เมื่อตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงวันใดวันหนึ่ง คำว่า “Circuit Breaker” มักถูกพูดถึงบ่อยครั้งในวงสนทนาของนักลงทุน หากคุณเพิ่งเริ่มต้นเส้นทางลงทุน อาจรู้สึกสับสนและเกิดความกังวลเมื่อได้ยินคำนี้ ทว่าสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ การหยุดซื้อขายแบบฉุกเฉินนี้ไม่ใช่สัญญาณหายนะ แต่เป็นกลไกป้องกันที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมความตื่นตระหนก และให้เวลาแก่นักลงทุนได้ทบทวนสถานการณ์
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจทุกมิติของระบบ Circuit Breaker ในตลาดหุ้นไทยอย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย หลักเกณฑ์ล่าสุด ประวัติการใช้งานจริง รวมถึงกลยุทธ์การรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น พร้อมชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่าง Circuit Breaker กับมาตรการควบคุมราคาอย่าง Ceiling & Floor ที่หลายคนมักเข้าใจคลาดเคลื่อน

Circuit Breaker คืออะไร? เข้าใจง่ายในไม่กี่ย่อหน้า
Circuit Breaker หรือที่รู้จักในชื่อ “ระบบหยุดซื้อขายฉุกเฉิน” เป็นมาตรการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นำมาใช้เพื่อชะลอหรือหยุดการทำธุรกรรมในตลาดทั้งหมดชั่วคราว เมื่อดัชนี SET Index ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงภายในวันเดียว
เป้าหมายหลักไม่ใช่การแทรกแซงทิศทางของตลาด แต่ต้องการ “ลดแรงเทขายจากความตื่นตระหนก” หรือที่เรียกว่า Panic Sell โดยให้เวลาแก่ผู้ลงทุนในการรับข้อมูล ตั้งสติ และตัดสินใจอย่างมีเหตุผลมากขึ้น แทนที่จะกดขายทิ้งเพียงเพราะเห็นกราฟตกหนัก
กลไกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันความผันผวนรุนแรงที่อาจเกิดจากปฏิกิริยาซ้ำซ้อนในตลาด เช่น ข่าวร้าย → ราคาหุ้นตก → นักลงทุนเริ่มเทขาย → ราคาตกหนักกว่าเดิม → ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกเพิ่ม จนเกิดวังวนลงที่เลวร้ายไม่สิ้นสุด

เกณฑ์ล่าสุดของการใช้ Circuit Breaker ในตลาดหุ้นไทย
เพื่อให้เข้าใจการทำงานอย่างถูกต้อง จำเป็นต้องรู้ว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดเกณฑ์การใช้ Circuit Breaker อย่างไร โดยอิงจากอัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนี SET Index เทียบกับราคาปิดของวันก่อนหน้า แบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้
| ระดับ | เกณฑ์การทำงาน (SET Index ลดลง) | ระยะเวลาหยุดพักการซื้อขาย |
|---|
| ระดับที่ 1 | ลดลง 8% | หยุดพักการซื้อขาย 30 นาที |
| ระดับที่ 2 | ลดลง 15% | หยุดพักการซื้อขาย 30 นาที |
| ระดับที่ 3 | ลดลง 20% | หยุดซื้อขายจนถึงเวลาปิดทำการปกติ |
ควรสังเกตว่า แต่ละระดับจะใช้ได้เพียงรอบเดียวต่อวัน หากตลาดหยุดไปแล้วและกลับมาเปิดใหม่ แล้วดัชนีดิ่งลงอีกจนเข้าเงื่อนไขเดิม ก็ไม่ต้องหยุดซ้ำอีก ระบบจะพิจารณาตาม “สภาวะตลาดในเวลานั้น” รวมถึงความผันผวนของราคาหลังเปิดกลับมา
ข้อมูลเพิ่มเติมจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุชัดเจนว่า การหยุดซื้อขายจะไม่เกิดขึ้นหากดัชนีถึงเกณฑ์ในช่วง 30 นาทีสุดท้ายของวันซื้อขาย ซึ่งหมายความว่า หาก SET Index ล้มลง 20% ในนาทีที่ 59 ของวันก็จะไม่เกิดการหยุดพัก แต่จะปิดตามเวลาปกติทันที

เมื่อตลาดหยุดซื้อขาย นักลงทุนควรทำอย่างไร?
