ในโลกของการเทรด ไม่ว่าจะเป็น Forex หุ้น หรือคริปโตเคอร์เรนซี การคาดการณ์ทิศทางของราคาได้แม่นยำคือกุญแจสู่ผลกำไร แม้แนวรับแนวต้านจะเป็นเครื่องมือที่นักเทรดทุกคนรู้จักดี แต่หากต้องการความแม่นยำและมุมมองที่ลึกขึ้น “โซนอุปสงค์และอุปทาน” (Supply and Demand Zone) คือเครื่องมือขั้นสูงที่ควรศึกษา
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจแนวทางนี้ในระดับลึก ตั้งแต่ความหมายเบื้องต้น การระบุโซนอย่างมืออาชีพ การวิเคราะห์ความแข็งแกร่ง ไปจนถึงการสร้างแผนเทรดที่สามารถใช้งานได้จริง พร้อมตัวอย่างและคำเตือนเกี่ยวกับข้อผิดพลาดที่มือใหม่มักเจอ รวมถึงคำตอบข้อสงสัยที่พบบ่อย เพื่อให้คุณมีกรอบความคิดที่ชัดเจนก่อนเริ่มซื้อขาย

Supply and Demand Zone คืออะไร? มุมมองใหม่ที่เหนือกว่าแนวรับแนวต้าน
ลองนึกถึงสมการพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์ นั่นคือ “อุปสงค์-อุปทาน” เมื่อมีผู้ซื้อจำนวนมากแต่สินค้ามีจำกัด ราคาต้องขึ้น และถ้ามีสินค้ามากแต่ผู้ซื้อน้อย ราคาต้องลดลง กฎนี้ใช้ได้กับทุกตลาดการเงิน
Supply and Demand Zone หรือที่เรียกว่าโซนอุปทานและอุปสงค์ คือ “พื้นที่” บนแผนภูมิราคา ที่แสดงถึงความไม่สมดุลอย่างมากในคำสั่งซื้อขาย และมักเป็นจุดที่ราคาเกิดการกลับตัวหรือเร่งตัวอย่างมีนัยสำคัญ
- Demand Zone (โซนอุปสงค์): เกิดจากการกระจุกตัวของคำสั่งซื้อขนาดใหญ่ ทำให้แรงซื้อมากกว่าแรงขายอย่างชัดเจน เมื่อราคาไหลกลับเข้ามาที่โซนนี้อีกครั้ง มักเกิดการเด้งตัวขึ้น คล้ายกับ “พื้นที่ที่มีผู้ซื้อรอเก็บของราคาถูก”
- Supply Zone (โซนอุปทาน): เกิดจากการกระจุกตัวของคำสั่งขายขนาดใหญ่ ทำให้แรงขายนำหน้าแรงซื้อ เมื่อราคาวิ่งขึ้นไปแตะโซนนี้อีก จะมีโอกาสสูงที่ราคาจะถูกกดกลับลงมา คล้าย “จุดที่มีผู้ขายรอเททิ้งที่ราคาสูง”
สิ่งที่น่าสนใจคือ โซนเหล่านี้มักเป็นร่องรอยของ “ผู้เล่นรายใหญ่” หรือสถาบันการเงินที่ต้องการสะสมหรือปล่อยสินทรัพย์จำนวนมากโดยไม่อยากผลักดันราคาให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การอ่านและตีความโซนเหล่านี้จึงทำให้คุณ “เดินตามรอยเท้า” ของเทรดเดอร์กลุ่มใหญ่ ซึ่งเป็นความได้เปรียบในตลาด

ต่างจากแนวรับและแนวต้านอย่างไร? เหตุใดจึงควรหันมารู้จักโซน
แม้ฟังดูคล้าย แต่การใช้ โซน (Zone) ต่างจากแนวรับแนวต้านแบบดั้งเดิมที่เป็นแค่ เส้น (Line) อย่างสิ้นเชิง
แนวรับแนวต้านแบบเดิม คือการลากเส้นตรงเชื่อมจุดต่ำสุด (Low) หรือจุดสูงสุด (High) ซึ่งดูเฉพาะมิติของ “ราคา” โดยมองข้ามปัจจัยอย่าง “เวลา” และ “แรงกดดันของคำสั่งซื้อขาย”
