คุณเคยได้ยินข่าวตอนเช้าแล้วทีวีพูดว่า “ดาวโจนส์ปิดบวก 200 จุด” แล้วรู้สึกว่า “เฮ้ย ตลาดดีแฮะ” ไหม?
แม้คุณจะไม่ได้ซื้อหุ้นเลย แต่คำว่า “ดาวโจนส์” ก็แทรกอยู่ในชีวิตเราทุกวัน
แล้วจริงๆ แล้วมันคืออะไร? ทำไมทุกคนถึงจับตาดู? และมันเกี่ยวอะไรกับพอร์ตหุ้นของคุณ?
วันนี้เราจะพูดกันแบบไม่ต้องเปิดตำรา — เหมือนนั่งดื่มกาแฟกับเพื่อนที่เทรดมา 10 ปี แล้วเขาเล่าให้คุณฟังทีละขั้น

ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones) คืออะไร?
คำว่า “ดาวโจนส์” ที่เราพูดกันทุกวัน จริงๆ แล้วคือชื่อย่อของ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ หรือที่เรียกกันว่า DJIA
มันคือตัวเลขที่เอาไว้วัดว่า “หุ้นบลูชิป 30 ตัวใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ” ไปได้ดีแค่ไหนในแต่ละวัน
บลูชิป (Blue-chip) คือบริษัทที่ใหญ่ แข็งแรง มีชื่อเสียง และอยู่มานาน — อย่าง Apple, Coca-Cola, Walmart หรือ Microsoft
ถึงจะมีแค่ 30 ตัว แต่คนทั้งโลกใช้มันเป็น “มาตรวัดอารมณ์” ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก
ประวัติโดยย่อของดัชนีดาวโจนส์ (History of Dow Jones)
รู้ไหมว่าดัชนีนี้เริ่มต้นเมื่อปี 1896? โดยชาร์ลส์ ดาว และเอ็ดเวิร์ด โจนส์ — สองผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal
ตอนนั้นเขาแค่อยากให้คนทั่วไปเข้าใจภาพรวมของตลาดโดยไม่ต้องตามหุ้นทีละตัว
เริ่มต้นมีแค่ 12 บริษัท — ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมหนัก เช่น รถไฟ น้ำตาล ฝ้าย
ปี 1928 ขยายเป็น 30 บริษัท และนับแต่นั้นมา รายชื่อก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อสะท้อนเศรษฐกิจที่เปลี่ยน
เช่น ถอดเหล็กออก ใส่เทคโนโลยีเข้ามา — อย่าง Apple หรือ Salesforce ที่เข้ามาแทนบริษัทเก่า
มันเหมือนภาพสะท้อนว่า “อเมริกาเปลี่ยนไปยังไง” ตลอด 100 กว่าปี
ดัชนีดาวโจนส์ คำนวณอย่างไร? (Price-Weighted)
นี่คือจุดที่หลายคนสับสน — เพราะดาวโจนส์ “คำนวณไม่เหมือนใคร”
มันใช้ระบบ “ถ่วงน้ำหนักด้วยราคา” (Price-Weighted) แปลว่า หุ้นที่ “ราคาต่อหุ้นสูง” จะมีอิทธิพลมากกว่า
ไม่เกี่ยวกับว่าบริษัทนั้นใหญ่แค่ไหนในความเป็นจริง (มูลค่าตลาด)
ตัวอย่างเช่น:
- หุ้น A ราคา $300 ต่อหุ้น
- หุ้น B ราคา $50 ต่อหุ้น
ถ้าหุ้นทั้งสองขึ้น $1 เท่ากัน หุ้น A จะส่งผลต่อดัชนีมากกว่าถึง 6 เท่า!
แม้ว่าบริษัท B จะใหญ่กว่าก็ตาม — เพราะระบบดูแค่ “ตัวเลขราคา”
แล้วคำนวณยังไง?
