เมื่อพูดถึงสกุลเงินที่ “ทรงอำนาจ” หรือ “ใช้กันทั่วโลก” หลายคนคงนึกถึงดอลลาร์สหรัฐ (USD) หรือยูโร (EUR) เป็นอันดับต้น ๆ แต่ถ้าเราเปลี่ยนคำถามเป็น “ค่าเงินที่แพงที่สุดในโลก” คืออะไร คำตอบอาจทำให้คุณประหลาดใจ เพราะแชมป์ไม่ได้มาจากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ หรือยุโรป แต่ถูกคว้าไปโดย “คูเวตดินาร์ (KWD)” – สกุลเงินของประเทศเล็ก ๆ ในตะวันออกกลางที่มีทรัพยากรน้ำมันล้นประเทศ

ทำความเข้าใจมูลค่าที่แท้จริงของเงิน
บทความนี้จะพาคุณทลายความเข้าใจเดิม ๆ เกี่ยวกับมูลค่าของเงิน พร้อมเจาะลึก 10 อันดับสกุลเงินที่มีมูลค่าสูงที่สุดของโลกในปี 2025 พร้อมวิเคราะห์ว่าทำไมบางประเทศถึงมี “ค่าเงินหนึ่งหน่วยแลกได้หลายดอลลาร์” ในขณะที่เศรษฐกิจเล็ก ทั้งที่ดอลลาร์สหรัฐกลับไม่ติดอันดับต้น ๆ

“ค่าเงินแพงที่สุด” หมายถึงอะไร? แล้วต่างจาก “สกุลเงินทรงอิทธิพล” ยังไง?
คำว่า “ค่าเงินที่แพงที่สุด” หรือ “มูลค่าสูงที่สุด” หมายถึงสกุลเงินที่ “หนึ่งหน่วย” ของมันสามารถแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์สหรัฐ (USD) ได้มากที่สุดในปัจจุบัน ไม่ได้เกี่ยวกับขนาดเศรษฐกิจ ประชากร หรืออิทธิพลทางการเมือง
ตัวอย่างเช่น หาก 1 หน่วยของสกุลเงิน A แลกได้ 3.25 USD แต่สกุลเงิน B แลกได้เพียง 1.10 USD เราจะถือว่า A มี “มูลค่าต่อหน่วยสูงกว่า” หรืออาจเรียกเป็นภาษาปากว่า “แพงกว่า”
สิ่งที่น่าสังเกตคือ นี่ไม่เหมือนกับคำว่า “สกุลเงินแข็งแกร่งที่สุด” หรือ “ทรงอิทธิพลที่สุด” อย่าง USD ซึ่งแม้มูลค่าต่อหน่วยไม่สูง แต่กลับครองตำแหน่งสกุลเงินสำรองของโลก ใช้ในการซื้อขายสินค้าสำคัญทั่วโลก เช่น น้ำมันและทองคำ ดังนั้น “แพง” และ “เหนือชั้น” จึงไม่จำเป็นต้องหมายถึงเรื่องเดียวกันเสมอไป

10 สกุลเงินที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก (ปี 2025)
ด้านล่างนี้คือรายชื่อ สกุลเงินที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงจากข้อมูล ณ ไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 และอาจมีการปรับเปลี่ยนตามเศรษฐกิจโลก
อันดับ | สกุลเงิน (รหัส) | ประเทศ | อัตราแลกเป็น USD (1 สกุลเงิน = ? USD) |
---|
1 | คูเวตดินาร์ (KWD) | คูเวต | 3.25 USD |
2 | บาห์เรนดินาร์ (BHD) | บาห์เรน | 2.65 USD |
3 | โอมานเรียล (OMR) | โอมาน | 2.60 USD |
4 | จอร์แดนดีนาร์ (JOD) | จอร์แดน | 1.41 USD |
5 | ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) | สหราชอาณาจักร | 1.25 USD |
6 | ยิบรอลตาร์ปอนด์ (GIP) | ยิบรอลตาร์ | 1.25 USD |
7 | ดอลลาร์เคย์แมน (KYD) | หมู่เกาะเคย์แมน | 1.20 USD |
8 | ฟรังก์สวิส (CHF) | สวิตเซอร์แลนด์ | 1.11 USD |
9 | ยูโร (EUR) | ยูโรโซน | ~1.08 USD |
10 | ดอลลาร์สหรัฐ (USD) | สหรัฐอเมริกา | 1.00 USD |
ข้อมูลจาก Forbes Advisor ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กลุ่มประเทศในตะวันออกกลางเป็นผู้ครองอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะ “ผู้ส่งออกน้ำมัน” ที่ได้เปรียบในเรื่องรายได้ต่อหัวและเสถียรภาพทางการคลัง ซึ่งเราได้เจาะลึกปัจจัยทั้งหมดด้านล่างนี้
1. คูเวตดินาร์ (KWD) – ผู้นำตลอดกาล
