ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ข่าวเศรษฐกิจมักพูดถึง “เงินบาทอ่อนค่า” อยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะผ่านสื่อหลัก หรือกระทั่งในบทสนทนาทั่วไป หลายคนอาจมองว่าเรื่องนี้ไกลตัว แต่ความจริงคือ การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเรามากกว่าที่คิด ตั้งแต่ราคาสินค้าหน้าร้านที่เริ่มขยับสูงขึ้น งบเดินทางต่างประเทศที่ต้องจ่ายเพิ่ม ไปจนถึงกำไรของผู้ส่งออกและแนวโน้มของการท่องเที่ยวไทย
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจปรากฏการณ์ “เงินบาทอ่อนค่า” อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ความหมาย สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดขึ้นในปีนี้ ไปจนถึงการวิเคราะห์อย่างชัดเจนว่า ใครคือผู้ได้ประโยชน์ และใครได้รับผลกระทบโดยตรง และที่สำคัญที่สุดคือ กลยุทธ์ในการปรับตัวทั้งจากมุมมองของนักลงทุน ผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไป เพื่อให้สามารถรับมือกับความผันผวนของค่าเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันสถานการณ์

3 ปัจจัยหลักที่ฉุดให้เงินบาทอ่อนตัวลงในปีนี้
การที่เงินบาทอ่อนตัวลงไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากหลายปัจจัยทั้งจากภายนอกและภายในประเทศที่ทำงานร่วมกัน ซึ่งในช่วงปีนี้ สาเหตุหลักที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทอย่างชัดเจน มีดังนี้
ปัจจัยจากต่างประเทศ: นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
หนึ่งในปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อค่าเงินในเอเชีย รวมถึงเงินบาท คือ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่รู้จักกันในนาม “เฟด” (Fed) เพื่อลดแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่พุ่งสูง ทางเฟดได้ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง การขึ้นดอกเบี้ยนี้ดึงดูดเงินทุนจากทั่วโลกให้ไหลเข้าสหรัฐฯ เนื่องจากผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่รับผลตอบแทนเป็นดอลลาร์ เช่น พันธบัตรหรือบัญชีออมทรัพย์มีความน่าสนใจมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้น และเมื่อดอลลาร์แข็งค่า ก็ทำให้สกุลเงินในตลาดเกิดใหม่รวมถึงเงินบาทย่อมอ่อนตัวลงตามกลไกของการอัตราแลกเปลี่ยน
ปัจจัยภายใน: ทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของไทย
ในขณะที่เฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เลือกแนวทางที่ระมัดระวังมากกว่า โดยปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ กับไทย (Interest Rate Differential) กว้างขึ้น กลายเป็นแรงดันที่ผลักดันให้นักลงทุนมองหาผลตอบแทนสูงจากสหรัฐฯ มากกว่าประเทศไทย
นอกจากนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ที่ยังไม่เต็มศักยภาพ และดุลบัญชีเดินสะพัดที่อาจได้รับแรงกดดันจากต้นทุนพลังงานนำเข้าก็เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติสั่นคลอน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อท่าทีการเข้าซื้อหรือถอนทุนจากตลาดไทย
การเคลื่อนย้ายของเงินทุนต่างชาติ (Capital Flow)
เมื่อผลตอบแทนในสหรัฐฯ ดูดีขึ้น เงินทุนจากต่างประเทศที่เคยลงทุนในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยเริ่มทยอยออกมา นักลงทุนต่างชาติต้องการนำเงินกลับไปลงทุนที่สหรัฐฯ จึงต้องขายสินทรัพย์ในไทยและแลกเงินบาทเป็นดอลลาร์ ส่งผลให้เกิดแรงขายเงินบาทอย่างต่อเนื่องในตลาด
ปรากฏการณ์นี้พบได้บ่อยในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) โดยเฉพาะเมื่อเกิด “ดอลลาร์แกร่ง” หรือเงินดอลลาร์แข็งค่าจากรายได้ของธุรกรรมต่างประเทศ (Safe Haven Demand) ส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียอ่อนตัวลงอย่างพร้อมเพรียง

ใครได้ใครเสีย? รายชื่อผู้ได้รับผลดีและผลลบจากเงินบาทอ่อนค่า
แม้การอ่อนค่าของเงินบาทจะเป็นข่าวร้ายสำหรับบางกลุ่ม แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มอื่นก็ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้อย่างชัดเจน ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับ “ทิศทางของการรับ-จ่ายเงิน” ของแต่ละฝ่าย