เอา “ผลรวมราคาหุ้น 30 ตัว” แล้วหารด้วย “ตัวหารพิเศษ” ที่เรียกว่า Dow Divisor
ตัวหารนี้ไม่ใช่เลขคงที่ — มันถูกปรับตลอดเวลาเมื่อมีการแตกหุ้น หรือมีการเปลี่ยนบริษัทในดัชนี
เพื่อให้ค่าดัชนี “ต่อเนื่อง” และเปรียบเทียบกับอดีตได้
เช่น ถ้า Apple แตกหุ้น 2 ต่อ 1 ราคาหุ้นจะลดลง แต่ดัชนีจะไม่กระโดดลงทันที เพราะตัวหารจะถูกปรับตาม

หุ้น 30 ตัวในดัชนีดาวโจนส์ (DJIA 30 Components)
ใครเป็นใครในดาวโจนส์? ไม่ใช่แค่ “บริษัทใหญ่ที่สุด” แต่ต้อง “มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม”
รายชื่อนี้บริหารโดยคณะกรรมการจาก S&P Dow Jones Indices — ไม่ใช่คำนวณอัตโนมัติ
เขาเลือกแบบมีเหตุผล ไม่ใช่แค่ดูจากมูลค่าตลาด
ตัวอย่างบริษัทที่อยู่ใน DJIA ณ ปี 2026:
- Apple (AAPL)
- Microsoft (MSFT)
- Goldman Sachs (GS)
- Johnson & Johnson (JNJ)
- Walmart (WMT)
- Coca-Cola (KO)
- UnitedHealth Group (UNH)
คุณสังเกตไหมว่า ตอนนี้มีแต่บริษัทเทคโนโลยี บริการ และสุขภาพ?
มันบอกเราว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้อยู่ในยุคเหล็ก น้ำมัน หรือรถไฟอีกแล้ว
แต่เปลี่ยนไปสู่ยุคดิจิทัล ข้อมูล และสุขภาพ — และดาวโจนส์ก็ปรับตาม

ทำไม ดาว โจนส์ ยังคงสำคัญ? (เทียบกับ S&P 500)
คำถามที่ดี: แล้วทำไมเราต้องสนใจดัชนีที่มีแค่ 30 บริษัท ทั้งๆ ที่ S&P 500 ติดตาม 500 บริษัท และคำนวณด้วยมูลค่าตลาด?
คำตอบคือ: แม้ S&P 500 จะ “ครอบคลุม” กว่า แต่ดาวโจนส์ยังมีพลังในอีกมิติหนึ่ง
เหตุผลที่มันยังสำคัญ:
- ความลึกของประวัติศาสตร์: มีข้อมูลย้อนหลังมากกว่า 120 ปี ใช้ดูแนวโน้มเศรษฐกิจ วิกฤต ฟองสบู่ ได้ชัดเจน
- สัญลักษณ์ของตลาด: ในสายตาคนทั่วไป “ดาวโจนส์” = “ตลาดหุ้น” ข่าวทุกช่องพูดถึงมันทุกวัน
- ตัวชี้วัดอารมณ์: แม้ระบบคำนวณจะดูแปลก แต่มันสะท้อนความรู้สึกของนักลงทุนต่อ “หุ้นใหญ่” ได้ดีมาก
ข้อเสียคือ หุ้นราคาสูงไม่กี่ตัว (เช่น UnitedHealth หรือ Goldman Sachs) อาจ “ลากดัชนี” ได้มากเกินไป
แต่ในภาพรวม ดาวโจนส์กับ S&P 500 มักขยับไปในทิศทางเดียวกัน — แค่ดาวโจนส์ “ช้ากว่า” และ “มั่นคงกว่า”
ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อดัชนีดาวโจนส์
แล้วอะไรทำให้ดาวโจนส์ขึ้นหรือลง?
มันไม่ได้ขึ้นลงเพราะโชคช่วย แต่มี “เครื่องยนต์” หลักๆ ที่ขับเคลื่อนมัน
1. นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)
Fed คือผู้เล่นคนสำคัญที่สุด
เวลา Fed ขึ้นดอกเบี้ย — ตลาดมักตก เพราะบริษัทกู้แพงขึ้น กำไรลด
เวลา Fed ลดดอกเบี้ย — ตลาดมักขึ้น เพราะเงินถูก ลงทุนง่ายขึ้น
คุณเคยเห็นไหม? แค่ประธาน Fed พูดประโยคเดียว ดัชนีก็ผันผวนทันที
2. ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค (Economic Data)
นักลงทุนจับตาตัวเลขสำคัญทุกเดือน:
- การจ้างงาน (Non-farm Payrolls): ถ้าคนมีงานทำเยอะ บริษัทก็ขายของได้มาก
- อัตราเงินเฟ้อ (CPI): เงินเฟ้อสูง = โอกาสขึ้นดอกเบี้ย = ตลาดไม่ดี
- GDP: จีดีพีโต แปลว่าเศรษฐกิจดี บริษัทก็เติบโต
3. ผลประกอบการของบริษัท (Corporate Earnings)
โดยเฉพาะบริษัทที่ “ราคาหุ้นสูง” เช่น UnitedHealth หรือ Goldman Sachs
ถ้าผลประกอบการดี แม้แค่บริษัทเดียว ดัชนีก็อาจพุ่ง เพราะมันมีน้ำหนักมาก
แต่ถ้าบริษัทใหญ่ประกาศขาดทุน? ตลาดอาจร่วงในวันเดียว
4. เหตุการณ์ทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Events)
สงคราม การเลือกตั้ง ความตึงเครียดระหว่างประเทศ — ล้วนทำให้ “ความเชื่อมั่น” ของนักลงทุนสั่นคลอน
เวลาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน นักลงทุนมักหนีไปอยู่ใน “สินทรัพย์ปลอดภัย” เช่น ทองคำ หรือพันธบัตร
และหุ้นบลูชิปในดาวโจนส์ก็ถูกเทขายตามไปด้วย
วิธีการลงทุนในดัชนีดาวโจนส์ (How to Invest)
คำถามยอดฮิต: “ฉันจะซื้อดาวโจนส์ได้ไหม?”
คำตอบคือ: คุณ “ซื้อดัชนี” โดยตรงไม่ได้ — เพราะมันคือตัวเลข
แต่คุณสามารถ “ลงทุนตาม” มันได้ผ่านผลิตภัณฑ์ต่างๆ
1. กองทุนรวม (Mutual Funds) และ ETFs
วิธีที่เหมาะกับนักลงทุนทั่วไปที่สุด
คุณซื้อกองทุนที่ “เลียนแบบ” การเคลื่อนไหวของดาวโจนส์
ตัวที่นิยมที่สุดคือ SPDR Dow Jones Industrial Average ETF (DIA)
คุณซื้อหน่วยเดียว คือการถือหุ้น 30 ตัวนั้นในสัดส่วนเดียวกับดัชนี
เหมาะกับคนที่อยากลงทุนระยะยาว ไม่ต้องกังวลทุกวัน
2. สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD)
สำหรับนักเทรดที่อยากเก็งกำไรระยะสั้น
คุณไม่ต้องเป็นเจ้าของหุ้น — แค่ “ทาย” ว่าดัชนีจะขึ้นหรือลง
ใช้ชื่อเรียกในตลาดว่า US30 หรือ DJ30
ข้อดี: ใช้ Leverage ได้ — ลงทุนน้อย แต่ได้กำไรมาก (เสี่ยงขาดทุนมากเช่นกัน)
เหมาะกับคนที่มีประสบการณ์ และเข้าใจความเสี่ยง
3. สัญญาฟิวเจอร์ส (Futures)
วิธีนี้ซับซ้อนกว่า — ใช้โดยนักเทรดมืออาชีพหรือสถาบัน
คุณทำสัญญา “ซื้อขายดัชนีล่วงหน้า” ที่ราคาและวันที่กำหนด
ใช้ทั้งเพื่อเก็งกำไร และ “ป้องกันความเสี่ยง” (Hedging) ในพอร์ตใหญ่
ตลาดฟิวเจอร์สเปิดเกือบ 24 ชั่วโมง — นักลงทุนใช้มันดูว่า “ตลาดจะเปิดที่ไหน”
ตารางเปรียบเทียบวิธีการลงทุน
| วิธีการลงทุน | เหมาะสำหรับ | ความเสี่ยง | ข้อดี |
|---|
| กองทุนรวม (ETF) | นักลงทุนระยะยาว, มือใหม่ | ต่ำถึงปานกลาง | กระจายความเสี่ยง, ค่าธรรมเนียมต่ำ, ซื้อง่ายขายคล่อง |
| สัญญา CFD | นักเทรดระยะสั้น, ผู้มีประสบการณ์ | สูง (เนื่องจาก Leverage) | ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง, ใช้เงินทุนเริ่มต้นน้อย |
| สัญญาฟิวเจอร์ส | นักเทรดมืออาชีพ, สถาบัน | สูงมาก | สภาพคล่องสูง, สามารถป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ |
คำเตือนความเสี่ยง: การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง โดยเฉพาะ CFD และ Futures ที่ใช้ Leverage สูง อาจทำให้คุณสูญเสียเงินมากกว่าที่ลงทุนไป
มือใหม่ควรเริ่มจาก ETF หรือกองทุนรวมก่อน — ปลอดภัยกว่า และเรียนรู้ไปทีละขั้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ดาว โจนส์ (FAQ)
ดาวโจนส์ (Dow Jones) กับ Nasdaq ต่างกันอย่างไร?