คูเวตดินาร์ครองตำแหน่งสกุลเงินที่แพงที่สุดในโลกมาต่อเนื่องหลายปีซ้อน ด้วยเหตุผลที่ชัดเจน: คูเวตเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก
เศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนด้วยรายได้จากพลังงาน ซึ่งทำให้มีเงินรัฐมากกว่ารายจ่าย (เกินดุลงบประมาณ) มาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รัฐบาลมีกองทุนสำรองขนาดใหญ่ และสามารถปกป้องค่าเงินจากความผันผวน
อีกกลยุทธ์สำคัญคือ ธนาคารกลางคูเวต (CBK) ไม่ได้ผูกค่าเงิน KWD เข้ากับดอลลาร์สหรัฐเพียงตัวเดียว แต่ใช้นโยบาย “ผูกกับตะกร้าสกุลเงิน (Currency Basket)” ที่รวมหลายสกุลเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่ค่าเงินจะผันผวนตามการขึ้นลงของดอลลาร์เพียงอย่างเดียว
ข้อมูลจากนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของ ธนาคารกลางคูเวต ระบุว่า เส้นทางนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อคงเสถียรภาพระยะยาวมากกว่าการเคลื่อนไหวตามตลาด
2. บาห์เรนดินาร์ (BHD)
บาห์เรนอาจเป็นประเทศเล็ก แต่ก็เต็มไปด้วยทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเช่นกัน จุดแข็งที่ทำให้ BHD อยู่อันดับสองคือ “เสถียรภาพ” จากการใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (Fixed Exchange Rate)
ในทางกฎหมาย 1 BHD จะมีค่าเท่ากับ 2.652 USD เสมอ รัฐบาลรับประกันการแลกเปลี่ยนนี้ จึงทำให้ผู้ลงทุนมีความมั่นใจสูง และไม่ต้องกลัวว่าเงินจะตกต่ำผิดปกติ
3. โอมานเรียล (OMR)
เช่นเดียวกับประเทศในอ่าวเปอร์เซียอื่น ๆ โอมานอาศัยน้ำมันเป็นแกนหลักของเศรษฐกิจ แม้รายได้จะไม่เท่าคูเวต แต่รัฐบาลมีวินัยการคลังที่ดี และใช้นโยบายตรึงค่าเงินอย่างเข้มงวด
1 OMR เท่ากับ 2.60 USD แบบคงที่ เช่นเดียวกับ BHD และการควบคุมปริมาณการพิมพ์เงินไว้ในระดับต่ำ ก็ช่วยหนุนให้มูลค่าต่อหน่วยของเรียลไม่เสื่อมสภาพ
4. จอร์แดนดีนาร์ (JOD)
จอร์แดนอาจไม่ใช่ผู้ส่งออกน้ำมัน แต่สกุลเงิน JOD ก็ยังคงมีมูลค่าสูง เพราะประเทศนี้ตรึงสกุลเงินไว้กับดอลลาร์สหรัฐมานานนับสิบปี โดยอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 JOD = 2.222 USD หรือประมาณ 0.45 JOD = 1 USD
การตรึงนี้ช่วยให้เกิดความมั่นคงทางการเงิน และทำให้ภาคเศรษฐกิจโดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการค้าข้ามพรมแดนเติบโตอย่างต่อเนื่อง
5. ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP)
ปอนด์สเตอร์ลิงเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่ “อายุยืน” ที่สุดในโลกที่ยังใช้อยู่ และถือเป็นหนึ่งในหลักสี่ที่มีการซื้อขายสูงสุดในตลาด Forex ร่วมกับ USD, EUR และ JPY
ความแข็งแกร่งของ GBP มาจากเศรษฐกิจที่ซับซ้อน ศูนย์กลางการเงินลอนดอน และความเชื่อมั่นในธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันค่าเงินปอนด์ยังคงฟื้นตัวจากความผันผวนหลัง Brexit และอัตราเงินเฟ้อ
6. ยิบรอลตาร์ปอนด์ (GIP)
แม้ยิบรอลตาร์เป็นดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักรที่มีพื้นที่เพียง 6.8 ตารางกิโลเมตร แต่สกุลเงินท้องถิ่นของที่นี่ คือยิบรอลตาร์ปอนด์ มีมูลค่าเทียบเท่ากับปอนด์สเตอร์ลิง 1 ต่อ 1 โดยกฎหมาย
