ในโลกของกราฟราคาและการวิเคราะห์ทางเทคนิค แท่งเทียน (Candlestick) คือหนึ่งในเครื่องมือที่มีประวัติอันยาวนานและได้รับความนิยมตลอดกาล โดยเฉพาะ Bullish Engulfing Pattern หรือที่นักลงทุนชาวไทยรู้จักในชื่อ “รูปแบบแท่งเทียนกลืนกินขาขึ้น” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญญาณกลับตัวที่เด่นชัดและมีพลังสูง
ไม่ว่าจะเทรดทั้งในตลาด Forex, หุ้น หรือคริปโตเคอร์เรนซี การสามารถอ่านรูปแบบนี้ได้อย่างถูกต้อง ช่วยให้คุณจับจังหวะเปลี่ยนแนวโน้มได้ก่อนใคร และเพิ่มโอกาสทำกำไรจากจังหวะการเบรกช่วงขาลงที่แรงขายเริ่มหมดกำลัง
บทความนี้จะพาคุณลุยทุกแง่มุมของ Bullish Engulfing อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย องค์ประกอบ เงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับรูปแบบที่มีความน่าเชื่อถือ กลยุทธ์การเทรดแบบจับมือทำ การตั้งจุดตัดขาดทุน จนถึงการยืนยันด้วยตัวชี้วัดอื่นเพื่อเพิ่มความแม่นยำ พร้อมคำตอบคำถามยอดนิยมที่นักเทรดมักสงสัย

Bullish Engulfing คืออะไร? สัญญาณกลับตัวที่สะท้อนพลังของแรงซื้อ
Bullish Engulfing เป็นรูปแบบของแท่งเทียนที่แสดงถึงการกลับตัวจากแนวโน้ม ขาลง เป็น ขาขึ้น (Bullish Reversal) โดยสัญญาณนี้มีลักษณะเฉพาะ คือ ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่งติดกัน พร้อมโครงสร้างที่ชัดเจน ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงซื้อได้เข้ามาครอบงำแรงขายอย่างเด็ดขาด หลังจากที่ตลาดเคลื่อนที่ลงมาระยะหนึ่งแล้ว
องค์ประกอบและจิตวิทยาของตลาดเบื้องหลังรูปแบบนี้
ความน่าสนใจของ Bullish Engulfing อยู่ที่ “การเปลี่ยนแปลงพลัง” ระหว่างผู้ซื้อ (Bulls) และผู้ขาย (Bears) ที่สะท้อนผ่านราคาและพฤติกรรมของแท่งเทียน ดังนี้:
- แท่งเทียนแรก: เป็นแท่งสีแดงหรือดำ (Bearish Candlestick) ซึ่งแสดงถึงแรงขายที่ยังคงเหนือกว่า และเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มขาลงที่ดำเนินมายาวนาน ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด บ่งบอกว่าตลาดยังอยู่ในมือของผู้ขาย
- แท่งเทียนที่สอง: เป็นแท่งสีเขียวหรือขาว (Bullish Candlestick) ที่ไม่เพียงแค่ปิดในแดนบวก แต่มีขนาด “เนื้อเทียน” ที่ใหญ่มาก จนครอบคลุมและ “กลืนกิน” แท่งเทียนแรกทั้งหมด
ในมุมมองของจิตวิทยาตลาด การกลับตัวนี้คือฉากแห่งการพลิกเกม วันที่หนึ่ง ผู้ขายยังคงกดดันและเชื่อว่าจะยังควบคุมตลาดได้ แต่พอเข้าวันที่สอง ราคาอาจเปิดต่ำกว่าเดิม ทำให้ผู้ขายคิดว่าจะได้เปรียบต่อ แต่แล้วเกิดแรงซื้อกดเข้ามาอย่างมหาศาลจนราคาถูกดันขึ้นอย่างรุนแรง และสามารถปิดได้เหนือราคาเปิดของวันก่อนหน้าทั้งแท่ง
นี่คือข้อความที่ชัดเจนว่าผู้ซื้อกำลังเข้ามายึดครองตลาด และโมเมนตัมของราคากำลังเริ่มเปลี่ยนข้าง

3 เงื่อนไขสำคัญ เพื่อระบุ Bullish Engulfing ที่แม่นยำ
ไม่ใช่แท่งเทียนสองแท่งที่แค่มีสีแดงแล้วตามด้วยสีเขียวจะถือว่าเป็น Bullish Engulfing ได้ เพื่อให้สัญญาณนี้มีความน่าเชื่อถือสูงสุด ต้องผ่านเกณฑ์สำคัญต่อไปนี้ทุกข้อ
เงื่อนไขที่ 1: เกิดในช่วงแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน
นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุด รูปแบบนี้เป็น “สัญญาณกลับตัว” ดังนั้น จะมีความหมายก็ต่อเมื่อมันเกิดขึ้นหลังจากราคาลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปรับฐาน หรือช่วงที่แรงขายเข้ามามีอำนาจเหนือตลาดอย่างชัดเจน
หากเกิดรูปแบบนี้ในช่วงที่แนวโน้มเป็นขาขึ้นหรือตลาดไซด์เวย์ (Sideways) มันอาจเป็นเพียงการแกว่งตัวธรรมดา และไม่ควรถูกตีความว่าเป็นโอกาสในการกลับตัว
เงื่อนไขที่ 2: แท่งที่สอง “กลืนกิน” แท่งแรกอย่างสมบูรณ์
ลักษณะกายภาพที่เด่นชัดที่สุดคือการ “กินหมด” หรือ “กลืนทั้งแท่ง” ของแท่งเทียนแรก โดยเฉพาะในส่วนของ “เนื้อเทียน” (Real Body) ไม่ใช่รวมถึงไส้เทียนทั้งหมด
เงื่อนไขเฉพาะมีดังนี้:
- ราคาเปิดของแท่งที่สอง ต้องต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแรก
- ราคาปิดของแท่งที่สอง ต้องสูงกว่าราคาเปิดของแท่งแรก
เมื่อเงื่อนไขนี้เกิดขึ้น แปลว่าผู้ซื้อสามารถพลิกสถานการณ์จากแรงขายให้กลายเป็นแรงซื้อได้ภายในเพียงหนึ่งแท่งเทียน นับเป็นสัญญาณที่มีพลังอย่างมาก
เงื่อนไขที่ 3: สีของแท่งเทียนต้องถูกต้อง
แท่งแรกต้องเป็นแท่งสีแดง (หรือสีใดที่ใช้แสดงแท่งขาลง) และแท่งที่สองต้องเป็นแท่งเขียว (หรือสีขาขึ้น) โดยไม่มีข้อยกเว้น
การสลับสี หรือเกิดแท่ง Doji แทน จะทำให้รูปแบบนี้ไม่นับว่าเป็น Bullish Engulfing ที่สมบูรณ์ และควรระมัดระวังในการตีความ

กลยุทธ์การเทรดด้วย Bullish Engulfing: ตั้งแต่จุดเข้า ไปจนถึงการจัดการความเสี่ยง
เมื่อสามารถระบุรูปแบบได้ถูกต้องแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางกลยุทธ์ให้ชัดเจน ไม่ใช่แค่เห็นสัญญาณแล้วกระโจนเข้าซื้อ แต่ต้องมีแผนที่เป็นระบบ เพื่อเพิ่มอัตราการชนะและลดความเสี่ยง
จุดเข้าซื้อ (Entry Point): รุกหรือรอ? เลือกให้เหมาะกับสไตล์คุณ
ในทางปฏิบัติ มีสองแนวทางหลักที่นักเทรดใช้บ่อย:
- เข้าซื้อทันทีที่แท่งที่สองปิด: เหมาะกับนักเทรดที่กล้าได้กล้าเสีย (Aggressive Trader) เน้นโอกาสทำกำไรเร็ว ได้ราคาเข้าที่ดีที่สุดในช่วงเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ แต่ก็เสี่ยงต่อสัญญาณหลอก (False Signal) ที่อาจเกิดขึ้นบ่อยในตลาดไม่มีทิศทาง
