หากคุณเพิ่งเริ่มสนใจการลงทุน คุณอาจเคยได้ยินคำว่า “OTC” แต่ยังไม่เข้าใจจริงๆ ว่า OTC คืออะไร และแตกต่างจากการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อย่างไร บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเรื่อง OTC Market อย่างละเอียด
OTC ย่อมาจาก Over-the-Counter ซึ่งหมายถึงการซื้อขายหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ทางการเงินที่ไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม แต่เป็นการซื้อขายโดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ผ่านเครือข่ายของโบรกเกอร์หรือดีลเลอร์
สำหรับนักลงทุนไทย การเข้าใจ ตลาด OTC จะช่วยให้คุณเห็นโอกาสการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะในตราสารหนี้ หุ้นนอกตลาด และแม้กระทั่ง Crypto OTC ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนรายใหญ่

OTC คืออะไร? เข้าใจการซื้อขาย Over-the-Counter
OTC หรือ Over-the-Counter คือระบบการซื้อขายที่ไม่มีตลาดกลางหรือสถานที่ซื้อขายที่ตายตัว แตกต่างจากตลาดหลักทรัพย์ที่มีการรวมคำสั่งซื้อขายไว้ในที่เดียว การซื้อขายแบบ OTC เกิดขึ้นผ่านเครือข่ายของผู้ค้าหลักทรัพย์ที่เชื่อมต่อกันทางอิเล็กทรอนิกส์
ในทางปฏิบัติ ตลาด OTC มีลักษณะเป็นการกระจายอำนาจ ซึ่งหมายความว่าไม่มีสถานที่ตั้งทางกายภาพที่แน่นอน แต่พึ่งพาเครือข่ายของโบรกเกอร์-ดีลเลอร์เพื่อเชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งแตกต่างจากตลาดหลักทรัพย์ที่ใช้เทคโนโลยีการจับคู่คำสั่ง หลักทรัพย์ OTC มักจะซื้อขายบนระบบการซื้อขายทางเลือก (Alternative Trading Systems หรือ ATSs) ซึ่งเป็นช่องทางแสดงราคาเสนอซื้อและเสนอขายจากโบรกเกอร์-ดีลเลอร์
เปรียบเทียบง่ายๆ ตลาดหลักทรัพย์เหมือนกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีร้านค้าต่างๆ อยู่ในที่เดียว มีราคากลางที่ทุกคนเห็น และมีกฎระเบียบที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ในขณะที่ ตลาด OTC เปรียบเสมือนการซื้อขายในตลาดนัด ที่ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถเจรจาต่อรองราคาและเงื่อนไขได้โดยตรง
ลักษณะสำคัญของ OTC Market คือความยืดหยุ่นในการกำหนดเงื่อนไขการซื้อขาย ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถปรับแต่งรายละเอียดต่างๆ ได้ตามความต้องการ เช่น จำนวน ระยะเวลา หรือแม้กระทั่งวิธีการชำระเงิน
ตัวอย่างที่เข้าใจง่ายในประเทศไทยคือตลาดตราสารหนี้ที่ดำเนินการผ่าน Thai Bond Market Association (ThaiBMA) ซึ่งเป็นตลาด OTC ที่สำคัญที่สุดในประเทศ โดยมีการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้บริษัทต่างๆ
โดยทั่วไปแล้ว ตลาด OTC มีความโปร่งใสน้อยกว่าและมีกฎระเบียบที่เข้มงวดน้อยกว่าตลาดหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม การขาดความโปร่งใสนี้อาจนำไปสู่ข้อมูลสาธารณะที่จำกัด ความไม่แน่นอนของราคา และความเสี่ยงที่สูงขึ้นสำหรับนักลงทุน
สภาพคล่องในตลาด OTC มีหลายมิติ ครอบคลุมถึงความแน่น (ต้นทุนการทำธุรกรรมต่ำ เช่น ส่วนต่างราคาเสนอซื้อ-เสนอขาย) ความรวดเร็ว ความลึก ความกว้าง และความยืดหยุ่น อย่างไรก็ตาม ดีลเลอร์สามารถถอนตัวจากการเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องได้ตลอดเวลา ซึ่งอาจทำให้สภาพคล่องแห้งลง ขัดขวางความสามารถของผู้เข้าร่วมตลาดในการซื้อหรือขาย ดังที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงิน
เปรียบเทียบให้ชัด: ตลาด OTC ต่างจากตลาดหลักทรัพย์อย่างไร?

การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง OTC Market และตลาดหลักทรัพย์จะช่วยให้นักลงทุนเลือกช่องทางการลงทุนได้อย่างเหมาะสม ต่อไปนี้เป็นการเปรียบเทียบที่ครอบคลุม
หัวข้อเปรียบเทียบ | ตลาดหลักทรัพย์ | ตลาด OTC |
---|
สถานที่ซื้อขาย | มีตลาดกลาง (Central Exchange) | ไม่มีตลาดกลาง (Decentralized) |
---|
เวลาซื้อขาย | มีเวลาเปิด-ปิดกำหนด | ซื้อขายได้ตลอดเวลา |
---|
ความโปร่งใส | ราคาเปิดเผยต่อสาธารณะ | ราคาอาจไม่เปิดเผย |
---|
การกำกับดูแล | มีกฎเกณฑ์เข้มงวด | กฎเกณฑ์หลวมกว่า |
---|
ประเภทสินทรัพย์ | หุ้นจดทะเบียน | หุ้นนอกตลาด ตราสารหนี้ |
---|
การกำหนดราคา | ราคาจากอุปสงค์-อุปทาน | เจรจาโดยตรง |
---|
ความแตกต่างสำคัญอีกประการคือเรื่องของ สัญญามาตรฐาน ในตลาดหลักทรัพย์ สัญญาซื้อขายจะเป็นแบบมาตรฐานที่ทุกคนใช้เหมือนกัน แต่ใน การซื้อขายแบบ OTC สัญญาสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของแต่ละฝ่าย
การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จะมีระบบ Clearinghouse ทำหน้าที่รับประกันการชำระราคา แต่ใน OTC Market ผู้ซื้อและผู้ขายต้องรับผิดชอบซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Counterparty Risk หรือความเสี่ยงจากคู่สัญญา
สำหรับนักลงทุนไทย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการซื้อขายหุ้น SET ที่เป็นตลาดหลักทรัพย์ เทียบกับการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลผ่าน ThaiBMA ที่เป็น OTC Market
ข้อดีและข้อเสียของการซื้อขายในตลาด OTC

การเข้าใจข้อดีและข้อเสียของ ตลาด OTC จะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ และสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม
ข้อดีของการซื้อขาย OTC
- ความยืดหยุ่นสูง เป็นข้อดีหลักของ OTC Market ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถเจรจาเงื่อนไขต่างๆ ได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเงิน ระยะเวลา หรือวิธีการชำระราคา ทำให้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความต้องการเฉพาะ
- การเข้าถึงสินทรัพย์ที่ไม่มีในตลาดหลัก ใน ตลาด OTC จะมีหลักทรัพย์หลายประเภทที่ไม่สามารถหาซื้อในตลาดหลักทรัพย์ได้ เช่น หุ้นบริษัทเอกชนที่ยังไม่จดทะเบียน ตราสารหนี้พิเศษ หรือตราสารอนุพันธ์ที่ออกแบบเฉพาะ
- ความเป็นส่วนตัว การซื้อขายใน OTC Market มักไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลการซื้อขายต่อสาธารณะ ทำให้นักลงทุนรายใหญ่สามารถซื้อขายได้โดยไม่กระทบต่อราคาตลาด
- ไม่จำกัดเวลาซื้อขาย ต่างจากตลาดหลักทรัพย์ที่มีเวลาเปิด-ปิดกำหนด การซื้อขายแบบ OTC สามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้สะดวกสำหรับนักลงทุนที่อยู่ในเขตเวลาต่างๆ
ข้อเสียและความเสี่ยงของ OTC
- ความเสี่ยงด้านคู่สัญญา (Counterparty Risk) เป็นความเสี่ยงหลักของ ตลาด OTC เนื่องจากไม่มี Clearinghouse ทำหน้าที่รับประกัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ อีกฝ่ายจะต้องรับความเสียหาย
