ในโลกของการลงทุนยุคใหม่ คำว่า “เลเวอเรจ” คือหนึ่งในศัพท์หลักที่คุณมักจะได้ยินตั้งแต่ก้าวแรก โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นศึกษาการเทรด Forex, CFD หรือตลาดอนุพันธ์ สำหรับมือใหม่ คำนี้อาจฟังดูน่าตื่นเต้น สร้างภาพลักษณ์ของการทำกำไรเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็ซ่อนความเสี่ยงร้ายแรงที่ถ้าไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ อาจทำให้สูญเสียเงินทุนได้โดยไม่ทันตั้งตัว
บทความนี้ไม่ใช่แค่คำอธิบายทั่วไป แต่เป็นคู่มือ “เลเวอเรจสำหรับมือใหม่” ฉบับเจาะลึก อัปเดตถึงปี 2025 ที่จะพาคุณเข้าใจตั้งแต่พื้นฐาน เช่น เลเวอเรจทำงานอย่างไร ข้อดี-ข้อเสียที่แท้จริง และกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงอย่างจริงจัง เพื่อให้คุณสามารถใช้เครื่องมือนี้อย่างมีสติ และสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนในระยะยาว

เลเวอเรจคืออะไร? สรุปใน 2 นาที
เลเวอเรจ หรือ Leverage คือการ “ยืมเงินจากโบรกเกอร์” เพื่อเพิ่มพลังในการซื้อขายของคุณ โดยใช้เงินทุนตัวเองเพียงส่วนน้อย ทำให้สามารถควบคุมสัญญาที่มีมูลค่ามากกว่าทุนจริงหลายสิบหรือหลายร้อยเท่า
เช่น หากคุณมีทุนแค่ 1,000 บาท และเลือกใช้เลเวอเรจ 1:100 คุณจะสามารถเปิดสถานะการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงถึง 100,000 บาทได้ เปรียบเสมือนคุณมีเงินทุนมากขึ้น 100 เท่า แต่ต้องจำไว้อย่างชัดเจนว่า ขณะที่กำไรขยายได้ 100 เท่า ความเสี่ยงก็ขยายตามไปในอัตราส่วนเดียวกัน หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง การขาดทุนจะเร็วและหนักมาก

เลเวอเรจทำงานอย่างไร? ตัวอย่างจริงที่เข้าใจง่าย
เพื่อให้เข้าใจกลไกของเลเวอเรจ เราจะดูกรณีจำลองในตลาด Forex โดยใช้คู่เงิน EUR/USD ซึ่งเป็นตลาดที่ใช้เลเวอเรจอย่างกว้างขวาง
กรณีที่ 1: ไม่ใช้เลเวอเรจ (1:1)
- ทุนในบัญชี: 500 USD
- ขนาดสัญญาที่เปิดได้สูงสุด: 500 USD
- หาก EUR/USD ขยับขึ้น 1%: ได้กำไร = 5 USD (1% ของ 500 USD)
- หากลดลง 1%: ขาดทุน = 5 USD
กรณีที่ 2: ใช้เลเวอเรจ 1:100
- ทุนในบัญชี: 500 USD
- มูลค่าสัญญาที่ควบคุมได้: 50,000 USD (500 x 100)
- หาก EUR/USD ขยับขึ้น 1%: ได้กำไร = 500 USD (1% ของ 50,000)
- หากลดลง 1%: ขาดทุน = 500 USD — คือหมดตัวทันที
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เลเวอเรจไม่ใช่แค่ “เครื่องขยายกำไร” แต่เป็น “เครื่องบดพอร์ต” ได้เช่นกัน หากขาดกลยุทธ์บริหารความเสี่ยง ทุนเพียงเล็กน้อยก็สามารถหายไปได้ในไม่กี่วินาที

