เมื่อก้าวสู่โลกของการลงทุนในตลาดหุ้น หนึ่งในแนวคิดพื้นฐานที่นักลงทุนมือใหม่ต้องเจอและเข้าใจให้ได้คือ Market Capitalization หรือที่นิยมเรียกกันว่า Market Cap คำสั้นๆ คำนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขไร้ความหมาย แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจขนาด สถานะในตลาด และศักยภาพในการลงทุนในหุ้นของบริษัทต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกมิติของ “มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” ตั้งแต่ความหมาย วิธีคำนวณ ประเภทของหุ้นตามขนาด ประโยชน์และความสำคัญ รวมถึงข้อจำกัดที่นักลงทุนต้องรู้ เพื่อให้คุณใช้ Market Cap เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างพอร์ตการลงทุนอย่างชาญฉลาดและมีกลยุทธ์

Market Capitalization คืออะไร ความหมายที่นักลงทุนต้องเข้าใจ
Market Capitalization หรือที่ใช้คำภาษาไทยว่า มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด คือ ค่ารวมของมูลค่าทั้งหมดที่ตลาดให้กับหุ้นสามัญที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะอยู่ในมือของนักลงทุนทั้งหมด กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ “ราคาป้าย” ของบริษัทนั้นๆ ที่ตลาดประเมินไว้ ณ ขณะนั้น
ถ้าคุณกำลังคิดจะซื้อกิจการทั้งบริษัท Market Cap คือจำนวนเงินขั้นต่ำที่คุณต้องเตรียมจ่าย (โดยทฤษฎี) เพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่ในระบบ จึงไม่แปลกที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์จะใช้ตัวชี้วัดนี้ในการประเมิน “ขนาด” ของบริษัท ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญก่อนที่จะพิจารณาลงทุน
สิ่งที่คุณต้องรู้คือ ตัวเลข Market Cap มาจากการดึงข้อมูลราคาหุ้นล่าสุด และจำนวนหุ้นที่บริษัทมีทั้งหมดในมือผู้ถือหุ้น ไม่ใช่ตัวเลขที่นิ่ง แต่เปลี่ยนแปลงทุกวันตามการซื้อขายในตลาด
คำนวณ Market Cap อย่างไร สูตรง่ายที่ต้องรู้
การคำนวณ Market Cap นั้นไม่ซับซ้อนและใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที ขอเพียงมีข้อมูล 2 ส่วนหลัก คือ ราคาหุ้นปัจจุบัน และจำนวนหุ้นที่บริษัทมีในมือผู้ถือหุ้น (outstanding shares) ตามสูตรดังนี้:
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด = ราคาหุ้นล่าสุด × จำนวนหุ้นจดทะเบียนชำระแล้ว
เพื่อให้เห็นภาพชัด เรามาดูตัวอย่างจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT
- ราคาหุ้นปัจจุบัน: 60 บาท
- จำนวนหุ้นจดทะเบียนชำระแล้ว: 14,285,714,286 หุ้น
นำตัวเลขมาคำนวณ:
60 บาท × 14,285,714,286 หุ้น = 857,142,857,160 บาท
ดังนั้น AOT มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ประมาณ 8.57 หมื่นล้านบาท หรือเกือบ 8.6 แสนล้านบาท ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม หุ้นขนาดใหญ่ (Large-Cap) อย่างชัดเจน สะท้อนถึงขนาดกิจการและบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจไทย

จำแนกหุ้นตามขนาด: Large-Cap, Mid-Cap, Small-Cap มีอะไรต่างกัน?