- สภาพคล่องต่ำ เนื่องจาก OTC Market มีผู้เข้าร่วมน้อยกว่าตลาดหลักทรัพย์ การหาผู้ซื้อหรือผู้ขายอาจใช้เวลานาน และอาจต้องยอมรับราคาที่ไม่ดีเท่าที่ควร
- ความโปร่งใสด้านราคาต่ำ ใน การซื้อขายแบบ OTC ราคามักไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ทำให้ยากต่อการเปรียบเทียบราคาและอาจถูกเอาเปรียบได้
- การกำกับดูแลน้อย แม้จะมีความยืดหยุ่น แต่การขาดการกำกับดูแลที่เข้มงวดอาจเพิ่มความเสี่ยงจากการทุจริตหรือการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
ประเภทสินทรัพย์ที่นิยมซื้อขายในตลาด OTC

ตลาด OTC มีสินทรัพย์หลากหลายประเภทที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน โดยแต่ละประเภทจะมีลักษณะและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
หุ้นนอกตลาด เป็นหุ้นของบริษัทที่ยังไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือไม่เข้าเกณฑ์การจดทะเบียน บริษัทเหล่านี้อาจเป็นบริษัทเริ่มต้น บริษัทขนาดเล็ก หรือบริษัทที่เลือกไม่จดทะเบียน ตัวอย่างในไทยคือหุ้นของบริษัทเอกชนที่มีศักยภาพ
กลุ่มบริษัท OTC Markets จัดประเภทบริษัทที่ซื้อขาย OTC ออกเป็นสามระดับหลัก โดยพิจารณาจากระดับการเปิดเผยข้อมูล ไม่ใช่คุณภาพการลงทุน ได้แก่ Pink Market (ไม่มีมาตรฐานทางการเงินขั้นต่ำ), OTCQX (ระดับสูงสุด ต้องเปิดเผยข้อมูลครบถ้วน), และ OTCQB (สำหรับบริษัทเริ่มต้นหรือกำลังเติบโต)
ตราสารหนี้ เป็นสินทรัพย์หลักของ ตลาด OTC ในประเทศไทย รวมถึงพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้บริษัท และตราสารหนี้พิเศษต่างๆ ผ่าน ThaiBMA ซึ่งเป็นตลาด OTC ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
ตราสารอนุพันธ์ ที่ออกแบบเฉพาะ (Custom Derivatives) เช่น สัญญา Forward, Option, หรือ Swap ที่ปรับแต่งตามความต้องการของลูกค้า เหมาะสำหรับการ Hedge ความเสี่ยงหธเฉพาะ
ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) ส่วนใหญ่เป็น การซื้อขายแบบ OTC ผ่านธนาคารและโบรกเกอร์ Forex โดยไม่ผ่านตลาดกลาง มีการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง
สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) โดยเฉพาะ Crypto OTC ที่กำลังได้รับความนิยมสำหรับการซื้อขายปริมาณมาก เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบต่อราคาตลาด
แต่ละประเภทสินทรัพย์จะมีผู้ให้บริการและกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกัน นักลงทุนควรศึกษาให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
เจาะลึกตลาด OTC: ผู้เล่นหลักและกลไกการทำงาน
การเข้าใจผู้เล่นหลักและกลไกการทำงานของ ตลาด OTC จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงการกำหนดราคาและค่าใช้จ่ายในการซื้อขาย
ผู้เล่นหลักในตลาด OTC
โบรกเกอร์-ดีลเลอร์ (Broker-Dealers) เป็นหัวใจสำคัญของ OTC Market พวกเขาทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจับคู่ผู้ซื้อและผู้ขาย และบางครั้งอาจซื้อขายด้วยเงินทุนของตนเอง โบรกเกอร์-ดีลเลอร์จะได้รับค่าคอมมิชชั่นหรือกำไรจากส่วนต่างราคา
ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Makers) เป็นผู้ที่คอยให้ราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Ask) อยู่ตลอดเวลา เพื่อรักษาสภาพคล่องของตลาด พวกเขาทำกำไรจากส่วนต่างของราคาเสนอซื้อและขาย หรือที่เรียกว่า Bid-Ask Spread
นักลงทุนสถาบัน เช่น ธนาคาร บริษัทประกันภัย กองทุนรวม มักเป็นผู้เล่นหลักใน ตลาด OTC เนื่องจากมีความต้องการซื้อขายในปริมาณมาก และต้องการความยืดหยุ่นในการกำหนดเงื่อนไข
บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ ที่ต้องการระดมทุนแต่ไม่ต้องการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือไม่เข้าเกณฑ์การจดทะเบียน
กลไกการทำงานและการกำหนดราคา
Bid-Ask Spread เป็นกลไกสำคัญในการกำหนดราคาและต้นทุนการซื้อขาย ราคา Bid คือราคาที่ Market Maker ยินดีซื้อ ส่วนราคา Ask คือราคาที่ยินดีขาย ความแตกต่างระหว่างสองราคานี้คือกำไรของ Market Maker
ส่วนต่างราคาเสนอซื้อ-เสนอขาย ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของต้นทุนสภาพคล่องในตลาด OTC สะท้อนถึงต้นทุนการดำเนินงาน ต้นทุนสินค้าคงคลัง และองค์ประกอบสำคัญที่เรียกว่า “การเลือกปฏิบัติทางราคา” ซึ่งแตกต่างจากการเลือกปฏิบัติทางราคาที่เกิดจากการเลือกที่ไม่พึงประสงค์ (adverse selection) เนื่องจากลักษณะการซื้อขายที่ไม่ระบุชื่อ
ส่วนต่างนี้จะแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพคล่องของหลักทรัพย์ ความเสี่ยง และการแข่งขันระหว่าง Market Maker ยิ่งสภาพคล่องต่ำ ความเสี่ยงสูง Spread ก็จะกว้างขึ้น
กระบวนการเจรจา ใน การซื้อขายแบบ OTC มักมีการเจรจาต่อรองราคาและเงื่อนไข โดยเฉพาะการซื้อขายในปริมาณมาก ทำให้ราคาสุดท้ายอาจแตกต่างจากราคาเสนอเริ่มต้น
ระบบ Quote และ Trade Reporting ในปัจจุบัน ตลาด OTC หลายแห่งมีระบบรายงานราคาและการซื้อขาย เพื่อเพิ่มความโปร่งใส เช่น ระบบของ ThaiBMA ที่รายงานราคาซื้อขายตราสารหนี้
กรณีศึกษาพิเศษ: Crypto OTC คืออะไรและทำไมถึงสำคัญ?

Crypto OTC เป็นหนึ่งในรูปแบบการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่นักลงทุนรายใหญ่และสถาบัน
ความหมายของ Crypto OTC
Crypto OTC หมายถึงการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลในปริมาณมากโดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยไม่ผ่าน Exchange แบบดั้งเดิม การซื้อขายนี้มักจะมีการเจรจาราคาล่วงหน้า และดำเนินการผ่านโบรกเกอร์หรือ OTC Desk ที่เชี่ยวชาญ
ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนต้องการซื้อ Bitcoin จำนวน 100 BTC (ซึ่งมีมูลค่าหลายล้านบาท) การซื้อผ่าน Exchange ทั่วไปอาจทำให้ราคาเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากคำสั่งซื้อขนาดใหญ่จะกินออร์เดอร์หลายชั้น
กลุ่มเป้าหมายของ Crypto OTC
นักลงทุนรายใหญ่ (Whales) ที่ต้องการซื้อขายในปริมาณมากโดยไม่กระทบต่อราคาตลาด หรือไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลการซื้อขายต่อสาธารณะ
นักลงทุนสถาบัน เช่น บริษัทจัดการกองทุน บริษัทประกันภัย หรือ Family Office ที่ต้องการซื้อขายภายใต้เงื่อนไขที่เจรจาได้
บริษัทที่ต้องการแปลงสกุลเงิน เช่น บริษัทที่รับ Bitcoin เป็นการชำระเงิน และต้องการแปลงเป็นเงินสด หรือบริษัท Mining ที่ต้องการขาย Bitcoin ที่ได้จากการขุด
นักเทรดมืออาชีพ ที่ต้องการทำ Arbitrage หรือซื้อขายในปริมาณมากระหว่างตลาดต่างๆ
ข้อดีและข้อเสียของ Crypto OTC
ข้อดีหลักคือการหลีกเลี่ยง Price Slippage เมื่อซื้อขายในปริมาณมาก ใน Exchange ทั่วไป คำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่จะกินออร์เดอร์หลายระดับราคา ทำให้ได้ราคาเฉลี่ยที่แย่กว่าราคาตลาด แต่ใน Crypto OTC จะได้ราคาคงที่ที่เจรจากันล่วงหน้า
ความเป็นส่วนตัว เป็นอีกข้อดีสำคัญ การซื้อขายใน Crypto OTC ไม่ปรากฏใน Order Book สาธารณะ ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้โดยไม่เปิดเผยกลยุทธ์การลงทุน
ความยืดหยุ่นในการชำระราคา สามารถเลือกชำระด้วยเงินสด สกุลเงินดิจิทัลอื่น หรือแม้กระทั่งการผ่อนชำระในบางกรณี
อย่างไรก็ตาม Crypto OTC ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวัง โดยเฉพาะ Counterparty Risk เนื่องจากต้องไว้วางใจคู่สัญญา หากเลือกใช้บริการ OTC Desk ที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจมีความเสี่ยงสูญเสียเงินลงทุน
นอกจากนี้ ความโปร่งใสด้านราคา อาจต่ำกว่า Exchange ทั่วไป ทำให้ยากต่อการเปรียบเทียบราคา และอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าในบางกรณี
ภูมิทัศน์ตลาด OTC ของประเทศไทยในปี 2025
บริบทเศรษฐกิจมหภาค
คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงสู่เป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 2% ในปี 2025-2026 ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยคาดว่าจะชะลอตัวลงจาก 4.8% ในปี 2024 เหลือเฉลี่ย 4.1% ต่อปีในช่วงปี 2025-2027
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 25 จุดพื้นฐานในไตรมาสที่ 4 ปี 2025 เหลือ 1.50% จากปัจจุบันที่ 1.75%
พัฒนาการตลาดตราสารหนี้ไทย
ThaiBMA ได้ปรับลดคาดการณ์การออกหุ้นกู้ภาคเอกชนในปี 2025 ลงเหลือ 800 พันล้านบาท จากที่เคยประมาณการณ์ไว้ที่ 850–900 พันล้านบาท เนื่องจากการลดลงของมูลค่าการออกหุ้นกู้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025
ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2025 มูลค่าคงค้างของตลาดตราสารหนี้ไทยอยู่ที่ 17.3 ล้านล้านบาท (เทียบเท่า 93% ของ GDP) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.1% จากสิ้นปี 2024
การเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025 ถึง 31 ธันวาคม 2029 ประเทศไทยได้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกำไรจากการขายคริปโตเคอร์เรนซีและโทเค็นดิจิทัลสำหรับนักลงทุนบุคคลธรรมดา โดยการยกเว้นนี้จะใช้ได้เฉพาะในกรณีที่ธุรกรรมดำเนินการผ่านธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.
สำหรับแพลตฟอร์ม Crypto OTC ที่ได้รับใบอนุญาตในประเทศไทย Bitkub เป็นศูนย์ซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุด โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 77% ณ เดือนธันวาคม 2023 ในขณะที่ Binance TH โดย Gulf Binance เสนอบริการ OTC สำหรับการซื้อขายคริปโตปริมาณมากอย่างชัดเจน
บทสรุป
OTC คืออะไร เป็นคำถามพื้นฐานที่นักลงทุนทุกคนควรเข้าใจ เพราะ ตลาด OTC เป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินที่เปิดโอกาสการลงทุนที่หลากหลาย ตั้งแต่ตราสารหนี้ หุ้นนอกตลาด ไปจนถึง Crypto OTC ที่กำลังมาแรง
การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง OTC Market และตลาดหลักทรัพย์จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกช่องทางการลงทุนที่เหมาะสมกับความต้องการ โดยต้องประเมินข้อดี-ข้อเสีย และความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
สำหรับนักลงทุนไทย การรู้จัก การซื้อขายแบบ OTC จะเปิดมุมมองใหม่ในการลงทุน โดยเฉพาะในตราสารหนี้ผ่าน ThaiBMA หรือการลงทุนใน Cryptocurrency ผ่าน OTC Desk ที่น่าเชื่อถือ
อย่าลืมว่าแม้ ตลาด OTC จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วไป การศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด การเลือกคู่สัญญาที่น่าเชื่อถือ และการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญของการลงทุนที่ประสบความสำเร็จในตลาดนี้
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ [คู่มือตลาดตราสารหนี้สำหรับมือใหม่] สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ตามลิงก์ที่แนบมา
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
OTC Trade คืออะไร แตกต่างจากการเทรดทั่วไปอย่างไร?
OTC Trade หมายถึงการซื้อขายหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ทางการเงินโดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม ความแตกต่างหลักคือ OTC ไม่มีตลาดกลาง มีความยืดหยุ่นในการเจรจาเงื่อนไข แต่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญาสูงกว่า
หุ้น OTC ซื้อที่ไหน และมีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
หุ้น OTC สามารถซื้อได้ผ่านโบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาต หรือ OTC Market เฉพาะ ความเสี่ยงหลักรวมถึง Counterparty Risk, สภาพคล่องต่ำ, ข้อมูลไม่โปร่งใส และการกำกับดูแลที่หลวมกว่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างละเอียดก่อนลงทุน
OTC Market กับตลาดหลักทรัพย์ต่างกันอย่างไร?
OTC Market ไม่มีตลาดกลาง ซื้อขายได้ตลอดเวลา เจรจาเงื่อนไขได้ แต่ความโปร่งใสต่ำและมีความเสี่ยงสูงกว่า ส่วนตลาดหลักทรัพย์มีตลาดกลาง มีเวลาเปิด-ปิดกำหนด ราคาโปร่งใส มีการกำกับดูแลเข้มงวด แต่ความยืดหยุ่นน้อยกว่า
Crypto OTC เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
Crypto OTC เหมาะกับนักลงทุนรายใหญ่ที่ต้องการซื้อขายในปริมาณมาก (มักเริ่มต้น 10,000 USD ขึ้นไป) โดยไม่ต้องการกระทบต่อราคาตลาด หรือต้องการความเป็นส่วนตัว รวมถึงนักลงทุนสถาบันที่ต้องการเงื่อนไขพิเศษ เช่น การชำระราคาแบบผ่อน หรือการแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินดิจิทัลหลายประเภท
การซื้อขาย OTC มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
ค่าใช้จ่ายใน OTC Trading รวมถึง Bid-Ask Spread ที่โดยทั่วไปกว้างกว่าตลาดหลักทรัพย์ ค่าคอมมิชชั่นของโบรกเกอร์ ค่าธรรมเนียมการเจรจาและจัดทำสัญญา และในบางกรณีอาจมีค่าประกันความเสี่ยง นักลงทุนควรเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายกับประโยชน์ที่จะได้รับก่อนตัดสินใจ
ตลาด OTC ในไทยมีการกำกับดูแลอย่างไร?
ตลาด OTC ในไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานต่างๆ ขึ้นอยู่กับประเภทสินทรัพย์ เช่น ตลาดตราสารหนี้อยู่ใต้ ThaiBMA และธนาคารแห่งประเทศไทย ส่วน Forex OTC อยู่ใต้การกำกับของ ก.ล.ต. และธปท. นักลงทุนควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการได้รับใบอนุญาตที่ถูกต้อง