- รอการยืนยันจากราคา: เป็นเทคนิคที่ปลอดภัยกว่า โดยรอให้แท่งเทียนถัดไปเคลื่อนตัวขึ้นและ “ทะลุ” จุดสูงสุดของแท่ง Engulfing ซึ่งแสดงว่าแนวโน้มกำลังดำเนินไปในทิศทางขาขึ้นจริง นักเทรดประเภทนี้ยอมเสียสละราคาที่อาจจะต่ำกว่าเล็กน้อย เพื่อแลกกับความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น
สำหรับมือใหม่ เราแนะนำให้ใช้วิธี “รอการยืนยัน” เพื่อเลี่ยงการขาดทุนจากสัญญาณเท็จ
การตั้ง Stop Loss: ป้องกันพอร์ตจากความเสียหาย
ไม่ว่าคุณมองเห็นสัญญาณ Bullish Engulfing จะสวยงามแค่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีแผนรับมือหากคาดการณ์ผิด
จุดที่เหมาะสมที่สุดในการตั้งจุดตัดขาดทุนคือ ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของไส้เทียน (Wick) ของแท่ง Engulfing แท่งที่สอง อย่างน้อย 5–10 เซ็นต์ หรือตามดุลยพินิจตามสินทรัพย์
หากราคาลงมาแตะหรือเคลื่อนที่ต่ำกว่านี้ แสดงว่าแรงซื้อไม่เพียงพอ และอาจเป็นแค่การเด้งขึ้นชั่วคราว การตัดขาดทุนในจุดนี้จึงช่วยรักษาเงินทุนไว้เพื่อรอโอกาสใหม่ได้
การตั้ง Take Profit: รู้จุดออกที่เหมาะสม
ไม่มีสูตรตายตัวสำหรับการตั้งเป้าหมาย แต่สามารถใช้แนวทางต่อไปนี้:
- หาแนวต้านใกล้ที่สุด: ดูว่าบริเวณเหนือจุดเข้าซื้อมีแนวต้านสำคัญหรือไม่ เช่น ราคาเดิมที่เคยติดขัดมาก่อน หรือโซนที่มีแรงขายสะสม
- ใช้ Fibonacci Extension: เมื่อเกิดการกลับตัว ก็อาจใช้ Fibonacci เพื่อคาดการณ์ระดับเป้าหมาย เช่น 61.8%, 100%, หรือ 161.8% ของคลื่นขาลงก่อนหน้า
- ใช้ Risk/Reward Ratio ที่เหมาะสม: ตั้งเป้าผลตอบแทนอย่างน้อย 1.5 เท่าของความเสี่ยงที่รับไว้ (เช่น เสี่ยง 100 บาท ตั้งเป้ากำไร 150 บาท)
การแบ่งล๊อตและตั้ง Take Profit หลายจุด (Partial Profit) ก็เป็นกลยุทธ์ที่ดี โดยขายบางส่วนเมื่อถึงเป้าหมายแรก และปล่อยอีกส่วนไว้เพื่อลุ้นเทรนด์ใหญ่

เพิ่มความแม่นยำด้วยการยืนยันจากตัวชี้วัดอื่น
การยึดตัวรูปแบบของแท่งเทียนเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ เพราะตลาดมีความซับซ้อน ทางเลือกที่ดีคือการใช้เครื่องมืออื่นมา “ยืนยัน” เพื่อเพิ่มความน่าจะเป็นในการชนะ
1. ปริมาณการซื้อขาย (Volume)
สัญญาณ Bullish Engulfing จะดูน่าเชื่อถือมากขึ้นทวีคูณถ้าเกิดขึ้นพร้อมกับ ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในแท่งเทียนที่สอง
Volume ที่เพิ่มขึ้นบ่งบอกว่ามีผู้เล่นรายใหญ่หรือแรงซื้อสถาบันเข้ามาร่วมด้วย ไม่ใช่แค่แรงซื้อจากนักเก็งกำไร ส่งผลให้โอกาสความยั่งยืนของแนวโน้มเพิ่มขึ้น
2. RSI (Relative Strength Index)
RSI เป็นตัววัดโมเมนตัมที่ดี หากคุณเห็น Bullish Engulfing เกิดขึ้นขณะที่ RSI อยู่ในเขต “ขายมากเกินไป (Oversold)” หรืออยู่ต่ำกว่า 30 จะทำให้สัญญาณมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น หากเกิด RSI Divergence คือราคาลงต่ำสุดใหม่แต่ RSI ขยับสูงขึ้นเล็กน้อย ก็แสดงว่าแรงขายเริ่มหมดแล้ว การกลับตัวจึงมีความเป็นไปได้สูง
3. แนวรับ-แนวต้าน (Support-Resistance)
นี่คือ “ตัวยืนยัน” ที่ทรงพลังที่สุด รูปแบบ Bullish Engulfing จะกลายเป็นสัญญาณซื้อที่ “มีพลัง” แบบเต็มเปี่ยมเมื่อมันเกิดขึ้นที่ แนวรับสำคัญในอดีต
ตัวอย่างเช่น ถ้าราคาลงไปแตะที่ระดับ 100 บาท ซึ่งเคยมีแรงซื้อในอดีต และเกิด Bullish Engulfing บริเวณนั้น พลังของมันจะยิ่งทวีคูณ เพราะมีการยืนยันซ้อนกันว่าผู้ซื้อกำลังกลับเข้ามาทันทีที่ราคาระดับนั้น
การใช้รูปแบบแท่งเทียนร่วมกับแนวรับ-แนวต้านเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแหล่งข้อมูลชั้นนำอย่าง Investopedia ได้อธิบายหลักการนี้ไว้ และ Babypips ก็สนับสนุนให้เป็นแนวทางสำหรับมือใหม่เช่นกัน
ข้อควรระวัง: เมื่อไรที่ Bullish Engulfing อาจไม่ใช่สัญญาณที่ดี
แม้จะเป็นหนึ่งในรูปแบบที่ทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่ “สูตรลัดสู่ความร่ำรวย” นักเทรดควรตระหนักถึงข้อจำกัดและข้อเสีย เพื่อป้องกันการขาดทุนโดยไม่จำเป็น
1. สัญญาณหลอกในตลาดไซด์เวย์
ในตลาดที่ไม่มีทิศทางที่แน่นอน หรือเคลื่อนที่ในกรอบแคบ การเกิด Bullish Engulfing มักไม่ได้สื่อสารอะไรชัดเจน เพราะมันเกิดจากความผันผวนตามธรรมชาติ ไม่ใช่การเปลี่ยนแนวนโน้ม ดังนั้น ควรให้ความสำคัญกับรูปแบบนี้เฉพาะเมื่อเกิดในแนวโน้มขาลงที่แท้จริง
2. ความสำคัญของกรอบเวลา (Timeframe)
ความน่าเชื่อถือของสัญญาณขึ้นกับกรอบเวลาที่ใช้ ยิ่ง Timeframe ใหญ่ ยิ่งมีน้ำหนัก
Daily หรือ Weekly Charts: รูปแบบนี้มีผลต่อนักลงทุนรายใหญ่ และมักเริ่มแนวโน้มใหม่ที่ยั่งยืน
15 นาที หรือ 1 ชั่วโมง: สัญญาณอาจเกิดบ่อยและไม่คงอยู่นาน เหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้น แต่ต้องระมัดระวัง
3. ไม่มีเครื่องมือใดเพอร์เฟกต์ 100%
ต้องจำไว้เสมอว่า แท่งเทียนหรือสัญญาณใดๆ ไม่สามารถทำนายอนาคตได้แม่นยำ การบริหารความเสี่ยงคือกุญแจสำคัญที่สุด
ใช้ Stop Loss ทุกครั้ง
จำกัดขนาดการซื้อขาย
ไม่เสียอารมณ์เมื่อขาดทุน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Bullish Engulfing ใช้ได้กับทุกตลาดหรือไม่?
