เคยไหม? วันหนึ่งคุณเปิดแอปเทรด แล้วเจอข้อความเด้งขึ้นมาว่า “Margin Call” พร้อมกับเวลาที่เหลือให้ตอบสนองแค่ไม่กี่ชั่วโมง หัวใจเต้นแรงทันที นั่นแหละ… สัญญาณเตือนภัยที่ไม่มีนักลงทุนคนไหนอยากเจอ
แต่ถ้าคุณเข้าใจกลไกของมันก่อน คุณจะไม่ต้องตกใจ เพราะทุกอย่างมีเหตุและผล มาร์จิ้น คอลล์ไม่ใช่คำสาป แต่เป็นระบบเตือนภัยที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องทั้งคุณและโบรกเกอร์
วันนี้เราจะพูดกันตรงๆ เรื่องนี้ แบบที่เพื่อนนักลงทุนคุยกันในร้านกาแฟ ไม่ต้องกลัวศัพท์ยาก เราอธิบายทีละขั้น ให้คุณรู้เท่าทันก่อนที่จะสายเกินไป

Margin Call คืออะไร? (นิยามจาก SET และสากล)
คำว่า Margin Call หรือที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เรียกอย่างเป็นทางการว่า “การเรียกหลักประกันเพิ่ม” คือการแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์ ที่ส่งถึงคุณทันทีที่ “ส่วนของทุน” (Equity) ในบัญชีมาร์จิ้นของคุณตกลงมาต่ำกว่าระดับที่กำหนดไว้
ระดับนั้นเรียกว่า Maintenance Margin (MM) หรือ “หลักประกันรักษาสภาพ” — ซึ่งก็คือเส้นแดงที่ถ้าข้ามไป ระบบจะเริ่มทำงาน
พูดง่ายๆ ว่า คุณใช้เงินกู้จากโบรกเกอร์ไปซื้อหุ้น พอหุ้นร่วงหนัก เงินตัวเองในพอร์ตเหลือไม่พอค้ำจุนหนี้แล้ว โบรกเกอร์ก็เลยโทรมาบอกว่า “เฮ้ย ช่วยเติมเงินหน่อยสิ ไม่งั้นเรารับความเสี่ยงไม่ไหว”
ถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย ภายในเวลาที่กำหนด ผลลัพธ์ต่อไปคือ “การบังคับขาย” (Force Sell) — ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิด
กลไกการทำงานของ Margin Call: เกิดขึ้นได้อย่างไร?
คำถามสำคัญคือ “มันเกิดขึ้นได้ยังไง?” เพื่อเข้าใจ ต้องเริ่มจากสองคำหลัก: บัญชีมาร์จิ้น และ เลเวอเรจ
- บัญชีมาร์จิ้น คือบัญชีที่ให้คุณยืมเงินจากโบรกเกอร์ไปซื้อหุ้น หรือสินทรัพย์อื่นในราคาที่สูงกว่าเงินที่คุณมี (เช่น มีเงิน 100,000 บาท แต่ซื้อหุ้นได้ 200,000 บาท) — นั่นคือการใช้ เลเวอเรจ
- เลเวอเรจ คือดาบสองคม ช่วยเพิ่มกำไรเมื่อตลาดขึ้น แต่ก็ทำให้ขาดทุนเร็วขึ้นเมื่อตลาดลง
ระบบจะป้องกันความเสี่ยงด้วยการตั้ง “ระดับหลักประกัน” ไว้ 2 ระดับ:
Initial Margin (IM) หรือ หลักประกันเริ่มต้น
- IM คือเงินขั้นต่ำที่คุณต้องใช้เอง เพื่อ “เปิด” สถานะการซื้อขาย
- ตัวอย่าง: โบรกเกอร์กำหนด IM ที่ 50% แปลว่า ถ้าจะซื้อหุ้นมูลค่า 200,000 บาท คุณต้องใช้เงินตัวเอง 100,000 บาท ส่วนอีก 100,000 บาท ยืมจากโบรกเกอร์
Maintenance Margin (MM) หรือ หลักประกันรักษาสภาพ
- MM คือระดับต่ำสุดของส่วนของทุน (Equity) ที่คุณต้อง รักษามี อยู่ในบัญชี “หลังจาก” เปิดสถานะแล้ว โดยทั่วไป MM จะต่ำกว่า IM เช่น 30%
- เมื่อมูลค่าพอร์ตคุณลดลงจน Equity เหลือเท่ากับหรือต่ำกว่า MM — ทันทีนั้น ระบบจะเริ่มทำงาน
สูตรคำนวณง่ายๆ คือ:
Equity ≤ Maintenance Margin
— ตรงนี้แหละ ที่โบรกเกอร์จะส่งแจ้งเตือนทันที

(ตัวอย่าง) การคำนวณ Margin Call ด้วยตัวเลขจริง
สมมติว่าคุณซื้อหุ้น A มูลค่า 200,000 บาท ผ่านบัญชีมาร์จิ้น โดยมีเงื่อนไข: IM = 50%, MM = 30%
ขั้นตอนที่ 1: การเปิดสถานะ
- คุณต้องใช้เงินตัวเอง 50% ของ 200,000 บาท คือ 100,000 บาท
- ยืมจากโบรกเกอร์: 100,000 บาท
- ส่วนของทุน (Equity) ของคุณเริ่มต้นที่ 100,000 บาท
ขั้นตอนที่ 2: คำนวณจุดที่เกิด Margin Call
- ระดับ MM ที่ต้องรักษา = 30% ของมูลค่าสินทรัพย์รวม (200,000 บาท) = 60,000 บาท
- แปลว่า คุณห้ามให้ Equity ต่ำกว่า 60,000 บาท (พอร์ตขาดทุนได้สูงสุด 40,000 บาท)
ขั้นตอนที่ 3: สถานการณ์ที่ทำให้เกิด Margin Call
- สมมติหุ้น A ร่วงจาก 200,000 บาท เหลือ 160,000 บาท
- คำนวณ Equity ใหม่: 160,000 (มูลค่าปัจจุบัน) – 100,000 (หนี้) = 60,000 บาท
พอดีเท่ากับระดับ MM — โบรกเกอร์ส่ง Margin Call ทันที! ถ้าหุ้นตกต่อเหลือ 159,000 บาท (Equity เหลือ 59,000 บาท) ต่ำกว่า MM — โบรกเกอร์เริ่มกระบวนการ Force Sell
เมื่อได้รับ Margin Call: คุณมีทางเลือกอะไรบ้าง?
เวลาคือสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อได้รับแจ้ง คุณมักมีเวลาแค่ 24 ชั่วโมง หรือไม่เกินวันทำการถัดไป อย่าเพิกเฉย! คุณมีทางเลือกหลักๆ 3 ทาง:
1. การฝากเงินเพิ่ม (Deposit funds)
- วิธีที่ตรงที่สุด คือ โอนเงินสดเข้าบัญชีมาร์จิ้น เพื่อเพิ่ม Equity ให้กลับขึ้นมาเหนือระดับ MM
- ข้อควรระวัง: ต้องมี “เงินสำรอง” อยู่จริง
2. การฝากหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่ม (Deposit securities)
- นำหุ้นตัวอื่นที่ไม่มีภาระหนี้มาวางเป็นหลักประกันเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่ารวมของ Equity
- ข้อควรระวัง: ต้องตรวจสอบว่าหุ้นตัวนั้นโบรกเกอร์ “รับได้” หรือไม่
3. การขายสินทรัพย์บางส่วน (Sell positions)
- คุณสามารถ “ปิดบางตำแหน่ง” ด้วยตัวเอง เช่น ขายหุ้น A บางส่วนออก เพื่อลดหนี้มาร์จิ้น
- การขายเองช่วยให้คุณควบคุมราคาและจังหวะได้ดีกว่า ต่างจากการโดนบังคับขาย
จะเกิดอะไรขึ้นหากเพิกเฉยต่อ Margin Call? (Force Sell)
ถ้าคุณไม่ตอบสนองต่อ Margin Call โบรกเกอร์จะใช้สิทธิ์ในการ “บังคับขาย” สินทรัพย์ในพอร์ตของคุณทันที โดยไม่ต้องขออนุญาตเพิ่มเติม เพราะคุณได้ให้สิทธิ์ไว้แล้วตั้งแต่วันที่เปิดบัญชี
Force Sell คืออะไร?
Force Sell หรือ Forced Liquidation คือการที่โบรกเกอร์ขายสินทรัพย์ของคุณอัตโนมัติในราคาตลาด ณ เวลานั้น จุดประสงค์คือ ลดความเสี่ยงของโบรกเกอร์ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของคุณ
ความอันตรายของ Force Sell
- ตอกย้ำการขาดทุน: คุณจะขายที่จุดต่ำสุด ซึ่งเป็นการ Lock in Loss ทันที
- สูญเสียการควบคุม: ไม่สามารถเลือกได้ว่าจะขายตัวไหน หรือขายเมื่อไหร่ โบรกเกอร์จะเลือกสินทรัพย์ที่ขายง่ายที่สุดก่อน
- ความเสี่ยงยอดเงินติดลบ: โดยเฉพาะใน CFD หรือเลเวอเรจสูง หากราคาเคลื่อนที่เร็วมาก (Slippage) คุณอาจขาดทุนเกินกว่าเงินที่มี ผลลัพธ์คือคุณไม่เพียงเสียเงินทั้งหมด แต่ยัง “เป็นหนี้” โบรกเกอร์เพิ่มอีก

วิธีหลีกเลี่ยง Margin Call สำหรับนักลงทุน
รู้ทันก่อนเกิด — คือกลยุทธ์ที่ดีที่สุด Margin Call เป็นผลจาก “การบริหารความเสี่ยงที่ผิดพลาด” ไม่ใช่เรื่องโชคร้าย
1. หลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจสูงเกินไป (Avoid over-leveraging)
- อย่าใช้ “วงเงินมาร์จิ้นเต็มจำนวน” ที่โบรกเกอร์ให้มา
- การใช้เลเวอเรจ 1:2 หรือ 1:3 อาจดูช้า แต่ให้ “พื้นที่ปลอดภัย” มากกว่า ทำให้พอร์ตทนต่อความผันผวนได้ดี
2. ตรวจสอบสถานะบัญชีและ Margin Level อย่างสม่ำเสมอ
- คุณต้องรู้ว่า “Margin Level” ของคุณอยู่ที่เท่าไหร่ทุกวัน
- Margin Level คือ (Equity / Margin ที่ใช้ไป) x 100%
- เมื่อ Margin Level ตกลงมาใกล้ 100% หรือต่ำกว่านั้น — นั่นคือสัญญาณอันตราย
3. การใช้คำสั่งหยุดขาดทุน (Stop-Loss Orders)
- Stop-Loss คือ “ประกันชีวิต” ของนักเทรด ตั้งไว้ทันทีที่เปิดสถานะ
- มันจะช่วยตัดขาดทุนโดยอัตโนมัติ ก่อนที่คุณจะเสียมากเกินไป
4. รักษาระดับเงินสดส่วนเกิน (Cash buffer)
- ควรมี “เงินสำรอง” เก็บไว้ในบัญชีมาร์จิ้น แม้ไม่ได้ใช้ซื้ออะไร
- เงินสดนี้ไม่ผันผวนตามตลาด และช่วยรักษาระดับ Equity ให้สูง เป็น “กันชน” ที่ช่วยให้คุณไม่โดนเรียกทันทีเมื่อตลาดร่วงหนัก
FAQ (คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Margin Call)
Margin Call (มาร์จิ้น คอลล์) คืออะไร?
Margin Call คือการแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์ เมื่อส่วนของทุน (Equity) ในบัญชีมาร์จิ้นของคุณลดลงต่ำกว่าระดับ Maintenance Margin
เมื่อเกิดขึ้น โบรกเกอร์จะเรียกร้องให้คุณเติมเงินหรือเพิ่มหลักประกัน ไม่เช่นนั้นโบรกเกอร์มีสิทธิ์บังคับขายสินทรัพย์ในพอร์ตของคุณ
Maintenance Margin (MM) แตกต่างจาก Initial Margin (IM) อย่างไร?
Initial Margin (IM): เงินทุนขั้นต่ำที่ต้องใช้ในการ “เปิดสถานะ”
Maintenance Margin (MM): ระดับต่ำสุดที่ต้อง “รักษาเหลืออยู่” หลังจากเปิดสถานะแล้ว
โดยทั่วไป MM จะต่ำกว่า IM เพื่อให้พอร์ตมีพื้นที่ในการแกว่งตัว
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันไม่เติมเงินตาม Margin Call? (Force Sell)
หากคุณไม่เติมเงินหรือไม่ตอบสนองตามเวลาที่กำหนด โบรกเกอร์จะดำเนินการบังคับขาย (Force Sell) อัตโนมัติ
สินทรัพย์ของคุณจะถูกขายที่ “ราคาตลาด ณ ขณะนั้น” ซึ่งมักเป็นราคาที่ไม่ดี ส่งผลให้ขาดทุนมากขึ้น
โบรกเกอร์มีสิทธิ์ขายหุ้นของฉันโดยไม่บอกล่วงหน้าหรือไม่?
มีสิทธิ์ เพราะการส่ง Margin Call ถือเป็น “การแจ้งเตือนล่วงหน้า” แล้ว
ในสัญญาบัญชีมาร์จิ้นที่คุณลงชื่อ จะระบุชัดว่าโบรกเกอร์สามารถขายสินทรัพย์ได้ทันที หากคุณไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ต้องอ่านข้อตกลงให้ละเอียดก่อนเปิดบัญชีมาร์จิ้น
ฉันจะคำนวณ Margin Level ได้อย่างไร?
ส่วนใหญ่แพลตฟอร์มเทรดจะแสดงค่านี้ให้อยู่แล้ว แต่สูตรพื้นฐานคือ:
(Equity ÷ Margin ที่ใช้ไป) × 100% = Margin Level (%)
เมื่อค่า Margin Level ลดลงถึงระดับที่โบรกเกอร์กำหนด เช่น 100% ก็จะเกิด Margin Call
วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยง Margin Call คืออะไร?
ใช้เลเวอเรจต่ำ
อย่าใช้เงินมาร์จิ้นเต็มจำนวน
ตรวจสอบพอร์ตทุกวัน
ตั้ง Stop-Loss ทุกครั้ง
บริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย
ในตลาดมาร์จิ้น “ความอดทนและวินัย” สำคัญกว่าความพยายามคาดเดาราคา
การเทรด CFD มีความเสี่ยงต่อ Margin Call มากกว่าหุ้นหรือไม่?
ใช่ มากกว่าอย่างชัดเจน เพราะ CFD มักให้เลเวอเรจสูง เช่น 1:100 หรือ 1:500
เมื่อราคาเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยสวนทางกับคุณ พอร์ตอาจโดนเรียก Margin Call ทันที
CFD ให้ผลตอบแทนเร็วก็จริง แต่ก็สามารถทำให้คุณ “ขาดทุนเร็ว” เช่นกัน