ผู้ที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า
- ภาคส่งออกไทย – เป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุด เมื่อเงินบาทอ่อนลง สินค้าไทยในสายตาของต่างชาติจะถูกลงโดยอัตโนมัติ ทำให้ราคาสินค้าไทยในตลาดโลกมีข้อได้เปรียบด้านการแข่งขัน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้ส่งออกได้รับเงินจากต่างประเทศ (เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ) และนำมากลับมาแปลงเป็นเงินบาท ก็จะได้รับจำนวนเงินบาทเพิ่มขึ้น ช่วยขยายกำไรโดยไม่ต้องเพิ่มยอดขาย ตัวอย่างเช่น บริษัทส่งออกอาหารทะเลไทย ที่รับเงิน 1 ล้านดอลลาร์ เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนจาก 30 บาทต่อดอลลาร์ เป็น 36 บาทต่อดอลลาร์ จะได้เงินเพิ่มขึ้นถึง 6 ล้านบาทในนามของหน่วยงาน
- ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง – เงินบาทที่อ่อนลงทำให้ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยถูกลง นักท่องเที่ยวที่แลกเงินจากสกุลตัวเอง เช่น ดอลลาร์ ปอนด์ หรือเยน จะสามารถใช้จ่ายได้มากขึ้น ถือเป็นแรงกระตุ้นให้ตัดสินใจเดินทางมายังไทยมากขึ้น ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร บริษัทนำเที่ยว หรือแม้แต่ธุรกิจรถเช่า จึงได้รับผลบวกอย่างต่อเนื่อง
- ผู้มีรายได้จากต่างประเทศ – ไม่ว่าจะเป็นแรงงานไทยที่ทำงานต่างประเทศและส่งเงินกลับมา หรือฟรีแลนซ์ที่รับจ้างจากลูกค้าต่างชาติ เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนช่วยให้ได้เงินไทยเพิ่ม รายได้สุทธิของพวกเขาจะสูงขึ้น การโอนเงิน 1,000 ดอลลาร์ในช่วงที่เงินบาทอ่อนค่า 36 บาทต่อดอลลาร์ แทนที่จะอยู่ที่ 30 บาท การโอนครั้งนั้นจะได้เพิ่มถึง 6,000 บาททันที
- นักลงทุนที่ถือหุ้นในกลุ่มส่งออกและท่องเที่ยว – นักลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลกระทบดีจากเงินบาทอ่อน อย่างบริษัทอาหารทะเล ชิ้นส่วนยานยนต์ หรือหุ้นของบริษัทสนามบิน จะได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มผลประกอบการที่ดีขึ้นซึ่งนักวิเคราะห์มักนำมานำมาคำนวณ

ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทอ่อนค่า
- ผู้นำเข้าสินค้า – ทั้งผู้นำเข้าวัตถุดิบ เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงสินค้านำเข้าสำเร็จรูปอย่างสมาร์ทโฟนหรือแบรนด์เนม ต้องใช้เงินบาทมากขึ้นเพื่อชำระค่าสินค้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยตรง กำไรหดหาย หรืออาจต้องปรับราคาสินค้าในประเทศเพื่อชดเชย
- ผู้บริโภคทั่วไป – ผลกระทบต่อผู้บริโภคสังเกตได้จากการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพ โดยเฉพาะสินค้าที่นำเข้า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นไม่ใช่แค่ผลกระทบจากตลาดโลก แต่ยังซ้อนทับกับการอ่อนค่าของเงินบาท ส่งผลให้น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน ค่าขนส่ง และราคาสินค้าต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้น
- ผู้ที่ต้องชำระหนี้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ – ทั้งบริษัทหรือหน่วยงานสาธารณะที่กู้เงินเป็นดอลลาร์ ต้องเผชิญกับภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นเมื่อค่าเงินบาทอ่อนตัวลง เพราะต้องใช้เงินบาทจำนวนมากขึ้นเพื่อชำระหนี้และดอกเบี้ย เช่น การกู้ดอลลาร์เพื่อซื้อเครื่องจักร หรือรัฐวิสาหกิจที่มีหนี้ต่างประเทศ อาจเผชิญภาวะขาดทุนจากการแปลงสกุลเงิน
- นักเดินทางไทยที่ไปต่างประเทศ – คนที่วางแผนเที่ยวหรือเรียนต่อในต่างประเทศจะพบว่า “งบบานปลาย” เพราะต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการแลกเป็นเงินสกุลท้องถิ่น ในบางกรณีอาจต้องย้ายแพลนหรือเปลี่ยนจุดหมายปลายทางที่ค่าครองชีพถูกลง
กลุ่มที่ได้รับประโยชน์ | กลุ่มที่ได้รับผลกระทบ |
---|
ผู้ส่งออก: สินค้าไทยถูกลงในราคาต่างประเทศ และได้เงินบาทมากขึ้นจากการแปลงสกุล | ผู้นำเข้า: ต้นทุนสูงขึ้น ต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการซื้อสินค้าจากต่างประเทศ |
ธุรกิจท่องเที่ยว: ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังไทย | ผู้บริโภคทั่วไป: ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันและสินค้านำเข้าที่แพงขึ้น |
ผู้มีรายได้จากสกุลต่างประเทศ: ได้เงินบาทเพิ่มจากการแปลงเงินต่างประเทศ | ผู้ที่มีหนี้เป็นสกุลต่างประเทศ: ภาระหนี้เพิ่มขึ้นเมื่อคิดเป็นเงินบาท |
นักลงทุนในหุ้นส่งออกและท่องเที่ยว: คาดหวังผลกำไรที่ดีขึ้นจากบริษัทกลุ่มเหล่านี้ | ผู้เดินทางไปต่างประเทศ: ต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการแลกเงินสกุลท้องถิ่น |