ต่างกัน 2 จุดหลัก: 1) องค์ประกอบ — ดาวโจนส์มีแค่ 30 บริษัทบลูชิปจากหลายอุตสาหกรรม ส่วน Nasdaq Composite มีกว่า 3,000 บริษัท และเน้นกลุ่มเทคโนโลยี 2) การคำนวณ — ดาวโจนส์ใช้ “Price-Weighted” ขณะที่ Nasdaq ใช้ “Market Cap-Weighted” ซึ่งสะท้อนขนาดบริษัทจริงมากกว่า
ดัชนีดาวโจนส์ คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร?
ดัชนีดาวโจนส์ หรือ DJIA คือดัชนีที่ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทใหญ่ 30 แห่งในสหรัฐฯ เป็นดัชนีที่เก่าแก่ที่สุดและถูกอ้างอิงมากที่สุดในโลก ใช้เป็นมาตรวัดสุขภาพเศรษฐกิจและอารมณ์นักลงทุน
เราสามารถซื้อหุ้นในดัชนีดาวโจนส์โดยตรงได้หรือไม่?
ไม่ได้ — เพราะดัชนีคือตัวเลข ไม่ใช่สินทรัพย์ แต่คุณสามารถลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ “ติดตาม” มัน เช่น ETF (DIA), CFD (US30), หรือฟิวเจอร์ส
ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีดาวโจนส์?
ปัจจัยหลัก ได้แก่ นโยบายดอกเบี้ยของ Fed, ข้อมูลเศรษฐกิจ (GDP, CPI, การจ้างงาน), ผลประกอบการบริษัทในดัชนี (โดยเฉพาะหุ้นราคาสูง), และเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์
การที่ดัชนีดาวโจนส์เป็นแบบ Price-Weighted หมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่า หุ้นที่มี “ราคาต่อหุ้นสูง” จะมีอิทธิพลต่อดัชนีมากที่สุด โดยไม่เกี่ยวกับขนาดบริษัท การขยับ $1 ของหุ้นใดก็ตามใน 30 ตัว จะส่งผลต่อค่าดัชนีเท่ากัน
นักลงทุนรายย่อยในไทยสามารถลงทุนในดัชนีดาวโจนส์ได้อย่างไรบ้าง?
ได้หลายวิธี: 1) ซื้อกองทุน ETF เช่น DIA ผ่านโบรกเกอร์ที่ซื้อขายหุ้นต่างประเทศ 2) เทรด CFD ของดัชนี (เช่น US30) ผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศ 3) ลงทุนในกองทุนรวมในไทยที่เน้นหุ้นบลูชิปสหรัฐฯ หรือลงทุนใน ETF ต่างประเทศอีกทอดหนึ่ง
Dow Jones Futures (ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส) คืออะไร?
คือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของดัชนีดาวโจนส์ ที่ตกลงจะซื้อหรือขายในราคาที่กำหนดไว้ในอนาคต ใช้โดยนักเทรดมืออาชีพเพื่อเก็งกำไรหรือป้องกันความเสี่ยง ตลาดฟิวเจอร์สเปิดเกือบ 24 ชั่วโมง และมักเป็นตัวชี้นำทิศทางตลาดหุ้นหลัก