การแบ่งประเภทหุ้นตามขนาด Market Cap เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่นักลงทุนมืออาชีพและผู้จัดการกองทุนใช้กันทั่วไป เพื่อช่วยในการจัดพอร์ตอย่างมีสมดุล ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เองก็มีแนวทางการจำแนกหุ้นตามมูลค่าตลาด ซึ่งแยกเป็น 3 กลุ่มหลักดังนี้:
ประเภทหุ้น | มูลค่าตลาด (โดยประมาณ) | ลักษณะเด่น | ความเสี่ยงและผลตอบแทน | ตัวอย่างหุ้นใน SET |
---|
หุ้นขนาดใหญ่ (Large-Cap) | > 2 แสนล้านบาท | บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรม พื้นฐานมั่นคง มีสภาพคล่องสูง ถือเป็นเสาหลักของตลาด | ความเสี่ยงต่ำ เติบโตมั่นคง เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว หรือผู้มองหารายได้ประจำจากเงินปันผล | PTT, AOT, DELTA |
หุ้นขนาดกลาง (Mid-Cap) | 1 หมื่นล้าน – 2 แสนล้านบาท | บริษัทที่อยู่ในช่วงขยายตัว อาจกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมในอนาคต | ความเสี่ยงปานกลาง โอกาสเติบโตสูงกว่า Large-Cap แต่ก็ตามมาด้วยความผันผวนที่มากขึ้น | MINT, KCE, COM7 |
หุ้นขนาดเล็ก (Small-Cap) | < 1 หมื่นล้านบาท | บริษัทเล็กหรือเริ่มต้น มีนวัตกรรมที่น่าสนใจ แต่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงกว้าง | ความเสี่ยงสูง อาจเติบโตแบบก้าวกระโดด หรือขาดทุนหนักได้เช่นกัน เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนระยะสั้น | SINGER, TKN, SNNP |
การเข้าใจความแตกต่างของแต่ละกลุ่มจะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมการกระจายพอร์ตการลงทุนได้ชัดเจนขึ้น แล้วปรับสัดส่วนการถือหุ้นให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ความเสี่ยง และเวลาการลงทุนของตัวเอง ตัวอย่างเช่น หากคุณยังหนุ่ม อาจเลือกลงทุนใน Mid-Cap และ Small-Cap เพื่อรับผลตอบแทนสูง แต่หากอายุมากแล้ว และต้องการความมั่นคง ก็อาจเน้นที่หุ้น Large-Cap เป็นหลัก
ทำไม Market Cap ถึงสำคัญต่อนักลงทุน
หลายครั้งที่นักลงทุนมือใหม่คิดว่า Market Cap คือ “ตัวเลขสวย” ที่ดูแล้วไม่มีประโยชน์ แต่ในความเป็นจริง ตัวชี้วัดนี้มีบทบาทสำคัญในหลายด้านของกระบวนการตัดสินใจลงทุน
1. ช่วยวัดขนาดและสถานะของบริษัทในตลาด
Market Cap บอกเราว่าบริษัทนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “ปลาเล็ก” หรือ “ปลาใหญ่” ได้ทันที บริษัทขนาดใหญ่มักมีเครือข่าย ลูกค้า และทรัพยากรมากกว่า ทำให้สามารถรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจได้ดีกว่า เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่หุ้น Large-Cap ส่วนใหญ่ฟื้นตัวเร็วกว่า
2. ใช้เป็นพื้นฐานในการจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยง
การลงทุนทั้งหมดในหุ้นขนาดเดียวอาจทำให้พอร์ตขาดความยืดหยุ่น นักลงทุนที่ชาญฉลาดจึงนิยมแบ่งเงินลงทุนในหุ้นทั้งสามกลุ่ม เช่น 60% ใน Large-Cap เพื่อความมั่นคง 30% ใน Mid-Cap เพื่อการเติบโต และ 10% ใน Small-Cap เพื่อโอกาสลุ้นผลตอบแทนก้อนโต
3. ช่วยประเมินศักยภาพและการผันผวน