ข้อดีและข้อเสียของการใช้เลเวอเรจ: ต้องชั่งน้ำหนักให้ดี
การใช้เลเวอเรจควรเปรียบเสมือนการใช้เครื่องยนต์แรงสูง เพื่อให้เดินทางเร็ว แต่ก็มาพร้อมกับโอกาสเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงยิ่งขึ้น
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|
เพิ่มอำนาจการซื้อ: แม้มีทุนไม่มาก ก็ซื้อขายได้ในระดับใกล้เทียบเท่านักลงทุนรายใหญ่ | ขยายขนาดขาดทุน: เสี่ยงสูญเสียเงินทั้งหมดหรือมากกว่าในเวลาไม่กี่นาที |
เพิ่มโอกาสทำกำไร: กำไรจากความเปลี่ยนแปลงราคาเล็กน้อยก็มีน้ำหนักได้ เช่น 0.5% ของสัญญามูลค่า 50,000 USD = 250 USD | เสี่ยงต่อ Margin Call: ทุนน้อย เมื่อขาดทุนเพียงเล็กน้อย อาจทำให้มาร์จิ้นไม่พอ จนโบรกเกอร์ปิดอัตโนมัติ |
ใช้ทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ: ไม่ต้องใช้เงินทั้งหมดไปกับตำแหน่งเดียว สามารถกระจายไปหลายสินทรัพย์ | กระตุ้นให้เทรดเกินจริง: เห็นโอกาสเข้า “ใหญ่” ได้ทุกเมื่อ อาจนำไปสู่การเทรดบ่อย ขาดแผน |
วิธีเลือกเลเวอเรจให้เหมาะกับมือใหม่
โบรกเกอร์หลายแห่งเสนอเลเวอเรจตั้งแต่ 1:10 ไปจนถึง 1:500 หรือ 1:1000 แต่สำหรับ มือใหม่ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเริ่มจากระดับต่ำที่สุดก่อน ซึ่งแนวทางนี้ก็สอดคล้องกับคำแนะนำของ ESMA หน่วยงานกำกับตลาดหลักทรัพย์ยุโรป ที่กำหนดเพดานเลเวอเรจสำหรับนักลงทุนรายย่อยไม่ให้สูงเกินไป เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่มากเกินควบคุม
- เลเวอเรจต่ำ (1:10 ถึง 1:50): แนะนำสำหรับมือใหม่ ทำให้พอร์ตมีระยะปลอดภัยมากขึ้นเมื่อตลาดผันผวน ให้เวลาตัดสินใจ และเน้นการเรียนรู้มากกว่าการเก็งกำไร
- เลเวอเรจสูง (1:500 ขึ้นไป): เหมาะกับนักเก็งกำไรระยะสั้น (Scalper) ที่มีวินัยสูง ความรู้ทางเทคนิคแน่น และระบบบริหารความเสี่ยงครบถ้วน ไม่เหมาะกับมือใหม่โดยเด็ดขาด
คำแนะนำสุดท้าย: อย่าใช้เลเวอเรจสูงสุดเพราะคิดว่า “ยิ่งเยอะยิ่งดี” แต่ให้ถามตัวเองว่า “เลเวอเรจนี้ยังทำให้ฉันนอนหลับสบายได้ไหม?” หากไม่แน่ใจ ให้ลดระดับลงทันที

การบริหารความเสี่ยง: ปัจจัยล้มเหลว 90% ของมือใหม่
การใช้เลเวอเรจโดยไม่มีแผนบริหารความเสี่ยง เท่ากับการเดินตากฝนโดยไม่ใช้ร่ม นี่คือ 3 หลักการที่ต้องยึดมั่น
1. ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง
Stop Loss คือ “ตัวหยุดขาดทุนอัตโนมัติ” ซึ่งกำหนดจุดที่คุณยอมรับการขาดทุนได้ เช่น เสี่ยงไม่เกิน 50 เหรียญ เมื่อถึงจุดนี้ ระบบจะสั่งปิดอัตโนมัติ ไม่ว่าราคาจะตกต่ำแค่ไหนก็ตาม การไม่ใช้ Stop Loss คือต้นเหตุหลักของ “ล้างพอร์ต” อย่างรวดเร็ว
2. ใช้กฎ 1-2% ต่อการเทรด
คุณไม่ควรเสี่ยงเกิน 1–2% ของทุนทั้งหมดในการเทรครั้งเดียว เช่น ทุน 10,000 บาท ควรเสี่ยงไม่เกิน 100–200 บาทต่อคำสั่ง
การยึดมั่นใน กฎ 1% จะช่วยให้คุณอยู่รอดในวันที่คาดการณ์ผิดหลายครั้ง และมีแรงมาต่อสู้ในวันถัดไป
3. หลีกเลี่ยงการเทรดมากเกินไป (Overtrade)
อย่าเข้าเทรดเพียงเพราะ “อยากเห็นกำไร” หรือ “เสียแล้วอยากเอาคืน” การใช้เลเวอเรจสูงสามารถทำให้คุณเข้าตลาดได้ทุกชั่วโมง แต่การที่ดีที่สุดคือ “รอสัญญาณ” ตามแผนก่อนจะลงมือ