นั่นหมายความว่า GIP ไม่ได้ตัดสินค่าของตัวเอง แต่เดินตามGBP ทุกก้าว ทำให้มูลค่าสูงตามไปด้วย
7. ดอลลาร์เคย์แมน (KYD)
หมู่เกาะเคย์แมนอาจไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องการค้า แต่ขึ้นชื่อเรื่อง “เขตปลอดภาษี” (Tax Haven) ที่ดึงดูดเงินจากนักลงทุนทั่วโลก
ด้วยนโยบายการคลังที่เปิดกว้าง ไม่มีภาษีเงินได้ ภาษีกำไร หรือภาษีมรดก ทำให้หลายบริษัทจดทะเบียนที่นี่ ซึ่งส่งผลให้ระบบการเงินมีความมั่นคงและมีสกุลเงินที่ถูกตรึงเอาไว้ที่ 1 KYD = 1.20 USD
8. ฟรังก์สวิส (CHF)
สวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก ทำให้ฟรังก์สวิสได้ชื่อว่าเป็น “สกุลเงินปลอดภัย (Safe-Haven)”
ในยามวิกฤตโลก นักลงทุนมักจะ “วิ่ง” มาซื้อ CHF เพื่อปกป้องทุนของตัวเอง เนื่องจากประเทศนี้มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ หนี้ภาครัฐน้อย และไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างประเทศ
9. ยูโร (EUR)
แม้มูลค่าต่อหน่วยของยูโรจะไม่สูงเท่ากลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซีย แต่ EUR คือสกุลเงินสำรองอันดับสองของโลก และเป็นสกุลเงินทางการของประเทศสมาชิกยูโรโซน 20 ประเทศ
ด้วยขนาดเศรษฐกิจใหญ่ (รวมกันเป็นหนึ่งใน 3 เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก) และบทบาทในการค้าระหว่างประเทศ ทำให้ยูโรมีอิทธิพลสูง แม้มูลค่าต่อหน่วยจะไม่โดดเด่น
10. ดอลลาร์สหรัฐ (USD)
แม้ USD จะ “เสียตำแหน่งแชมป์” ไปในเรื่องมูลค่าต่อหน่วย แต่ไม่ได้หมายความว่า “อ่อนแอ” ในทางตรงกันข้าม USD ยังคงเป็นสกุลเงินหลักของโลก
เกือบทุกธนาคารกลางถือครองดอลลาร์เป็นทุนสำรอง น้ำมันทั่วโลกซื้อขายกันเป็นดอลลาร์ และสัดส่วนการซื้อขายสกุลเงินในตลาดต่างประเทศกว่า 88% เกี่ยวข้องกับดอลลาร์สหรัฐ (ตามข้อมูล BIS ปี 2022)
การที่มูลค่าต่อหน่วยไม่สูงจึงไม่ใช่จุดอ่อน แต่เป็นผลลัพธ์จากการมี “ปริมาณการหมุนเวียนสูงมาก” ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์ เมื่อสินค้ามี “อุปทานมาก” มูลค่าต่อหน่วยก็ไม่จำเป็นต้องสูง

ปัจจัยอะไรที่ทำให้สกุลเงินมีมูลค่าสูง?
จาก 10 อันดับด้านบน สามารถสรุปปัจจัยหลักที่ผลักดันให้สกุลเงินมี “ค่าต่อหน่วยสูง” ได้ 4 ประการสำคัญ
- รายได้จากทรัพยากรธรรมชาติ: น้ำมัน ก๊าซ หรือแร่ทองคำ เป็นแหล่งรายได้มหาศาลที่ทำให้รัฐบาลมีอำนาจการใช้จ่ายสูง ไม่จำเป็นต้องกู้ยืมหรือพิมพ์เงิน เพิ่มมูลค่าโดยตรง
- นโยบายตรึงค่าเงิน (Fixed Exchange Rate): หลายประเทศในลิสต์ใช้นโยบายนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะการผูกกับ USD หรือตะกร้าสกุลเงินเพื่อลดความผันผวน และเป็นกลยุทธ์ที่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จัดให้เป็นรูปแบบอัตราแลกเปลี่ยนที่นิยมในประเทศขนาดเล็ก
- เสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ: ประเทศที่ไม่เกิดสงคราม รัฐประหาร หรือการประท้วงใหญ่ มักมีสกุลเงินที่แข็งแกร่ง เช่น ฟรังก์สวิส
- วินัยการคลัง: การควบคุมหนี้สาธารณะ ไม่พิมพ์เงินมากเกินไป และเก็บเงินสำรองไว้สำหรับยามวิกฤต ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่น
เหตุใดดอลลาร์สหรัฐจึงไม่ใช่สกุลเงินที่ “แพงที่สุด”?