โดยทั่วไป ยิ่งบริษัทเล็ก ยิ่งมีพื้นที่ในการเติบโตได้สูง แต่ก็แปลว่ายังไม่มีระบบจัดการที่สมบูรณ์ ทำให้ราคาหุ้นขึ้นลงตามข่าวรัฐเล็กน้อย ในทางกลับกัน หุ้นขนาดใหญ่จะเคลื่อนไหวช้าแต่มั่นคง ทำให้เหมาะกับผู้ถือครองในระยะยาว

ข้อควรระวัง: เมื่อ Market Cap บอกเราไม่ครบ
ถึงแม้ว่า Market Cap จะเป็นตัวช่วยประเมินเบื้องต้นที่ดี แต่ก็มีข้อจำกัดที่นักลงทุนควรตระหนัก เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินใจผิดพลาดจากข้อมูลเพียงด้านเดียว
1. Market Cap ไม่ใช่มูลค่าที่แท้จริงของบริษัท (Intrinsic Value)
ตัวเลข Market Cap เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามราคาหุ้น ซึ่งมีผลจากอารมณ์ตลาด อุปสงค์-อุปทาน หรือข่าวลือ แต่มูลค่าที่แท้จริงของบริษัทควรพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น กำไร รายได้ สินทรัพย์ หรือกระแสเงินสด ซึ่งเปลี่ยนช้ากว่ามาก
2. ไม่สะท้อนหนี้สินของบริษัท
หุ้นบริษัทหนึ่งอาจมี Market Cap สูง แต่มีหนี้สินจำนวนมากแฝงอยู่ในงบดุล ซึ่ง Market Cap ไม่ได้นำมาคำนวณ เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทที่มี Market Cap ต่ำกว่าแต่ไม่มีหนี้เลย กลับอาจมีฐานะทางการเงินที่แข็งแรงกว่า
ตัวอย่างเช่น บริษัท A มี Market Cap 5 หมื่นล้านบาท แต่มีหนี้ 4 หมื่นล้านบาท ในขณะที่บริษัท B มี Market Cap 3 หมื่นล้านบาท แต่ไม่มีหนี้เลย บริษัท B อาจมีมูลค่ากิจการน่าสนใจกว่า
3. ไม่รวมเงินสดในมือ
บริษัทบางแห่งมีเงินสดสำรองจำนวนมาก ซึ่งอาจถูกมองข้ามถ้าพิจารณาแค่ Market Cap หากต้องการเห็นภาพรวมทั้งหมด ควรดูที่ Enterprise Value (EV) ซึ่งจะนำเงินสดในมือมาหักออกและรวมหนี้เข้าไป เพื่อให้เห็นมูลค่ากิจการที่แท้จริง
คำแนะนำ: Market Cap ควรใช้เป็น “เครื่องมือกรองเบื้องต้น” เท่านั้น นักลงทุนควรตามด้วยการ อ่านงบการเงิน อย่างละเอียด เช่น งบกำไรขาดทุน งบดุล งบกระแสเงินสด เพื่อวิเคราะห์อย่างรอบด้าน
ดูข้อมูล Market Cap หุ้นไทยได้จากที่ไหน เข้าใจง่ายใน 3 ขั้นตอน
คุณไม่จำเป็นต้องคำนวณเองทุกครั้ง เพราะข้อมูลตลาดเปิดให้เข้าถึงได้ฟรี เพียงทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- เข้าเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ Set.or.th
- พิมพ์ชื่อย่อหุ้น ที่คุณอยากตรวจสอบ เช่น AOT, PTT หรือ CPALL ในช่องค้นหาบริเวณด้านบน
- เข้าสู่หน้า “ข้อมูลหลักทรัพย์” แล้วหาหัวข้อ “มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” ซึ่งจะแสดงตัวเลขล่าสุดทันที
ข้อมูลนี้จะอัปเดตทุกวันทำการตามราคาปิดของหุ้น แนะนำให้เช็คบ่อยๆ เพื่อจับจังหวะการลงทุนอย่างแม่นยำ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Market Capitalization
Market Cap กับ Enterprise Value (EV) ต่างกันยังไง?
Market Cap คำนวณเฉพาะ “ส่วนของผู้ถือหุ้น” เท่านั้น ในขณะที่ Enterprise Value (EV) หรือ มูลค่ากิจการ คือภาพรวมทั้งหมด โดยนิยามดังนี้: EV = Market Cap + หนี้สินรวม – เงินสดในมือ
EV จึงใช้ประเมินมูลค่าที่แท้จริงเวลาวางแผนซื้อกิจการ เพราะสะท้อนว่าคุณจะต้องรับภาระหนี้และได้รับเงินสดเท่าใดเมื่อเข้าซื้อบริษัท
Market Cap เปลี่ยนแปลงได้ไหม และทำไมต้องเปลี่ยน?