ได้ทุกตลาด ทั้ง Forex, หุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์ และคริปโตเคอร์เรนซี เนื่องจากรูปแบบนี้เกิดจากพฤติกรรมของผู้เล่นในตลาด ซึ่งมีลักษณะร่วมกันทั่วโลก แม้สินทรัพย์จะต่างกัน แต่จิตวิทยาตลาดย่อมคล้ายกัน
Bullish Engulfing ต่างจาก Bearish Engulfing อย่างไร?
ต่างกันตรงทิศทางของสัญญาณและตำแหน่งที่เกิด Bullish Engulfing เกิดหลังแนวโน้มขาลงและส่งสัญญาณกลับตัวขึ้น ในขณะที่ Bearish Engulfing เกิดหลังแนวโน้มขาขึ้น และส่งสัญญาณกลับตัวลง โดยโครงสร้างแท่งเทียนตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
เจอรูปแบบนี้แล้วควรเข้าซื้อทันทีไหม?
ไม่จำเป็น แม้บางคนจะเข้าซื้อหลังแท่งที่สองปิด แต่การรอการยืนยัน เช่น รอให้ราคาผ่านจุดสูงสุดของแท่งนั้นก่อน จะช่วยลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอกได้มาก โดยเฉพาะใน Timeframe สั้น
ถ้าเข้าแล้วเจอบอกว่าสัญญาณหลอก ต้องทำอย่างไร?
ต้องตัดขาดทุนตามแผนที่วางไว้ทันที หากราคาทำจุดต่ำสุดใหม่และต่ำกว่า Stop Loss ถือว่าสัญญาณล้มเหลว การยอมขาดทุนเล็กเพื่อรักษาเงินทุนสำคัญกว่าการพยายาม “เอาคืน” ทันที
กรอบเวลาใดที่ให้สัญญาณน่าเชื่อถือที่สุด?
กรอบเวลาใหญ่ เช่น รายวัน (Daily) หรือรายสัปดาห์ (Weekly) มีความน่าเชื่อถือสูงกว่ามาก เพราะเกิดจากมุมมองของนักลงทุนระยะยาว ซึ่งมีผลต่อทิศทางของราคาในระยะกลางถึงยาว
จำเป็นต้องดู Volume ทุกครั้งไหม?
ไม่ใช่ข้อบังคับ แต่เป็นทางเลือกที่แนะนำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหากคุณเทรดในสินทรัพย์ที่มีข้อมูล Volume เช่น หุ้น Bullish Engulfing ที่มาพร้อม Volume สูงในแท่งที่สอง แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อของจริง ไม่ใช่แค่การเด้งตัวจากนักเก็งกำไร
Bullish Engulfing บอกได้ไหมว่าราคาจะขึ้นได้อีกไกลแค่ไหน?
ไม่ได้โดยตรง รูปแบบนี้เป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ของแนวโน้มใหม่ เทรดเดอร์ต้องใช้เครื่องมืออื่น เช่น แนวต้านเดิม, Fibonacci Extension, หรือการวิเคราะห์ Trend Line เพื่อประเมินเป้าหมายและตัดสินใจได้อย่างรอบด้าน
ถ้าแท่งที่สองมีไส้เทียนบนยาวมาก ยังถือว่าดีไหม?
ยังถือว่าเป็น Bullish Engulfing ได้ ตราบใดที่ “เนื้อแท่ง” ยังกลืนแท่งแรก อย่างไรก็ตาม ไส้เทียนบนยาวๆ อาจบ่งบอกว่าแรงขายเริ่มต่อต้านในช่วงท้าย ทำให้สัญญาณอ่อนลงเล็กน้อย ในทางตรงกันข้าม ถ้าแท่งนั้นปิดที่ระดับสูงสุด (ไม่มีไส้บน) และมีไส้ล่างยาว จะยิ่งแสดงพลังของผู้ซื้อที่เข้ามาครอบงำได้อย่างสมบูรณ์ ถือเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด