปี 2005 ไปแตะจุดสูงสุดที่ 107 เยนในปี 2007 ให้ผลตอบแทนรวมกว่า 30% ต่อปี
บทเรียนสำหรับนักเทรด
แต่เมื่อเกิดวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 สถานการณ์กลับตาลปัตร นักลงทุนเร่งขายสกุลเงินที่มีความเสี่ยงสูง
AUD/JPY ร่วงลงจาก 107 เยนมาที่ 55 เยนในเวลาเพียงไม่กี่เดือน นักเทรดที่ใช้ Leverage สูงประสบกับการขาดทุนอย่างรุนแรง
บทเรียนสำคัญคือ Carry Trade ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ปราศจากความเสี่ยง การจัดการความเสี่ยงและการเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นสิ่งจำเป็น
การใช้ Stop Loss ที่เหมาะสม การไม่ใช้ Leverage มากเกินไป และการกระจายความเสี่ยง คือบทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์นี้
ใครควรใช้กลยุทธ์ Carry Trade?
กลยุทธ์ Carry Trade ไม่เหมาะกับนักเทรดทุกประเภท การเข้าใจลักษณะของตัวเองและเป้าหมายการลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
นักลงทุนระยะยาว
นักลงทุนระยะยาว เป็นกลุมที่เหมาะสมกับกลยุทธ์นี้มากที่สุด เพราะ Carry Trade ต้องใช้เวลาในการสะสมผลตอบแทน
นักลงทุนที่มีเป้าหมายสร้างกระแสเงินสดประจำจาก Swap จะพบว่า Carry Trade เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์รฯ
การมี Time Horizon ที่ยาวจะช่วยให้นักลงทุนผ่านความผันผวนระยะสั้นได้ และรับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยอย่างเต็มที่
ความอดทนต่อความเสี่ยงและความอดทนที่จำเป็น
ความอดทนต่อความเสี่ยง เป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับนักเทรดที่ต้องการทำ Carry Trade อัตราแลกเปลี่ยนสามารถเคลื่อนไหวผิดทางได้ในระยะสั้น
นักเทรดต้องมีความอดทนที่จะถือ Position ผ่านช่วงเวลาที่ขาดทุนชั่วคราว โดยเชื่อมั่นว่าในระยะยาวกลยุทธ์จะให้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง
การมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจน และการไม่ใช้เงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น เป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จ
ประเภทนักเทรด
|
ความเหมาะสม
|
เหตุผล
|
---|
Day Trader
|
ไม่เหมาะสม
|
เน้นกำไรระยะสั้น
|
---|
Swing Trader
|
เหมาะสมปานกลาง
|
สามารถถือได้หลายวัน
|
---|
Position Trader
|
เหมาะสมมาก
|
ถือได้หลายเดือน-ปี
|
---|
Buy & Hold
|
เหมาะสมมาก
|
เน้นผลตอบแทนระยะยาว
|
---|
สรุป – Carry Trade ยังคงมีความเกี่ยวข้องอยู่หรือไม่?
ในปัจจุบัน Carry Trade คือ กลยุทธ์ที่ยังคงมีประสิทธิผล แต่สภาพแวดล้อมของตลาดเปลี่ยนไปจากอดีตอย่างมาก นักเทรดต้องปรับตัวและใช้ความระมัดระวังมากขึ้น
ประเด็นสำคัญที่ต้องจำ
การทำกลยุทธ์ฟอเร็กซ์แบบ Carry Trade ในยุคปัจจุบันต้องคำนึงถึงปัจจัยใหม่ๆ เช่น การใช้อัลกอรึทึ่มในการเทรด และความเร็วของข้อมูลข่าวสาร
ส่วนต่างดอกเบี้ยในหลายประเทศลดลงจากอดีต ทำให้ผลตอบแทนจาก Carry Trade ไม่สูงเท่าที่เคย แต่ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผล
การใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์และการจัดการความเสี่ยงมีความสำคัญมากขึ้น นักเทรดที่ประสบความสำเร็จต้องใช้เครื่องมือที่ทันสมัยในการติดตามตลาด
เมื่อไหร่ควรใช้และเมื่อไหร่ควรหลีกเลี่ยง
การทำ Carry Trade ควรใช้เมื่อสภาพแวดล้อมของตลาดมีเสถียรภาพ อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มคงที่ และไม่มีเหตุการณ์สำคัญที่อาจกระทบต่อตลาด
ควรหลีกเลี่ยงการทำ Carry Trade ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางการเมือง วิกฤตเศรษฐกิจ หรือเมื่อธนาคารกลางส่งสัญญาณจะเปลี่ยนนโยบายการเงิน
การเฝ้าติดตามดัชนี VIX และ Risk Sentiment ของตลาดจะช่วยให้นักเทรดรู้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมหรือไม่
ความคิดเห็นสุดท้าย
Carry Trade คือ กลยุทธ์ที่มีคุณค่าสำหรับนักเทรดที่เข้าใจความเสี่ยงและมีแผนการจัดการที่ดี แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไป แต่หลักการพื้นฐานยังคงใช้ได้
ความสำเร็จของกลยุทธ์ Carry Tradeขึ้นอยู่กับความสามารถในการคาดการณ์ทิศทางของดอกเบี้ยและการจัดการความเสี่ยงอย่างมีวินัย
นักเทรดที่ต้องการเริ่มต้นควรศึกษาและฝึกฝนกับ Demo Account ก่อน เพื่อทำความเข้าใจกลไกและสร้างประสบการณ์
สุดท้าย การทำดอกเบี้ยสองประเทศให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความอดทน การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และการปรับตัวตามสภาวะตลาดเสมอ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: Carry Trade คือ อะไร และเหมาะกับมือใหม่หรือไม่?
A: Carry Trade คือ การเทรดที่ใช้ส่วนต่างดอกเบี้ยทำกำไร เหมาะกับมือใหม่ที่มีความอดทนและเข้าใจความเสี่ยง แต่ควรเริ่มด้วยการลงทุนน้อยๆ ก่อน
Q: คู่เงินไหนดีที่สุดสำหรับ Carry Trade?
A: AUD/JPY และ NZD/JPY เป็นตัวเลือกยอดนิยม แต่ควรศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันก่อนตัดสินใจ เพราะส่วนต่างดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
Q: ต้องใช้เงินทุนเท่าไหร่ในการเริ่มต้น?
A: ควรเริ่มต้นด้วยเงินทุนที่สามารถยอมรับการสูญเสียได้ แนะนำไม่เกิน 5% ของเงินทุนทั้งหมด และไม่ควรใช้ Leverage เกิน 1:10
Q: Swap ใน Carry Trade คืออะไร?
A: Swap คือดอกเบี้ยที่ได้รับหรือต้องจ่ายจากการถือสกุลเงินข้ามคืน เป็นแหล่งกำไรหลักของ Carry Trade
Q: ควรถือ Position นานแค่ไหน?
A: ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ส่วนบุคคล แต่ Carry Trade มักเป็นกลยุทธ์ระยะยาว ควรถืออย่างน้อย 3-6 เดือนเพื่อให้ดอกเบี้ยสะสมได้