กลยุทธ์ปรับตัวให้รอดในยุคเงินบาทอ่อน
การอ่อนค่าของค่าเงินเป็นปรากฏการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในระบบเศรษฐกิจโลก เป้าหมายสำคัญจึงไม่ใช่การหยุดยั้ง แต่คือ “การปรับตัว” ให้เหมาะกับสถานการณ์ด้วยการวางแผนอย่างมีเป้าหมาย สำหรับแต่ละกลุ่มมีแนวทางดังนี้
สำหรับนักลงทุน
- ให้ความสำคัญกับหุ้นกลุ่มได้ประโยชน์ – หุ้นที่ได้รับผลดีโดยตรงจากเงินบาทอ่อน เช่น บริษัทส่งออกอาหารทะเล (ซีพีเอฟ), ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA), หรือบริษัทท่องเที่ยว (EPCO, AOT) อาจมีแนวโน้มผลประกอบการที่ดีขึ้น ควรพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มเหล่านี้ในพอร์ต
- กระจายพอร์ตไปยังสินทรัพย์ต่างประเทศ – การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) หรือหุ้นบริษัทนานาชาติสามารถช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของเงินบาท โดยไม่ต้องคาดเดาค่าเงินเพียงอย่างเดียว
- ติดตามบทวิเคราะห์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ – ข้อมูลเชิงลึกจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย หรือสถาบันการเงินอื่นๆ จะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล ควรหลีกเลี่ยงการเก็งกำไรแบบสั้นโดยอิงเพียงอารมณ์ตลาด
สำหรับผู้ประกอบการ
- ผู้นำเข้าควรบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน – ใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น สัญญาซื้อขายเงินต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) เพื่อกันความเสี่ยงจากค่าเงิน波动 โดยสามารถล็อกอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคตได้ ลดความผันผวนของต้นทุน
- ผู้ส่งออกควรรักษาเสถียรภาพต้นทุน – แม้จะได้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ไม่ควรชะล่าใจ การควบคุมต้นทุนการผลิต พัฒนาเครือข่ายโลจิสติกส์ และเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จะช่วยให้สามารถรักษาตำแหน่งในตลาดนานขึ้น
- ปรับกรอบการตั้งราคาอย่างเหมาะสม – ทั้งผู้นำเข้าและส่งออกควรทบทวนโมเดลการตั้งราคาใหม่ เพื่อสะท้อนต้นทุนที่เปลี่ยนไป อาจต้องเจรจากับคู่ค้าอย่างโปร่งใส เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจ
สำหรับประชาชนทั่วไป
- บริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างรอบคอบ – เมื่อค่าครองชีพเพิ่มขึ้น การควบคุมค่าใช้จ่ายรายวัน ลดการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยที่นำเข้า เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือของแบรนด์เนม อาจเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดในระยะสั้น
- วางแผนการแลกเงินล่วงหน้า – หากคุณมีแผนจะเดินทางต่างประเทศ ควรติดตามแนวโน้มค่าเงินและทยอยแลกเงินในจังหวะที่เหมาะสม หรือใช้บัตรเครดิตที่ไม่มีค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยน (FX Fee) เพื่อประหยัด
- พิจารณาสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง – อาจแบ่งส่วนหนึ่งของเงินออมไปลงทุนในทองคำ หรือกองทุนที่กระจายการลงทุนทั่วโลก เพื่อป้องกันการสูญเสียมูลค่าจากเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของเงินบาท โดยควรปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินก่อนลงทุน