ในช่วงเวลาที่ตลาดหยุดนิ่ง 30 นาที หลาย ๆ คนอาจรู้สึกอึดอัดหรือกังวล แต่ในความเป็นจริง ช่วงเวลาดังกล่าวเปรียบเสมือน “ช่วงพักหายใจ” สำหรับผู้ลงทุนที่มีสติ คุณสามารถใช้โอกาสนี้ในการไตร่ตรองแทนการตัดสินใจด้วยอารมณ์ นี่คือสิ่งที่ควรทำเมื่อเกิดเหตุการณ์ Circuit Breaker
1. อย่ายื่นมือไปกับคำสั่งขาย
สิ่งที่อันตรายที่สุดคือการ “กดขายทันทีที่ตลาดกลับมาเปิด” เพราะมันสะท้อนถึงการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ กลัวว่าจะเสียมากกว่านี้ ทั้ง ๆ ที่อาจไม่ได้เข้าใจว่าสาเหตุการร่วงของตลาดคืออะไร หรือหุ้นที่ถืออยู่ยังมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งหรือไม่
ให้ระงับการส่งคำสั่งทุกประเภทชั่วคราว และตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่า “ถ้าราคาหุ้นลง 20% แต่บริษัทยังทำกำไรได้ดี ฉันควรขายไหม?”
2. กลับมาทบทวนแผนการลงทุน
ใช้เวลาช่วงที่ตลาดหยุด ตรวจสอบพอร์ตที่คุณถืออยู่อย่างละเอียด ถามตัวเองว่า
คุณเลือกหุ้นนี้ด้วยเหตุผลอะไร?
งบการเงินยังแข็งแรงหรือไม่?
ธุรกิจยังดำเนินงานได้ในภาวะวิกฤตหรือเปล่า?
การปรับตัวของตลาดทั้งมหภาคอาจไม่ได้สะท้อนสถานะของบริษัทแต่ละแห่งอย่างแท้จริง ดังนั้น การทบทวนแผนจะช่วยให้คุณยังคงเดินอยู่บนแนวทางที่วางไว้ ไม่เผลอถูกลมแรงของตลาดพัดพาไปตามคนหมู่มาก
3. ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณ
ไม่ใช่ทุกข่าวที่เผยแพร่ในช่วงตลาดผันผวนจะมีความน่าเชื่อถือ การใช้เวลา 30 นาทีนี้สืบค้นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น สำนักข่าวทางการ บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ หรือข้อมูลจากหน่วยงานกำกับดูแล จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าการร่วงลงของดัชนีเกิดจากปัจจัยภายนอกแบบชั่วคราว เช่น ความกังวลเศรษฐกิจโลก หรือเกิดจากปัจจัยในประเทศที่ส่งผลกระทบระยะยาว
การตัดสินใจภายใต้ข้อมูลที่ครบถ้วน มักดีกว่าการตอบสนองอย่างรวดเร็วแต่ผิดเวลา

Circuit Breaker ต่างจาก Ceiling & Floor อย่างไร?
หลายคนงงกับความแตกต่างระหว่าง Circuit Breaker กับระบบ Ceiling & Floor เพราะทั้งสองอย่างดูคล้ายกันตรงที่ “จำกัดการเปลี่ยนแปลงราคา” แต่จริง ๆ แล้ว กลไกทั้งสองนี้มีขอบเขต วัตถุประสงค์ และรูปแบบการใช้งานที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
| หัวข้อเปรียบเทียบ | Circuit Breaker | Ceiling & Floor |
|---|
| ขอบเขตการใช้งาน | ทั้งตลาด (ระบบกลาง) | หุ้นรายตัว |
| เกณฑ์การทำงาน | เมื่อดัชนี SET Index ลดลง -8%, -15%, -20% | ห้ามเกินกรอบ +/- 30% จากราคาปิดวันก่อน (สำหรับหุ้นปกติ) |
| วัตถุประสงค์ | ลดความตื่นตระหนกในภาพรวม และให้เวลาไตร่ตรอง | ป้องกันการปั่นราคา หรือการเคลื่อนไหวผิดปกติของหุ้นใดหุ้นหนึ่ง |
| ความถี่ในการใช้ | เฉพาะกรณีวิกฤต หรือตลาดร่วงหนักจริง ๆ | ใช้ทุกวัน สำหรับทุกหุ้นที่อยู่ในการซื้อขาย |
เข้าใจง่าย ๆ: Circuit Breaker เหมือน “เบรกฉุกเฉินของตลาดทั้งประเทศ” ในขณะที่ Ceiling & Floor เป็น “ลิมิตความเร็วสำหรับรถยนต์คันใดคันหนึ่ง” ทั้งสองอย่างต่างมีบทบาท แต่ทำหน้าที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ประวัติศาสตร์การใช้ Circuit Breaker ในไทย
การเรียนรู้จากอดีตช่วยให้เห็นภาพว่า แม้ตลาดจะตกหนักแค่ไหน ก็ย่อมมีวันฟื้นตัวกลับมาเสมอ และหนึ่งในช่วงเวลาที่นักลงทุนยังคงจดจำ คือเหตุการณ์การระบาดของโควิด-19 ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563
ในปีนั้น ความกังวลทั่วโลกต่อการแพร่ระบาดส่งผลให้ตลาดเกิดช่วงขาลงอย่างรุนแรง จนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องประกาศใช้ Circuit Breaker ถึง 4 ครั้ง ภายในเดือนเดียว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ระบบดังกล่าวถูกใช้งานอย่างต่อเนื่องในระดับประวัติศาสตร์
จุดที่ควรสังเกตคือ หลังเหตุการณ์นั้นผ่านไป แม้ดัชนีจะแตะจุดต่ำสุด แต่ในเวลาไม่นานก็เริ่ม rebound กลับมาอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนว่าตลาดมีศักยภาพในการฟื้นตัวหากปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแรง
การศึกษา ประวัติการใช้ Circuit Breaker จึงไม่ใช่เพื่อสร้างความกลัว แต่เพื่อเตรียมความพร้อมทางจิตใจ ว่า “เหตุการณ์รุนแรงอาจเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่ง” ไม่ใช่จุดจบของเส้นทางลงทุน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Circuit Breaker (FAQ)
Circuit Breaker ของตลาดหุ้นไทยคืออะไร?
Circuit Breaker คือมาตรการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ใช้เพื่อหยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งหมดชั่วคราว เมื่อดัชนี SET Index ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงถึงระดับที่กำหนด เพื่อให้นักลงทุนมีเวลาไตร่ตรองและลดความตื่นตระหนกในการซื้อขาย
ตลาดหุ้นไทยจะเกิด Circuit Breaker เมื่อดัชนีตกกี่เปอร์เซ็นต์?
ตามเกณฑ์ล่าสุดมี 3 ระดับคือ: ระดับที่ 1 เมื่อ SET Index ลดลง -8%, ระดับที่ 2 เมื่อลดลง -15%, และระดับที่ 3 เมื่อลดลง -20% จากราคาปิดของวันก่อนหน้า
เมื่อเกิด Circuit Breaker นักลงทุนควรทำอย่างไร?
ตั้งสติและหลีกเลี่ยงการ Panic Sell ทันทีที่ตลาดกลับมาเปิด ใช้ช่วงเวลาหยุดพักเพื่อทบทวนแผนการลงทุน ประเมินพอร์ตของตนเอง และติดตามข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้อย่างใกล้ชิด ก่อนตัดสินใจส่งคำสั่งซื้อขาย
ในอดีตตลาดหุ้นไทยเคยเกิด Circuit Breaker กี่ครั้ง?
เคยมีการใช้มาตรการ Circuit Breaker หลายครั้ง โดยช่วงที่น่าจดจำคือเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 ระหว่างวิกฤตโควิด-19 ซึ่งมีการใช้งานถึง 4 ครั้งภายในเดือนเดียว
Circuit Breaker เหมือนกับ Ceiling & Floor ของหุ้นรายตัวหรือไม่?
ไม่เหมือนกัน Circuit Breaker เป็นมาตรการสำหรับทั้งตลาดเมื่อดัชนี SET Index ร่วงรุนแรง ส่วน Ceiling & Floor เป็นกรอบราคาสูงสุด/ต่ำสุดของหุ้นรายตัวในแต่ละวัน