ได้ และเปลี่ยนทุกวัน โดยมี 2 ปัจจัยหลัก:
- ราคาหุ้น: เปลี่ยนตามการซื้อขายในตลาด ซึ่งกระทบต่อ Market Cap โดยตรง
- จำนวนหุ้น: หากบริษัท “เพิ่มทุน” จะทำให้หุ้นเพิ่มขึ้น ส่วน “ซื้อหุ้นคืน” จะทำให้หุ้นลดลง ซึ่งส่งผลต่อผลคูณในสูตรคำนวณ
Free Float Market Capitalization คืออะไร และสำคัญอย่างไร?
Free Float Market Cap คือ การคำนวณมูลค่าตลาด โดยพิจารณาเฉพาะหุ้นที่ “หมุนเวียน” อยู่ในตลาดจริง ไม่รวมหุ้นที่ถือครองโดยผู้มีอำนาจ เช่น ผู้ก่อตั้ง รัฐบาล หรือกลุ่มทุนเดิม ที่แทบไม่มีการซื้อขาย
ตัวชี้วัดนี้สำคัญต่อการคำนวณ “ดัชนีหุ้น” เช่น SET50 หรือ SET100 เพราะช่วยให้ดัชนีสะท้อนความเคลื่อนไหวของหุ้นที่สามารถซื้อขายได้จริง ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ดูแล้วดูดีแต่อิงจากหุ้นที่ซื้อขายไม่ได้
บริษัทที่มี Market Cap สูง หมายความว่าเป็นบริษัทน่าลงทุนไหม?
ไม่จำเป็นเสมอไป หุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูง อาจเป็นเพราะ “ราคาหุ้นถูกปั่น” หรือ “ตลาดให้ราคาแพงเกินพื้นฐาน” (Overvalued) ส่วนบริษัทขนาดเล็กที่ดี อาจมีข้อมูลดี แต่ยังไม่เป็นที่สนใจของตลาดจึงมี Market Cap ต่ำ
สิ่งสำคัญคืออย่าตัดสินแค่จากขนาด ต้องวิเคราะห์เชิงลึกควบคู่กัน
ลงทุนควรเลือกหุ้นขนาดไหน?
ไม่มีคำตอบตายตัว ขึ้นอยู่กับ:
- เป้าหมาย: ต้องการผลตอบแทนสูงหรือความมั่นคง
- ความเสี่ยงที่ยอมรับได้: รับความผันผวนได้มากน้อยแค่ไหน
- ช่วงอายุ: คนหนุ่มอาจเน้นเติบโต ส่วนผู้สูงอายุอาจเน้นปันผล
กลยุทธ์การกระจายพอร์ตจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและยั่งยืนที่สุด
สามารถดู Market Cap ของทุกหุ้นในตลาดได้ที่ไหน?
แหล่งข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดคือเว็บไซต์ทางการของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นอกจากนี้ แอปพลิเคชันซื้อขายหุ้น เช่น Streaming, KSestock หรือเว็บไซต์การเงินอย่าง Finnomena ก็มีข้อมูลนี้เช่นกัน
ทำไม Market Cap ถึงสำคัญต่อการคำนวณดัชนี SET50?
ดัชนี SET50 คัดเลือกหุ้น 50 ตัวแรกที่มี Market Cap สูง และ สภาพคล่องดี เพื่อให้เป็นตัวแทนของภาพรวมตลาดหุ้นไทย เมื่อมีการนำเข้า-ออกหุ้นในดัชนี (Rebalance) ตัว Market Cap ก็เป็นเกณฑ์สำคัญ
การขึ้นหรือออกของหุ้นใน SET50 มักมีผลกระทบต่อราคาหุ้นโดยตรง เพราะกองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีจะต้อง “ซื้อเข้า” หรือ “ขายออก” ตามนั้น ซึ่งเป็นโอกาสของนักลงทุนที่ติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิด
หากคุณอยากเข้าใจวิธีประเมินมูลค่าหุ้นให้ลึกขึ้น การใช้ค่า P/E Ratio เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญ สามารถอ่านต่อได้ที่ สูตรการคำนวณ P/E Ratio เพื่อเรียนรู้วิธีตีความอย่างถูกต้อง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Market Capitalization (FAQ)
Market Cap กับ Enterprise Value (EV) แตกต่างกันอย่างไร?
Market Cap คือมูลค่าของ ส่วนทุน (Equity) ของบริษัทเพียงอย่างเดียว ส่วน Enterprise Value (EV) หรือ มูลค่ากิจการ จะสะท้อนภาพรวมที่ครบถ้วนกว่า เพราะคำนวณจาก Market Cap บวกกับหนี้สินทั้งหมด แล้วหักด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ดังนั้น EV จึงเปรียบเสมือน “ราคาที่แท้จริง” หากจะซื้อกิจการทั้งหมดของบริษัทนั้น
Market Cap ของบริษัทเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่? เพราะอะไร?
เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาในวันทำการของตลาดหลักทรัพย์ สาเหตุหลักมาจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ผันผวนอยู่เสมอ และการเปลี่ยนแปลงของจำนวนหุ้น เช่น การออกหุ้นเพิ่มทุนซึ่งทำให้หุ้นในตลาดมากขึ้น หรือการซื้อหุ้นคืนที่ทำให้หุ้นหมุนเวียนลดลง
Free Float Market Capitalization คืออะไร และสำคัญอย่างไร?
คือการคำนวณมูลค่าตลาดจากหุ้นที่หมุนเวียนซื้อขายจริงในตลาด โดยไม่รวมส่วนที่อยู่ในมือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เช่น รัฐบาล ผู้ก่อตั้ง หรือบริษัทแม่ ตัวเลขนี้มีความสำคัญมากต่อการคำนวณดัชนีหุ้นอย่าง SET50 และ SET100 เพราะช่วยให้ดัชนีสะท้อนการเคลื่อนไหวของหุ้นที่มีสภาพคล่องจริง
Market Cap สูง หมายถึงเป็นบริษัทที่ดีเสมอไปหรือไม่?
ไม่เสมอไป การที่ Market Cap สูงแสดงว่าบริษัทมีขนาดใหญ่และได้รับความเชื่อมั่น แต่ก็อาจมีราคาสูงเกินจริง (Overvalued) ได้ ขณะเดียวกัน บางบริษัทอาจมี Market Cap ไม่สูงนักแต่มีศักยภาพเติบโตและยังมีราคาหุ้นที่น่าสนใจ (Undervalued) นักลงทุนจึงควรพิจารณาปัจจัยอื่นประกอบเสมอ
นักลงทุนควรเลือกหุ้นตามขนาด Market Cap อย่างไร?
สามารถตรวจสอบได้โดยตรงจากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถดูได้จากแอปพลิเคชันซื้อขายหุ้น รวมถึงเว็บไซต์ด้านการเงินและการลงทุนชั้นนำ
จะดู Market Cap ของหุ้นได้ที่ไหน?
สามารถตรวจสอบได้โดยตรงจากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถดูได้จากแอปพลิเคชันซื้อขายหุ้น รวมถึงเว็บไซต์ด้านการเงินและการลงทุนชั้นนำ
ทำไม Market Cap สำคัญต่อการคำนวณดัชนีอย่าง SET50?
ดัชนี SET50 ใช้สะท้อนราคาหุ้น 50 บริษัทที่มี Market Cap และสภาพคล่องสูงสุด ดังนั้น Market Cap จึงเป็นเกณฑ์สำคัญในการคัดเลือกหุ้นเข้า-ออกดัชนี การเปลี่ยนแปลงในดัชนีนี้ส่งผลโดยตรงต่อกองทุนและภาพรวมตลาดทุน ตามที่ บทความจาก Finnomena
อธิบาย การเข้าใจเกณฑ์นี้ช่วยให้นักลงทุนอ่านทิศทางตลาดได้ดียิ่งขึ้น