คำว่า Swap อาจฟังดูซับซ้อนสำหรับมือใหม่ แต่ในโลกของการเทรด คำนี้กลับมีความหมายที่ตรงไปตรงมา และมีผลต่อผลกำไรขาดทุนในพอร์ตคุณโดยตรง โดยเฉพาะในตลาด Forex การเข้าใจว่า Swap คืออะไร ทำงานอย่างไร และเกี่ยวข้องกับชีวิตการเทรดของคุณยังไง คือความรู้พื้นฐานที่ห้ามมองข้าม บทความนี้จะอธิบายทั้งความหมายในมุมของเทรดเดอร์ทั่วไป ไปจนถึงกลไกทางการเงินระดับองค์กร โดยเจาะลึกทั้งตัวอย่าง ประเภท ความเสี่ยง และคำถามที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ

Swap คืออะไร? ทำความเข้าใจจากพื้นฐานก่อนเริ่มเทรด
ถ้าจะให้เปรียบเทียบอย่างง่าย Swap คือ “ข้อตกลงแลกเปลี่ยน” รูปแบบหนึ่งในโลกการเงิน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าอนุพันธ์ (Derivatives) ที่มีสองฝ่ายเข้ามาตกลงกันว่า จะแลกเปลี่ยนผลตอบแทนบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ย เงินต้น หรือรายได้อื่น ๆ ในอนาคต ตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
จุดประสงค์ของการทำ Swap ไม่ใช่เพื่อซื้อขายสินทรัพย์จริง แต่เพื่อจัดการความเสี่ยง เช่น ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย หรือควบคุมต้นทุนทางการเงิน บางครั้งก็เพื่อรับผลตอบแทนจากความไม่สมดุลของตลาด
แม้ในระดับสถาบัน จะพบกับ Swap รูปแบบซับซ้อน แต่สำหรับเทรดเดอร์รายย่อยอย่างเรา สิ่งที่เรียกว่า Swap มักหมายถึงสิ่งหนึ่งที่เรียบง่ายกว่ามาก: “ค่าธรรมเนียมข้ามคืน” หรือที่คุ้นเคยในชื่อ “ดอกเบี้ยข้ามคืน” ซึ่งเป็นหัวข้อหลักที่เทรดเดอร์ต้องรับมือทุกวัน

Swap ในตลาด Forex: สิ่งที่เกิดขึ้นในบัญชีเทรดของคุณทุกคืน
หากคุณเคยเปิดสถานะไว้ข้ามคืนจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วสังเกตว่ามีเงินหายไปหรือเพิ่มขึ้นเองโดยไม่มีการเคลื่อนไหวของราคา นั่นอาจเป็นผลจาก “ค่า Swap” ที่ถูกบันทึกอัตโนมัติในบัญชี
คำว่า Swap คือ ต้นทุนหรือรายได้ที่เกิดจากการถือออเดอร์ข้ามคืน (Overnight) ในตลาด Forex ซึ่งเกิดขึ้นทุกครั้งที่คุณถือสัญญาซื้อขายไว้ถึงเวลาปิดตลาดหลัก (ประมาณ 5 โมงเย็นตามเวลา EST หรือเวลาตี 4–5 ของประเทศไทย)
ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น? เพราะเมื่อคุณซื้อขายคู่เงิน เช่น EUR/USD คุณไม่ได้แค่ซื้อขายราคาเฉย ๆ แต่คุณกำลังยืมหนึ่งสกุลเงินเพื่อซื้ออีกสกุลหนึ่ง โดยตรงนี้เองที่เกี่ยวข้องกับ “อัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ของแต่ละประเทศ ที่ธนาคารกลางประกาศไว้ เช่น ธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) กับธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)
เมื่อคุณ “ถือ” สกุลเงินที่ให้ดอกเบี้ยสูง คุณจะได้รับผลตอบแทน ในทางกลับกัน หาก “ถือ” สกุลเงินที่มีดอกเบี้ยต่ำ คุณต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับฝ่ายตรงข้าม ส่วนต่างของดอกเบี้ยนี้คือต้นตอของ “Swap” ที่จะถูกปรับในบัญชีเทรดทุกวัน

Swap บวก และ Swap ลบ: เงินเข้าหรือออก?