คำถามนี้สะท้อนความเข้าใจผิดที่พบบ่อย ดอลลาร์สหรัฐไม่ใช่สกุลเงินที่ “หนึ่งหน่วยแลกได้มากที่สุด” เพราะมันถูกออกแบบให้ “หมุนเวียนได้ทั่วโลก”
เมื่อกองทุนสำรองของโลกกว่า 60% เป็นดอลลาร์ และทุกประเทศต้องถือเพื่อใช้ซื้อน้ำมันได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ “อุปทาน” ของดอลลาร์ในโลกมีปริมาณมหาศาล ตามกฎหมายอุปสงค์-อุปทาน ย่อมทำให้ค่าต่อหน่วย “ไม่ต้องสูงมาก”
ในทางกลับกัน สกุลเงินอย่าง KWD มีการใช้ในประเทศเดียว หมุนเวียนน้อย แต่รายได้จากน้ำมันสูงมาก เมื่อเทียบกับขนาดของประเทศ จึงทำให้ “หนึ่งหน่วย” มีมูลค่าสูงตามไปด้วย ไม่ใช่เพราะ “ดีกว่า” แต่เพราะ “มีน้อยและต้องการสูง”
ดังนั้น ดอลลาร์สหรัฐไม่ “แพง” ที่สุด แต่กลับ “ทรงอิทธิพล” มากที่สุด

สรุป: ลงทุนในสกุลเงิน “มูลค่าสูง” ดีหรือไม่?
สกุลเงินที่อยู่ใน 10 อันดับแรกมีข้อได้เปรียบด้านเสถียรภาพและรายได้จากพลังงาน แต่สำหรับนักลงทุน การถือเงินเหล่านี้ไม่ได้แปลว่าจะได้ผลตอบแทนเสมอไป
ข้อควรระวังคือ ค่าเงินเหล่านี้มักมี “สภาพคล่องต่ำ” ในตลาดโลก อาจซื้อขายลำบาก ค่า spread สูง และไม่ค่อยมีการวิเคราะห์ในแพลตฟอร์มทั่วไป นอกจากนี้ บางประเทศยังพึ่งพาน้ำมันมากเกินไป ซึ่งหากราคาน้ำมันดิบโลกตก ค่าเงินก็อาจอ่อนตัวตามไปด้วย
การเลือกสกุลเงินเพื่อลงทุนควรเน้นที่ “เสถียรภาพ” “สภาพคล่อง” และ “บทบาทในเศรษฐกิจโลก” มากกว่า “แค่ดูว่าราคาหนึ่งหน่วยเท่าไหร่”
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับค่าเงินที่แพงที่สุดในโลก (FAQ)
สกุลเงินที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกคืออะไร?
สกุลเงินที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกคือ คูเวตดินาร์ (KWD) โดย 1 KWD สามารถแลกเปลี่ยนได้ประมาณ 3.25 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มันครองอันดับหนึ่งต่อเนื่องมาหลายปี
ทำไมค่าเงินคูเวตถึงแพง?
เนื่องจากรายได้หลักของประเทศมาจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ประกอบกับนโยบายการเงินที่เข้มงวดและการตรึงค่าเงินกับตะกร้าสกุลเงิน ทำให้เสถียรภาพสูงและมูลค่าต่อหน่วยเพิ่มขึ้น
“ค่าเงินแพงที่สุด” กับ “ค่าเงินแข็งแกร่งที่สุด” ต่างกันอย่างไร?
“ค่าเงินแพงที่สุด” หมายถึงมูลค่าต่อหน่วยสูงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ส่วน “ค่าเงินแข็งแกร่งที่สุด” มักหมายถึงสกุลเงินที่มีความเสี่ยงต่ำ มีสภาพคล่องสูง และเป็นที่ยอมรับทั่วโลก เช่น ดอลลาร์สหรัฐหรือฟรังก์สวิส
ทำไมดอลลาร์สหรัฐ (USD) ไม่ใช่สกุลเงินที่แพงที่สุด?
เพราะดอลลาร์สหรัฐมีการหมุนเวียนและถือครองในปริมาณมหาศาล โดยเฉพาะเป็นสกุลเงินสำรองของโลก เมื่ออุปทานมาก มูลค่าต่อหน่วยจึงไม่จำเป็นต้องสูง ต่างจากสกุลเงินที่มีอุปทานน้อยกว่าในตลาด
ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ค่าเงินมีมูลค่าสูง?
ปัจจัยหลักได้แก่ ความมั่งคั่งจากทรัพยากรธรรมชาติ เสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ การตรึงค่าเงินกับสกุลเงินหลัก การควบคุมเงินเฟ้อ และวินัยการคลังที่เข้มงวด