สำหรับนักเทรดมือใหม่ที่เพิ่งก้าวเท้าเข้าสู่ตลาด
Forex หรือ CFD หนึ่งในคำศัพท์ที่มักทำให้สับสนและเกิดคำถามมากที่สุดก็คือ “เลเวอเรจ” โดยเฉพาะเมื่อเห็นตัวเลขอย่าง “Leverage 1:100” ที่ปรากฏบ่อยครั้งในแพลตฟอร์มเทรด คำนี้ไม่ใช่แค่ตัวช่วยเพิ่มขนาดการซื้อขาย แต่เป็นเครื่องมือที่มีพลังในการทั้งสร้างกำไรก้อนโต และทำให้บัญชีคุณหมดค่าอย่างรวดเร็วหลายคนเข้าใจเพียงผิวเผินว่า Leverage คือการยืมเงินจากโบรกเกอร์ แต่จริง ๆ แล้วมันทำงานอย่างไร? แล้วตัวเลข 1:100 หมายถึงอะไร และมันส่งผลต่อเงินในกระเป๋าของคุณอย่างไรบ้าง? ที่สำคัญ เรารับมือกับความเสี่ยงจากเลเวอเรจได้อย่างไร?หากคุณเคยถามตัวเองคำถามเหล่านี้ บทความนี้จะพาคุณล้วงลึกทุกมิติของ
Leverage 1:100 ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน วิธีคำนวณ Margin อย่างแม่นยำ ไปจนถึงแนวทางการจัดการความเสี่ยงอย่างมีวินัย พร้อมตัวอย่างประกอบและตารางเปรียบเทียบที่เข้าใจง่าย เพื่อให้คุณสามารถใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างชาญฉลาด ไม่ใช่เพียงแค่ตามกระแส

เลเวอเรจคืออะไร? เข้าใจให้ลึกภายใน 1 นาที
คำว่า
Leverage หรือ “เลเวอเรจ” คือเครื่องมือทางการเงินที่โบรกเกอร์ให้กับผู้เทรด เพื่อเพิ่มกำลังในการซื้อขาย โดยทำให้คุณสามารถควบคุมสัญญาที่มีมูลค่ามากกว่าเงินทุนที่มีอยู่จริงในบัญชีได้หลายเท่าหากต้องการให้เข้าใจง่าย ลองนึกภาพ “คันงัด” ในชีวิตจริง เมื่อเราต้องการยกของหนัก 100 กิโลกรัม ด้วยแรงมือเพียงเล็กน้อย การใช้คันงัดจะช่วยให้เราทำได้ แม้ไม่มีแรงมากพอ เลเวอเรจก็ทำงานในลักษณะเดียวกัน โดยเงินทุนที่คุณมีคือ “แรงมือ” และตัวเลเวอเรจคือ “คันงัด” ที่ช่วยให้คุณยก “ภาระอันหนัก” หรือเปิดออเดอร์ขนาดใหญ่ได้ทั้งนี้ ต้องไม่สับสนระหว่าง Leverage กับเงินกู้จริง ๆ เพราะคุณไม่ได้ “เป็นหนี้” โบรกเกอร์โดยตรง แต่เป็นระบบประกันที่ช่วยให้คุณเทรดได้ในสัดส่วนที่ใหญ่ขึ้นโดยใช้
Margin ซึ่งก็คือ “เงินประกัน” ที่คุณวางไว้เพื่อเปิดและรักษาออเดอร์
Leverage 1:100 คืออะไร ต่างจาก 1:50 หรือ 1:1000 อย่างไร?
ตัวเลข “1:100” ที่ตามหลังคำว่า Leverage คือ “อัตราส่วน” ที่แสดงให้เห็นว่า ทุก 1 หน่วยของเงินทุน คุณสามารถควบคุมสัญญาได้ถึง 100 หน่วยตัวอย่างเช่น คุณมีเงินในบัญชี 1,000 ดอลลาร์ และเลือกใช้ Leverage 1:100 คุณจะสามารถเปิดออเดอร์ที่มีมูลค่ารวมสูงสุดถึง 100,000 ดอลลาร์ (1,000 × 100) ซึ่งเทียบเท่ากับการเทรด 1 Standard Lot ของคู่สกุลเงินหลักอย่าง
EUR/USD โดยไม่จำเป็นต้องมีเงินเต็มจำนวน 100,000 ดอลลาร์จริง ๆนี่คือข้อแตกต่างสำคัญกับตลาดหุ้นทั่วไป ที่คุณต้องใช้เงินทั้งหมดเพื่อซื้อสินทรัพย์ แต่ในตลาด
CFD และ Forex คุณแค่ “วางหลักประกัน” เพื่อรักษาตำแหน่งและได้รับผลตอบแทนตามการเปลี่ยนแปลงราคาของสัญญาทั้งชุด

คำนวณ Margin เมื่อใช้ Leverage 1:100 อย่างแม่นยำ
หนึ่งในสิ่งที่นักเทรดต้องเข้าใจให้แจ่มชัดคือ
Margin คืออะไร ซึ่งก็คือ “เงินประกัน” ที่จำเป็นต้องมีในบัญชีเพื่อเปิดและรักษาตำแหน่งการเทรดไว้ หากเงินในบัญชีลดลงจนไม่เพียงพอต่อ Margin ที่ต้องการ ระบบจะเรียก
Margin Call และอาจปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติการใช้ Leverage สูงจะทำให้ Margin ที่จำเป็นลดลงในอัตราส่วนเดียวกัน ซึ่งสามารถคำนวณได้ด้วยสูตรง่าย ๆ ดังนี้:
Margin ที่ต้องใช้ = มูลค่าสัญญาทั้งหมด / อัตราส่วน Leverageตัวอย่างการคำนวณในสถานการณ์จริง:คุณต้องการเปิดออเดอร์
Buy XAU/USD (ทองคำ) ขนาด 0.1 ล็อต โดยราคาทองคำขณะนั้นอยู่ที่ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเลือกใช้ Leverage 1:100
- มูลค่าสัญญาทั้งหมด: ทองคำ 1 ล็อต = 100 ออนซ์ ดังนั้น 0.1 ล็อต = 10 ออนซ์ → 10 × 2,300 = 23,000 ดอลลาร์
- คำนวณ Margin: 23,000 / 100 = 230 ดอลลาร์
สรุป: คุณไม่จำเป็นต้องมี $23,000 เพื่อเทรดทองคำ 0.1 ล็อต แต่เพียงใช้ Margin แค่ $230 ก็สามารถสร้างผลตอบแทนหรือขาดทุนตามการเคลื่อนไหวของทองคำ 23,000 ดอลลาร์ได้ทันที
เปรียบเทียบผลลัพธ์: Leverage 1:100 vs ไม่ใช้ Leverage (แนวคิดเพื่อการวิเคราะห์)
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนถึงพลังและความเสี่ยงของเลเวอเรจ มาดูตัวอย่างการเทรด
EUR/USD 1 ล็อต โดยมีเงินทุนเริ่มต้น 5,000 ยูโร แล้วเปรียบเทียบระหว่างการใช้ Leverage 1:100 กับการไม่ใช้ (ซึ่งในตลาด Forex จริงเป็นไปไม่ได้ แต่ใช้เพื่อเปรียบเทียบแนวคิด)
หัวข้อเปรียบเทียบ | ใช้ Leverage 1:100 | ไม่ใช้ Leverage (แนวคิด) |
---|
มูลค่าสัญญา | 100,000 EUR | 100,000 EUR |
Margin ที่ต้องใช้ | 1,000 EUR (100,000 / 100) | 100,000 EUR |
สามารถเปิดออเดอร์ได้หรือไม่? | ทำได้ (มีเงินทุน 5,000 EUR) | ทำไม่ได้ (เงินไม่พอ) |
กำไรหากตลาดขึ้น 50 pips | +500 EUR (50 × $10 ต่อ pip ของ 1 ล็อต) | – |
ขาดทุนหากตลาดลง 50 pips | -500 EUR | – |
จะเห็นได้ว่า แม้คุณมีเงินทุนเพียง 5,000 EUR การใช้เลเวอเรจ 1:100 ช่วยให้เข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ได้ทันที แต่ผลลัพธ์คือคุณมีความเสี่ยงต่อการเสียเงิน 500 EUR จากการขยับเพียง 50 pips — ซึ่งคิดเป็น 10% ของเงินทุนทั้งหมดของคุณ หากเกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยไม่มีการจัดการความเสี่ยง พอร์ตอาจถูก “ล้าง” ได้เร็วกว่าที่คิด

ข้อดีและข้อเสียของเลเวอเรจ: เครื่องมือที่ต้องควบคุมให้ได้
เลเวอเรจไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย แต่ก็ไม่ใช่ยาอายุวัฒนะสำหรับการสร้างกำไรทันที มันเป็นแค่เครื่องมือ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะจัดการอย่างไร
ข้อดีของ Leverage- เพิ่มอำนาจการซื้อขายทันที: เปิดออเดอร์ขนาดใหญ่ได้โดยใช้เงินทุนน้อย ช่วยให้เข้าถึงโอกาสในตลาดได้มากขึ้น
- ลดเงินทุนขั้นต่ำในการเริ่มต้นเทรด: เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่มีทุนไม่มาก แต่อยากเรียนรู้กลไกตลาดจริง
- เพิ่มอัตราผลตอบแทนเมื่อคาดการณ์ถูกต้อง: กำไรที่ได้จากการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของราคาจะถูกคูณด้วยขนาดสัญญาที่ใหญ่ขึ้นตาม Leverage
ข้อเสียของ Leverage- ขยายผลขาดทุนในสัดส่วนเดียวกัน: ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ขาดทุนหนัก เช่น การเข้าผิดทิศทางของตลาดอาจทำให้เสียหลายร้อยหรือหลายพันบาทในไม่กี่วินาที
- เพิ่มความเสี่ยงจาก Margin Call และ Stop Out: ยิ่งใช้เลเวอเรจสูง เงินประกันที่เหลือในพอร์ตก็ยิ่งน้อยลง ราคาแค่แกว่งนิดหน่อยก็อาจทำให้ออเดอร์ถูกปิด
- กระตุ้นให้เทรดมากเกินไป: ความสามารถในการเปิดออเดอร์ขนาดใหญ่มาก ๆ ด้วยเงินน้อย อาจสร้างความรู้สึก “ปลอดภัย” จนทำให้ขาดวินัยในการควบคุมความเสี่ยง

มือใหม่ควรใช้ Leverage เท่าไหร่ถึงปลอดภัย?
แม้โบรกเกอร์หลายแห่งจะเสนอ Leverage ได้สูงถึง 1:500 หรือ 1:1000 แต่สำหรับนักเทรดที่เพิ่งเริ่มต้น การตัดสินใจเลือกอัตราเลเวอเรจที่เหมาะสมคือจุดเริ่มต้นของการบริหารความเสี่ยง ทั้งนี้ หลายประเทศมีกฎคุ้มครองผู้บริโภคกำหนด ข้อจำกัดเลเวอเรจสำหรับลูกค้ารายย่อย เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกินควร
คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่คือ นักลงทุนหน้าใหม่ควรเริ่มจาก
Leverage ที่ไม่สูงจนเกินไป เช่น 1:10, 1:20 หรืออย่างมากที่สุดไม่เกิน 1:100 ทั้งนี้เน้นเพื่อให้สามารถควบคุมความเสี่ยงในแต่ละออเดอร์ และฝึกวินัยทางการเงินการใช้ Leverage ต่ำจะช่วยให้คุณได้ซ้อมมือกับสถานการณ์จริง โดยไม่ต้องเสี่ยงหมดบัญชีในวันแรก คุณจะได้เรียนรู้ว่าการเคลื่อนไหวของตลาดส่งผลต่อพอร์ตอย่างไร วิธีวาง
Stop Loss อย่างไรให้เหมาะสม และจะบริหารตำแหน่งอย่างไรเมื่อราคาผันผวนจำไว้ว่า
Leverage ไม่ใช่ตัวช่วยให้คุณรวยไว แต่เป็นตัวกำหนด “ขนาดความเสี่ยง” ที่คุณจะรับ ยิ่งใช้สูง ยิ่งต้องมีทักษะสูงขึ้นในการควบคุมมัน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Leverage 1:100 (FAQ)
Leverage คืออะไร?
Leverage คือเครื่องมือที่ช่วยให้เปิดสถานะมูลค่าสูงกว่าทุนจริงด้วยเงินประกัน (Margin) เพียงส่วนหนึ่ง โบรกเกอร์กำหนดอัตราทด เช่น 1:100 ทำให้เทรดในสเกลใหญ่ขึ้นโดยไม่ต้องวางเงินเต็มมูลค่าสัญญา
Leverage 1:100 หมายความว่าอย่างไร?
ทุก 1 ดอลลาร์ในบัญชีสามารถควบคุมสัญญาได้ 100 ดอลลาร์ เช่น ทุน $100 ใช้เลเวอเรจ 1:100 จะเปิดสถานะรวมได้สูงสุดราว $10,000
สำหรับมือใหม่ ควรเลือก Leverage เท่าไหร่ดี?
ควรเริ่มต่ำ เช่น 1:10 ถึง 1:50 เพื่อลดความผันผวนต่อพอร์ตและมีเวลาเรียนรู้ระบบบริหารความเสี่ยง จากนั้นค่อยปรับตามวินัยและกลยุทธ์
ความแตกต่างระหว่าง Leverage 1:100 กับ 1:1000 คืออะไร?
1:1000 ใช้ Margin น้อยกว่า 1:100 ถึง 10 เท่า จึงเสี่ยงสูงกว่าเพราะพอร์ตทนการแกว่งของราคาได้น้อยลง แม้เปิดล็อตเท่ากัน
Leverage ยิ่งสูง ยิ่งดีเสมอไปหรือไม่?
ไม่เสมอไป เลเวอเรจสูงเพิ่มทั้งโอกาสกำไรและความเสี่ยงขาดทุนในสัดส่วนเดียวกัน ใช้สูงโดยไม่คุมความเสี่ยงมักนำไปสู่การล้างพอร์ต ควรเลือกให้สอดคล้องกับแผนและวินัย