Swap ไม่ใช่คำสั่งเดียวกันเสมอไป ค่าที่ถูกคำนวณสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่
- Swap บวก (Positive Swap): เกิดขึ้นเมื่อคุณได้รับดอกเบี้ยข้ามคืน ซึ่งเงินจำนวนนี้จะถูกเพิ่มเข้าบัญชี ปกติจะเกิดขึ้นเมื่อคุณเปิด ซื้อ (Long) สกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง และ ขาย (Short) สกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ
- Swap ลบ (Negative Swap): เกิดขึ้นเมื่อคุณต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับโบรกเกอร์ นั่นคือเงินจะถูกหักออกจากบัญชี เกิดขึ้นเมื่อคุณซื้อสกุลเงินที่ดอกเบี้ยต่ำ หรือขายสกุลเงินที่ดอกเบี้ยสูง
ตัวอย่างเข้าใจง่าย: ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยของประเทศออสเตรเลีย (AUD) อยู่ที่ 3.5% ขณะที่ญี่ปุ่น (JPY) มีเพียง -0.1% หากคุณเปิดสถานะ ซื้อ (Long) ที่ AUD/JPY คุณกำลังถือ AUD ที่มีดอกเบี้ยสูง และขาย JPY ที่ดอกเบี้ยต่ำ ในกรณีนี้ คุณน่าจะได้รับ Swap บวก แต่ถ้าคุณเปิด ขาย (Short) คุณจะถูกหัก Swap ลบ แทน
วิธีคำนวณ Swap สำหรับเทรดเดอร์ทั่วไป
โชคดีที่คุณไม่จำเป็นต้องนั่งคำนวณ Swap ด้วยตนเองทุกวัน เพราะแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MetaTrader 4 หรือ 5 (MT4/MT5) จะแสดงค่า Swap ของแต่ละคู่เงินไว้ชัดเจน และจะคำนวณอัตโนมัติเมื่อถึงเวลา Rollover (เวลาปิดวัน)
ถึงอย่างนั้น การเข้าใจกลไกเบื้องหลังก็ช่วยให้คุณวางแผนการเทรดได้ดีขึ้น
สูตรการประมาณแบบง่าย ๆ มีดังนี้:
Swap ≈ (ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย / 365) × ขนาดสัญญา
โดยที่:
- ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย: หักอัตราดอกเบี้ยสกุลเงินที่ขาย ออกจากอัตราสกุลที่ซื้อ
- ขนาดสัญญา: ขึ้นอยู่กับ Lot Size ที่คุณใช้ ถ้า 1.0 Lot = 100,000 หน่วย
ตัวอย่าง: ถ้าคุณเทรด 1.0 Lot กับ AUD/JPY โดยส่วนต่างดอกเบี้ยอยู่ที่ +3.6% ต่อปี คุณจะได้รับประมาณ:
(0.036 / 365) × 100,000 ≈ $9.86 ต่อวัน (ต่อ 1 Lot)
อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์แต่ละแห่งอาจมีการ “บวกเพิ่ม” (Mark-up) หรือปรับโครงสร้างค่าใช้จ่าย ตรงนี้ทำให้ Swap ที่คุณเห็นในแพลตฟอร์มไม่จำเป็นต้องเท่ากับค่าคำนวณล้วน ๆ จากอัตราธนาคารกลาง ดังนั้นควรตรวจสอบ “ตัวเลข Swap” ในสเปกสินค้าของโบรกเกอร์โดยตรง

รู้จักประเภทของ Swap นอกตลาด Forex
แม้ในมุมมองของเทรดเดอร์ทั่วไป “Swap” จะหมายถึงเฉพาะ “ดอกเบี้ยข้ามคืน” แต่ในวงการการเงินระดับโลกคำนี้เกี่ยวข้องกับเครื่องมือบริหารความเสี่ยงแบบขั้นสูงหลายรูปแบบ การรู้จักประเภทใหญ่ ๆ จะช่วยให้คุณตีความข่าวเศรษฐกิจหรือรายงานการเงินได้ดีขึ้น
Interest Rate Swap: แลกเปลี่ยนดอกเบี้ย คงที่ แลกกับ ลอยตัว
เป็น Swap ที่พบบ่อยที่สุด สำหรับบริษัทหรือสถาบันการเงินที่ต้องกู้ยืมเงินจำนวนมาก ซึ่งมีโครงสร้างหนี้ที่อ่อนไหวต่อความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย
ตัวอย่าง: บริษัทแห่งหนึ่งมีเงินกู้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแบบลอยตัว (เช่น LIBOR + 2%) แต่กังวลว่าอัตราจะขึ้นในอนาคต บริษัทนี้จึงทำสัญญา Interest Rate Swap กับธนาคาร โดยตกลงว่าจะ “แลกเปลี่ยน” การจ่ายดอกเบี้ยลอยตัวมาเป็น “จ่ายดอกเบี้ยคงที่” แทน ซึ่งช่วยให้คาดการณ์ค่าใช้จ่ายในอนาคตได้แม่นยำยิ่งขึ้น
คำสำคัญคือ “เงินต้นสมมติ” หรือ Notional Principal ที่ใช้คำนวณ แต่ไม่ได้มีการส่งมอบจริง
Currency Swap: เปลี่ยนสกุลเงิน เปลี่ยนภาระ
Currency Swap คือการตกลงระหว่างสองฝ่ายในการแลกเปลี่ยนเงินต้นและดอกเบี้ยในสกุลเงินที่ต่างกัน นิยมใช้โดยบริษัทข้ามชาติที่ต้องการเงินทุนในประเทศอื่น หรือบริษัทที่ได้รายรับเป็นสกุลต่างประเทศ
ตัวอย่าง: บริษัทญี่ปุ่นต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐเพื่อลงทุนในอเมริกา แต่การกู้โดยตรงอาจเสียเปรียบด้านอัตราดอกเบี้ย จึงทำ Currency Swap กับบริษัทอเมริกันที่ต้องการเงินเยน โดยทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนเงินต้นในช่วงเริ่มต้น และตกลงจ่ายดอกเบี้ยให้กันในช่วงเวลาถัดไป หลังครบกำหนดก็คืนเงินต้นกันอีกครั้ง
แม้แต่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ใช้ธุรกรรมลักษณะนี้ เพื่อ จัดการสภาพคล่อง ในระบบการเงิน เช่น การทำ Foreign Exchange Swap เพื่อรับหรือปล่อยสกุลเงินต่างประเทศชั่วคราว

Swap อื่น ๆ ที่น่าสนใจ
นอกจากสองประเภทหลัก ยังมี Swap ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางอีกหลายรูปแบบ ดังที่ Investopedia อธิบายไว้อย่างละเอียด
- Commodity Swap: ใช้สำหรับผู้ผลิตหรือผู้บริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น โรงกลั่นน้ำมัน ที่ต้องการล็อกต้นทุน โดยตกลงจะรับราคาคงที่แทนการปล่อยให้ราคาตามตลาดผันผวน เช่น น้ำมัน WTI
- Equity Swap: เป็นการแลกเปลี่ยนผลตอบแทนจากดัชนีหุ้น (เช่น S&P500) กับอัตราดอกเบี้ย ใช้โดยกองทุนเพื่อเลี่ยงภาษีหรือเลี่ยงการโอนถ่ายหุ้นจริง
- Credit Default Swap (CDS): คล้าย “ประกันภัยหนี้” นักลงทุนซื้อ CDS เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการผิดนัดของบริษัทหรือประเทศ การได้รับผลตอบแทนจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์ผิดนัด
ความเสี่ยงแฝงของ Swap ที่ต้องระวัง
ถึงแม้ Swap จะถูกออกแบบมาเพื่อบริหารความเสี่ยง แต่ตัวมันเองก็มีความเสี่ยงที่ควรรับรู้ โดยเฉพาะในสัญญาขนาดใหญ่ของสถาบัน และแม้ในระดับเทรดเดอร์รายย่อยก็อาจประสบปัญหาร้ายแรงหากมองข้าม
- ความเสี่ยงด้านคู่สัญญา (Counterparty Risk): ถ้าฝ่ายตรงข้ามในสัญญาล้มละลายหรือไม่สามารถชำระเงินได้ เช่น เครือข่ายการเงินล่มสลาย คุณอาจสูญเสียทั้งเงินต้นและผลตอบแทน
- ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk): ถ้าอัตราดอกเบี้ย หรืออัตราแลกเปลี่ยน เปลี่ยนแปลงไปจากที่คาดไว้ อาจทำให้สัญญา Swap มีมูลค่าติดลบ กลายเป็นภาระแทนที่จะเป็นเกราะป้องกัน
สำหรับเทรดเดอร์รายย่อย เสี่ยงที่พบคือ “การขาดทุนสะสมจากค่า Swap ลบ” เช่น เปิดสถานะ Long กับคู่เงินที่มีดอกเบี้ยต่ำ แล้วถือไว้เป็นสัปดาห์หรือเดือน แม้ราคาไม่เคลื่อนที่ ก็อาจเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ทำให้กลยุทธ์ “ถือยาว” พังลงได้
สำหรับผู้ที่อยากรู้วิธีคำนวณค่า Swap อย่างละเอียด หรือสนใจศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์ Carry Trade บทความเหล่านี้จะช่วยเสริมความเข้าใจและนำไปใช้กับการเทรดจริงได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Swap
Swap ใน Forex คืออะไร?
Swap ในตลาด Forex คือค่าธรรมเนียมหรือรายได้ข้ามคืนที่เกิดขึ้นเมื่อคุณถือออเดอร์ไว้เกินเวลาปิดตลาด ขึ้นอยู่กับส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินในคู่นั้น ๆ
ทำไมการเทรด Forex ถึงมีค่า Swap?
เพราะการซื้อขายฟอเรกซ์มีลักษณะเหมือนการยืมสกุลเงินหนึ่งเพื่อซื้อีกสกุลหนึ่ง ดังนั้นจึงมีต้นทุนหรือผลตอบแทนจากดอกเบี้ยของเงินกู้นี้ ซึ่งถูกส่งผ่านมาสู่เทรดเดอร์ในรูปแบบของค่า Swap หรือ Rollover Fee
เราจะรู้ค่า Swap ของแต่ละคู่สกุลเงินได้อย่างไร?
ตรวจสอบได้โดยตรงจากแพลตฟอร์มการเทรด (เช่น MT4 หรือ MT5) เพียงคลิกขวาที่ชื่อคู่เงิน แล้วเลือก “Properties” หรือ “สเปก” เพื่อดูค่า Swap สำหรับทั้งฝั่ง ซื้อ และ ขาย
Swap จะเป็นบวกหรือลบ ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?
ขึ้นอยู่กับสองปัจจัยหลัก: 1) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสกุลเงินทั้งสอง และ 2) ทิศทางการเปิดออเดอร์ของคุณ หากคุณซื้อสกุลเงินที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า คุณมีแนวโน้มได้รับ Swap บวก แต่ถ้าซื้อสกุลที่ดอกเบี้ยต่ำ ก็ต้องจ่าย Swap ลบ
ถือออเดอร์ข้ามวันหยุดสุดสัปดาห์ ค่า Swap จะถูกคิดอย่างไร?
ทุกสัปดาห์จะมีการคิด “Swap 3 เท่า” (Triple Swap) เพื่อชดเชยในช่วงวันเสาร์และอาทิตย์ที่ตลาดปิด โดยปกติจะคำนวณในคืนวันพุธหรือวันพฤหัส ขึ้นอยู่กับนโยบายโบรกเกอร์ หมายความว่า ถ้าคุณถือออเดอร์ที่มี Swap ลบ คุณอาจถูกลดในครั้งเดียวสามวันรวด
ทุกโบรกเกอร์คิดค่า Swap เท่ากันหรือไม่?
ไม่เท่ากัน โบรกเกอร์แต่ละรายอาจตั้งค่า Swap ต่างกัน โดยเฉพาะการใส่ค่า Mark-up หรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มรายได้ ดังนั้นควรเปรียบเทียบค่า Swap ก่อนเลือกโบรกเกอร์
มีบัญชีเทรดที่ไม่ต้องจ่ายค่า Swap ไหม?
มี บัญชีประเภท “Swap-Free” หรือ “Islamic Account” ถูกออกแบบมาไม่ให้มีการคิดค่าดอกเบี้ยตามหลักศาสนาอิสลาม สำหรับเทรดเดอร์มุสลิม แม้จะไม่มี Swap แต่โบรกเกอร์อาจคิดค่าธรรมเนียมอื่นแทน เช่น ค่าคอมมิชชั่นต่อการเปิดคำสั่ง
Interest Rate Swap กับ Currency Swap ต่างกันยังไง?
Interest Rate Swap ใช้แลกเปลี่ยนกระแสการจ่ายดอกเบี้ย (เช่น ดอกเบี้ยลอยตัว แลกกับ ดอกเบี้ยคงที่) ภายในสกุลเงินเดียวกัน ในขณะที่ Currency Swap เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนเงินต้นและดอกเบี้ยใน “สกุลเงินที่ต่างกัน” เช่น ดอลลาร์แลกเปลี่ยนกับเยน