3 ข้อผิดพลาดของมือใหม่ที่ใช้เลเวอเรจ
หลายความเสียหายที่หลีกเลี่ยงได้ เกิดจากรูปแบบความคิดที่ผิดพลาด นี่คือ 3 ความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุด
- เลือกใช้เลเวอเรจสูงสุดที่โบรกเกอร์ให้: เช่น เลือก 1:1000 โดยไม่ได้คิดว่า “ฉันพร้อมแล้วหรือยัง?”
- ไม่ใช้ Stop Loss เพราะกลัวขาดทุนเล็ก: คิดว่า “ราคาคงกลับมาเอง” แต่สุดท้ายราคากดลึกลง จนขาดทุน 10 เท่า
- เพิ่มขนาดการเทรดหลังได้กำไร (Overconfidence): ชนะ 2 ครั้ง ดีใจ ก็เพิ่มทุนและเลเวอเรจ พอครั้งที่ 3 ผิด กลับขาดทุนหนักจนลบกำไรที่ได้มาทั้งหมด
สำหรับผู้ที่อยากรู้ว่าอัตราส่วนเลเวอเรจที่เหมาะสมในการเทรด Forex ควรเป็นเท่าไร สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อัตราส่วนเลเวอเรจที่ดีที่สุด
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
มือใหม่ควรใช้เลเวอเรจเท่าไหร่?
เริ่มต้นที่ 1:10 ถึง 1:30 จะเหมาะที่สุด โดยให้โฟกัสกับการฝึกฝนทักษะการวิเคราะห์และบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่เรื่อง “ทำกำไรเร็ว”
ควรใช้เลเวอเรจเท่าไหร่ดีสำหรับมือใหม่?
มือใหม่ควรเริ่มจากเลเวอเรจต่ำ ๆ ไม่เกิน 1:10 หรือแม้แต่ 1:5 ในช่วงแรก เพื่อให้คุ้นเคยกับความผันผวนและเรียนรู้การบริหารความเสี่ยง
หลังจากเทรดได้ 6-12 เดือนและมีผลงานที่สม่ำเสมอ ค่อยพิจารณาเพิ่มเป็น 1:20 หรือ 1:30 การเพิ่มเลเวอเรจควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ควรกระโดดจาก 1:10 ไป 1:100 ทันที
เลเวอเรจมีความเสี่ยงแค่ไหน?
เลเวอเรจมีความเสี่ยงสูงมากถ้าใช้ไม่เป็น คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดภายในเวลาอันสั้น โดยเฉพาะถ้าใช้เลเวอเรจสูงโดยไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี
แต่ถ้าใช้อย่างมีวินัย ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง และไม่เสี่ยงเกิน 1-2% ของทุนต่อเทรด เลเวอเรจก็เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ ช่วยให้ทำกำไรได้ดีจากเงินทุนที่จำกัด
Margin Call คืออะไร และเกิดขึ้นเมื่อไหร่?
Margin Call คือการที่โบรกเกอร์แจ้งเตือนว่าเงินในบัญชีของคุณเหลือน้อยจนเกือบไม่พอสำหรับการรักษาสถานะที่เปิดอยู่ ปกติจะเกิดเมื่อ Equity (มูลค่าบัญชี) เหลือประมาณ 50-100% ของ Margin ที่ใช้
ถ้าไม่ฝากเงินเพิ่มหรือปิดสถานะบางส่วน และ Equity ลดลงถึงระดับ Stop Out (ปกติ 20-50% ของ Margin) โบรกเกอร์จะบังคับปิดสถานะให้อัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีติดลบ
ใช้เลเวอเรจสูงดีกว่าต่ำจริงหรือ?
ไม่จริงเสมอไป เลเวอเรจสูงเหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ มีระบบเทรดที่แม่นยำ และมีการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด ส่วนมือใหม่ควรใช้เลเวอเรจต่ำเพื่อลดความเสี่ยง
เลเวอเรจสูงไม่ได้หมายถึงกำไรมาก แต่หมายถึงความเสี่ยงสูง เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จหลายคนใช้เลเวอเรจต่ำถึงปานกลางและเน้นที่ความสม่ำเสมอมากกว่ากำไรก้อนใหญ่
ต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะเริ่มใช้เลเวอเรจได้?
ไม่มีจำนวนเงินขั้นต่ำที่ตายตัว แต่ควรมีเงินมากพอที่จะแบ่งเทรดได้หลายครั้งและรับความเสี่ยงได้ โดยทั่วไปแนะนำให้มีทุนอย่างน้อย 500-1,000 ดอลลาร์ (17,000-35,000 บาท)
สิ่งสำคัญกว่าจำนวนเงินคือต้องเป็นเงินที่พร้อมจะเสียได้ อย่าใช้เงินที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันหรือเงินกู้มาเทรดด้วยเลเวอเรจ เพราะความกดดันจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย