ในโลกของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น คริปโทเคอร์เรนซี หรือแม้แต่ทองคำ คุณคงเคยได้ยินคำว่า “Bullish” และ “Bearish” อยู่บ่อยครั้ง คำศัพท์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาษาที่ใช้กันในหมู่นักลงทุนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง ทิศทางและอารมณ์ของตลาด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ลงทุนทุกคนต้องทำความเข้าใจ
เพราะการรู้ว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะขาขึ้น (Bullish) หรือขาลง (Bearish) จะช่วยให้คุณวางกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม ตัดสินใจลงทุนได้มั่นใจขึ้น และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไร
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจอย่างละเอียด ตั้งแต่ที่มาของคำศัพท์ Bullish แปลว่า และ Bearish ลักษณะของแต่ละสภาวะ ไปจนถึงกลยุทธ์ที่สามารถนำไปปรับใช้จริง เพื่อให้คุณอ่านทิศทางตลาดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

Bullish แปลว่าอะไร? จุดเริ่มต้นของตลาดกระทิง (Bull Market)

คำว่า Bullish (อ่านว่า บูล-ลิช) หมายถึงสภาวะที่ตลาดการลงทุนกำลังอยู่ใน แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ราคาของสินทรัพย์ส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนมักเรียกตลาดในลักษณะนี้ว่า “ตลาดกระทิง” (Bull Market)
ในช่วงตลาดกระทิง บรรยากาศการซื้อขายเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น นักลงทุนจำนวนมากมองโลกในแง่ดีและเข้ามาลงทุนเพราะคาดหวังว่าราคาจะพุ่งสูงขึ้นไปอีก ทำให้สภาพคล่องในตลาดหนาแน่นและเกิดแรงซื้ออย่างต่อเนื่อง
ที่มาของคำว่า “กระทิง” (Bull) มาจากลักษณะการโจมตีของวัวกระทิงที่ใช้เขาช้อนคู่ต่อสู้ขึ้นด้านบน ซึ่งเปรียบได้กับราคาที่ทะยานขึ้นในทิศทางขาขึ้นนั่นเอง
โดยทั่วไป ตลาดกระทิงมักเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเติบโต ผู้คนมีงานทำ รายได้เพิ่มขึ้น และบริษัทต่าง ๆ ทำกำไรได้ดี ปัจจัยเหล่านี้ช่วยเสริมแรงขับเคลื่อนให้ตลาดคงอยู่ในภาวะขาขึ้นอย่างยั่งยืน
ตัวอย่างในประวัติศาสตร์
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงปี 2009–2020 หลังวิกฤตการเงินปี 2008 ถือเป็นหนึ่งในตลาดกระทิงที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่องกว่า 11 ปี สะท้อนถึงพลังของสภาวะ Bullish ได้อย่างชัดเจน
> อ้างอิง: https://www.investopedia.com/insights/digging-deeper-bull-and-bear-markets/
แล้ว Bearish คืออะไร? รู้จักสภาวะตลาดหมี (Bear Market)

คำว่า Bearish (อ่านว่า แบ-ริช) หมายถึงสภาวะที่ตลาดการลงทุนกำลังอยู่ใน แนวโน้มขาลง (Downtrend) ราคาของสินทรัพย์ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง นักลงทุนจึงมักเรียกสถานการณ์นี้ว่า “ตลาดหมี” (Bear Market)
ในตลาดหมี นักลงทุนส่วนใหญ่มีความวิตกกังวลและมองตลาดในแง่ลบ ความกลัวที่จะขาดทุนทำให้เกิดแรงเทขายสินทรัพย์ออกมาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคายิ่งร่วงต่ำลงไปอีก บรรยากาศการซื้อขายจึงเงียบเหงาและเต็มไปด้วยแรงกดดัน
ที่มาของคำว่า “หมี” (Bear) มาจากพฤติกรรมของหมีที่ใช้กรงเล็บตะปบเหยื่อจากด้านบนลงล่าง ซึ่งเปรียบได้กับราคาที่ถูกกดลงในทิศทางขาลง
โดยทั่วไป ตลาดหมีมักเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวหรือถดถอย บริษัทมีกำไรลดลง อัตราการว่างงานสูงขึ้น และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ตลาดเต็มไปด้วยความเสี่ยงและแรงกดดันต่อราคาสินทรัพย์
ตัวอย่างในประวัติศาสตร์
- วิกฤตการเงินโลกปี 2008: ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ร่วงลงเกือบ 50% ภายในไม่กี่เดือน
- วิกฤตต้มยำกุ้งปี 1997: ตลาดหุ้นไทยดิ่งลงรุนแรง เศรษฐกิจถดถอยหนักและค่าเงินบาทสูญเสียมูลค่าอย่างมหาศาล
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Bullish vs Bearish

เพื่อให้คุณเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมาดูการเปรียบเทียบคุณลักษณะสำคัญของทั้ง ตลาดกระทิง และ ตลาดหมี ในรูปแบบตารางกัน
ลักษณะสำคัญ | ตลาดกระทิง (Bullish) | ตลาดหมี (Bearish) |
---|
ทิศทางราคา | ราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง | ราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง |
---|
ความเชื่อมั่นนักลงทุน | สูง (มองโลกในแง่ดี) | ต่ำ (มองโลกในแง่ร้าย) |
---|
สภาวะเศรษฐกิจ | เติบโต, มีการจ้างงานสูง | ชะลอตัว, มีการว่างงานสูง |
---|
ปริมาณการซื้อขาย | สูงและคึกคัก | ต่ำและซบเซา |
---|
ความรู้สึกที่พบเจอ | FOMO (กลัวตกรถ) | FUD (กลัว, ไม่มั่นใจ) |
---|
4 ลักษณะสำคัญของตลาดกระทิงและตลาดหมี
นอกเหนือจากการดูเพียงทิศทางราคาที่ขึ้นหรือลงแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยสะท้อนสภาวะตลาดการลงทุนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ทิศทางราคา (Price Direction):
ตลาดกระทิงมักแสดงออกผ่านการที่ราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และทำจุดสูงสุดใหม่อยู่เสมอ แม้จะมีการย่อตัวบ้างก็เป็นเพียงระยะสั้นก่อนพุ่งขึ้นต่อ ขณะที่ตลาดหมีตรงกันข้าม ราคาจะร่วงลงและสร้างจุดต่ำสุดใหม่บ่อยครั้ง บางครั้งอาจมีแรงเด้งกลับเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังกลับไปสู่ขาลง
ความเชื่อมั่นของนักลงทุน (Investor Confidence):
ในตลาดกระทิง นักลงทุนเต็มไปด้วยความมั่นใจ กล้าที่จะถือครองและเข้าซื้อเพื่อทำกำไรในระยะยาว บ่อยครั้งถึงขั้นเกิดภาวะ FOMO หรือการไล่ราคาจนเกินจริง ส่วนในตลาดหมี ความเชื่อมั่นจะหดหาย เหลือเพียงความกลัวและความไม่แน่นอน (FUD) จนนำไปสู่การเทขายแบบตื่นตระหนก
สภาวะเศรษฐกิจ (Economic Activity):
เศรษฐกิจที่เติบโตแข็งแรง รายได้บริษัทเพิ่มขึ้น และอัตราว่างงานต่ำ มักเป็นภาพที่คู่มากับตลาดกระทิง ในทางตรงกันข้าม ตลาดหมีมักปรากฏในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือเข้าสู่ภาวะถดถอย บริษัทขาดทุน และการจ้างงานหดตัว
ปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume):
ตลาดกระทิงจะมีสภาพคล่องคึกคัก นักลงทุนหน้าใหม่ไหลเข้ามาเสริมกำลังซื้อ ขณะที่ตลาดหมีปริมาณการซื้อขายมักซบเซา เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่เลือกหยุดพักหรือถอนเงินออกจากตลาด
นักลงทุนควรทำอย่างไรในแต่ละสภาวะตลาด?
การรู้ว่าตลาดอยู่ในสภาวะไหนจะช่วยให้คุณปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ การลงทุน ได้อย่างเหมาะสม
ตลาด Bullish (ตลาดกระทิง)
กลยุทธ์: Buy and Hold หรือ ซื้อและถือครองสินทรัพย์ ไปตามแนวโน้มขาขึ้น
- ราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว
- ควรเลือก สินทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และยังเติบโตได้ในอนาคต
- อาจทยอยขายทำกำไรบางส่วนเพื่อบริหารความเสี่ยง
- หลีกเลี่ยงการขายทั้งหมด เพราะอาจพลาดกำไรจากการขึ้นรอบใหม่
ตลาด Bearish (ตลาดหมี)
กลยุทธ์: Short Selling หรือ การขายชอร์ต เพื่อทำกำไรจากราคาที่ลดลง
- เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ ได้รับผลกระทบน้อย เช่น สาธารณูปโภค
- อาจเลือกถือเงินสด เพื่อรอโอกาสเข้าซื้อในจังหวะราคาต่ำที่น่าสนใจ
สิ่งควรทำ:
- ให้ความสำคัญกับ การบริหารความเสี่ยง เป็นหลัก
- กระจายการลงทุนไปยัง สินทรัพย์ที่ผันผวนต่ำ
- ใช้กลยุทธ์เชิงรับมากกว่ารุก เพื่อลดการสูญเสีย
วิธีสังเกตสัญญาณ Bullish และ Bearish เบื้องต้น และการใช้งานร่วมกับเครื่องมืออื่น
นอกจากการดูทิศทางราคาและข่าวเศรษฐกิจแล้ว นักลงทุนยังสามารถใช้ เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเบื้องต้น เพื่อช่วยยืนยันว่าตลาดอยู่ในภาวะ Bullish หรือ Bearish ได้
1. เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)

- หากราคาปรับตัว อยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (เช่น EMA 50 หรือ EMA 200) → มักบ่งชี้ว่าเป็น แนวโน้มขาขึ้น (Bullish)
- หากราคาปรับตัว ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ → สะท้อนว่าอาจเข้าสู่ แนวโน้มขาลง (Bearish)
2. RSI (Relative Strength Index)
- RSI มากกว่า 70 → ตลาดอยู่ในภาวะ ซื้อมากเกินไป (Overbought) ซึ่งมักพบในตลาดกระทิง
- RSI น้อยกว่า 30 → ตลาดอยู่ในภาวะ ขายมากเกินไป (Oversold) ซึ่งมักพบในตลาดหมี
3. รูปแบบกราฟแท่งเทียน (Candlestick Patterns)
- Bullish Engulfing Pattern หรือ Hammer Pattern มักปรากฏช่วงท้ายแนวโน้มขาลง → เป็นสัญญาณเตือนว่าราคาอาจเริ่ม กลับตัวเป็นขาขึ้น
- รูปแบบแท่งเทียนตรงข้าม เช่น Bearish Engulfing หรือ Shooting Star ก็สามารถบ่งบอกการกลับตัวลงได้เช่นกัน
- หากคุณสนใจเรียนรู้การอ่านกราฟเพื่อหาจุดเข้า-ออกที่แม่นยำ สามารถดู คู่มือวิเคราะห์กราฟแท่งเทียน เพิ่มเติมได้
จุดสิ้นสุดของตลาด: สัญญาณที่บ่งบอกการเปลี่ยนทิศทาง
ไม่มีใครบอกได้อย่างแม่นยำว่าตลาดจะเปลี่ยนทิศเมื่อไหร่ แต่มีสัญญาณบางอย่างที่นักลงทุนควรสังเกตและระมัดระวัง
สัญญาณสิ้นสุดตลาดกระทิง
เมื่อราคาปรับตัวขึ้นสูงมากจนดึงดูดให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากแห่เข้ามาลงทุน บรรยากาศเต็มไปด้วยการเก็งกำไรอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันนักลงทุนสถาบันเริ่มทยอยขายทำกำไรออกมา เหตุการณ์ลักษณะนี้มักเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดอาจเข้าสู่การปรับฐานครั้งใหญ่ หรือใกล้สิ้นสุดรอบ Bullish แล้ว
สัญญาณสิ้นสุดตลาดหมี
ในทางกลับกัน หากราคาดิ่งลงจนหลายคนมองว่าสถานการณ์เลวร้ายที่สุดแล้ว มักจะตามมาด้วยการ Panic Sell อย่างหนัก แต่ในเวลาเดียวกันนักลงทุนสถาบันกลับเริ่มเข้าซื้อสะสมที่ระดับราคาต่ำ จุดนี้มักบ่งชี้ว่าตลาดใกล้แตะจุดต่ำสุด และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับตัวเป็นขาขึ้น
สรุป: เข้าใจ Bullish vs Bearish เพื่อการลงทุนที่แม่นยำ
การทำความเข้าใจว่า bullish แปลว่าอะไร ไม่ได้เป็นเพียงการจำศัพท์เทคนิค แต่คือการเรียนรู้ที่จะอ่าน อารมณ์และทิศทางของตลาด ได้อย่างลึกซึ้ง เพราะเมื่อคุณรู้ว่า bullish หมายถึง ตลาดที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น คุณก็จะมองเห็นโอกาสและรู้วิธีเข้าร่วมในจังหวะที่เหมาะสม
ในทางกลับกัน เมื่อเข้าใจความหมายของ bearish ก็จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับ ความผันผวนและความเสี่ยงในตลาดขาลง ได้ดียิ่งขึ้น
การนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์การลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการ ถือครองสินทรัพย์ในตลาดกระทิง หรือการ เพิ่มความระมัดระวังในตลาดหมี จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล และลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้ในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Bullish กับ Bearish ต่างกันอย่างไร?
Bullish หมายถึงสภาวะที่ราคาตลาดมีแนวโน้มขาขึ้น (ตลาดกระทิง) ส่วน Bearish หมายถึงสภาวะที่ราคาตลาดมีแนวโน้มขาลง (ตลาดหมี) ซึ่งตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง โดยความแตกต่างหลักอยู่ที่ทิศทางราคา ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสภาวะเศรษฐกิจ
ตลาดกระทิงคืออะไร?
ตลาดกระทิง คือช่วงเวลาที่ราคาของสินทรัพย์ในตลาดโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เกิดจากความเชื่อมั่นและมุมมองเชิงบวกของนักลงทุน โดยราคาอาจเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% จากจุดต่ำสุด
ตลาดหมีคืออะไร?
ตลาดหมี คือช่วงเวลาที่ราคาของสินทรัพย์ในตลาดโดยรวมลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เกิดจากความไม่มั่นใจและความกังวลของนักลงทุน โดยราคาอาจลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุด
แล้วสภาวะตลาดกระทิงหรือตลาดหมีจะเกิดขึ้นนานแค่ไหน?
ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างแน่นอนว่าแต่ละสภาวะจะเกิดขึ้นนานเท่าไหร่ เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วตลาดกระทิงมักจะมีระยะเวลานานกว่าตลาดหมี แต่ตลาดหมีก็อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงได้เช่นกัน เช่น ตลาดหมีในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก
ตลาดกระทิงกับเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
A: ตลาดกระทิงมักเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตและขยายตัว โดยมีอัตราการว่างงานต่ำและกำไรของบริษัทต่างๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งความสัมพันธ์นี้เป็นไปในเชิงบวก โดยตลาดหุ้นมักจะสะท้อนความคาดหวังในอนาคตของเศรษฐกิจ
Bullish และ Bearish ใช้กับสินทรัพย์อะไรได้บ้าง?
คำว่า Bullish และ Bearish ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตลาดหุ้นเท่านั้น แต่สามารถใช้ได้กับสินทรัพย์ทุกประเภทที่มีการซื้อขายในตลาด เช่น ทองคำ น้ำมัน อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีอย่าง Bitcoin และ Ethereum