ในทางกลับกัน Supply and Demand Zone พิจารณา “ระยะเวลา” และ “พฤติกรรมราคา” ที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดเกิดภาวะ “สมดุลชั่วคราว” ก่อนจะพุ่งขึ้นหรือดิ่งลงอย่างรวดเร็ว โซนนี้จึงให้มุมมองที่สมบูรณ์กว่า เพราะเป็นตัวแทนของ “พื้นที่รวมสภาพคล่อง” หรือ Liquidity Zone ที่ผู้เล่นรายใหญ่ทิ้งคำสั่งค้างไว้
แหล่งข้อมูลอย่าง Investopedia อธิบายแนวรับว่าเป็น “ระดับราคาที่สินทรัพย์มีแนวโน้มหยุดร่วง” แต่ในมุมมองของ โซนอุปสงค์ เราจะพูดถึง “พื้นที่ที่มีคำสั่งซื้อยกเว้นจำนวนมาก” ซึ่งช่วยให้เข้าใจแรงขับเคลื่อนเบื้องหลังการกลับตัวได้ดีขึ้น
วิธีระบุและวาดโซนอุปสงค์-อุปทานอย่างมืออาชีพ
การวาดโซนที่แม่นยำคือหัวใจของกลยุทธ์นี้ ซึ่งไม่ใช่แค่การลากกล่องสี่เหลี่ยม แต่ต้องเข้าใจโครงสร้างราคารอบต่อการเคลื่อนที่
ขั้นตอนที่ 1: ค้นหา “การเคลื่อนไหวที่รุนแรง” (Explosive Move)
จุดเริ่มต้นคือ “แท่งเทียนที่ยาวและแรง” ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเหล่านี้บ่งบอกถึงความไม่สมดุลของตลาด ซึ่งมักเริ่มต้นจาก “ฐาน” ที่ผู้เล่นใหญ่สะสมคำสั่งไว้
ขั้นตอนที่ 2: วิเคราะห์ “ฐาน” (Base) ก่อนการระเบิดของราคา
มองย้อนกลับไปในช่วงก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้นหรือดิ่งลงอย่างแรง คุณจะสังเกตเห็น “กราฟราครวมตัว” หรือ sideway ในกรอบแน่น เป็นช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวน้อย และมีแท่งเทียนเล็ก ๆ หลายแท่งอยู่ใกล้กัน ช่วงเวลาเหล่านี้คือ “ฐาน” ที่สถาบันเตรียมคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่
ขั้นตอนที่ 3: วาดโซนให้ครอบคลุมฐานทั้งหมด
ใช้เครื่องมือ “สี่เหลี่ยม” ในแพลตฟอร์มเทรด (เช่น MT4 หรือ TradingView) เพื่อลากสี่เหลี่ยมครอบคลุมบริเวณของ “ฐาน” นั้น โดยคำนึงถึง
- Demand Zone: ใช้ จุดต่ำสุดของไส้ล่าง (Lowest Wicks) เป็นแนวล่าง และ จุดสูงสุดของตัวแท่ง (Highest Close Body) เป็นแนวบน
- Supply Zone: ใช้ จุดสูงสุดของไส้บน (Highest Wicks) เป็นแนวบน และ จุดต่ำสุดของตัวแท่ง (Lowest Close Body) เป็นแนวล่าง
การวาดแบบนี้ช่วยครอบคลุมบริเวณที่มีแนวโน้มว่ามีคำสั่งซื้อค้างอยู่ ทำให้คุณมองเห็น “เขตอำนาจ” ของผู้เล่นใหญ่ได้ชัดเจน

4 รูปแบบของโซนสำคัญที่มือใหม่มือใหม่ต้องรู้
ไม่ใช่ทุกโซนที่เหมือนกัน โซนอุปสงค์และอุปทานสามารถแบ่งออกตามลักษณะการเคลื่อนไหว เป็น 2 ประเภทย่อย ได้แก่ โซนกลับตัว และโซนต่อเนื่อง
Drop-Base-Rally (DBR): โซนอุปสงค์ในการกลับตัวจากขาลง
ราคาอยู่ในเทรนด์ขาลงอย่างรุนแรง แล้วเริ่มชะลอตัวสร้าง “ฐาน” จากนั้นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ฐานที่เกิดขึ้นก่อนการพุ่งขึ้นนี้คือ Demand Zone ที่แข็งแกร่ง มักใช้ในการเข้า “ซื้อ” เมื่อราคารีเทสต์
Rally-Base-Drop (RBD): โซนอุปทานในการกลับตัวจากขาขึ้น
ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น ราคาขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นเริ่มพักตัวสร้าง “ฐาน” ก่อนดิ่งลงอย่างหนัก ฐานนี้เป็น Supply Zone ที่ดีสำหรับการ “ขาย” หรือ “เปิดสถานะขาลง” เมื่อราคาไหลกลับมา
Rally-Base-Rally (RBR): โซนอุปสงค์ในระหว่างเทรนด์ขาขึ้น
ในเทรนด์ขาขึ้นที่แข็งแรง ราคาอาจเกิดการย่อตัวเล็กน้อย (Pullback) แล้วสร้าง “ฐาน” ชั่วคราว จากนั้นก็กลับขึ้นไปต่อ ฐานในจุดนี้แสดงถึงความต้องการในตลาดที่ยังคงมีอยู่ จึงเป็น Demand Zone ที่น่าซื้อในเทรนด์
Drop-Base-Drop (DBD): โซนอุปทานในระหว่างเทรนด์ขาลง
ในตลาดหมี ราคาลงต่อเนื่อง เกิดการพักตัวเล็กน้อย แล้วลงต่ออีกครั้ง ฐานนี้แสดงถึงโอกาสในการขายเพิ่ม ซึ่งถือว่าเป็น Supply Zone ที่ดีสำหรับการเปิดสถานะขาลง

กลยุทธ์เทรดด้วย Supply and Demand: แผนที่ใช้งานได้จริง
หลังจากสามารถระบุโซนได้อย่างแม่นยำแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการแปลงความรู้นั้นเป็นแผนการเทรดที่ชัดเจน ตั้งแต่เข้า ตัดขาดทุน ไปจนถึงทำกำไร
- จังหวะเข้าเทรด (Entry): จุดที่ดีที่สุดคือ “ครั้งแรก” ที่ราคารีเทสต์โซน เนื่องจากโซนยังถือว่า “สดใหม่” โดยคุณสามารถใช้สองกลยุทธ์
- Pending Order: ตั้งคำสั่งซื้อ (Buy Limit) หรือขาย (Sell Limit) ไว้บริเวณขอบของโซน
- รอการยืนยัน: อย่ารีบเข้า รอให้ราคาเข้ามาในโซน แล้วสังเกตว่าเกิดสัญญาณกลับตัว เช่น เข็มย้อน (Pin Bar) หรือ แท่งเทียนกลับตัว ซึ่งช่วยยืนยันว่าตลาดยังเคารพโซนนั้น
- ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss): คือหัวใจสำคัญของความอยู่รอดในการเทรด ควรตั้ง Stop Loss นอกตัวโซนเพื่อให้คำสั่งไม่ถูกกระตุ้นง่ายเกินไป
- สำหรับการเข้าซื้อที่ Demand Zone: ตั้ง Stop Loss ต่ำกว่า ขอบล่างของโซน
- สำหรับการเข้าขายที่ Supply Zone: ตั้ง Stop Loss สูงกว่า ขอบบนของโซน
ระยะห่างควรพิจารณาจากช่วงราคาของแท่งเทียน ไม่ให้ใกล้เกินไปจนเกิด “การชน false” โดยง่าย - เป้าหมายทำกำไร (Take Profit): ควรตั้งเป้าที่ระดับ “ที่มีแรงต้าน” เช่น โซนอุปทานหรืออุปสงค์ฝั่งตรงข้ามตัวถัดไป
- หากซื้อที่ Demand Zone → เป้าหมายแรกคือ Supply Zone ถัดไป
- หากขายที่ Supply Zone → เป้าหมายแรกคือ Demand Zone ถัดไป
นอกจากนี้ คุณสามารถแบ่งการปิดออเดอร์เป็นขั้นบันได เช่น ปิด 50% ที่โซนถัดไป แล้วปล่อย 50% ไปยังโซนที่ไกลกว่าตามเทรนด์
จิตวิทยาเบื้องหลังของโซน: ทำไมจึงมีพลัง?
คำถามที่หลายคนสงสัยคือ ทำไมราคาถึงหยุดและกลับตัวที่บริเวณนั้น? คำตอบอยู่ที่ “คำสั่งที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม” (Unfilled Orders)
ผู้เล่นรายใหญ่มักซื้อขายในปริมาณมหาศาล แต่ถ้าส่งคำสั่งทั้งหมดในคราวเดียว ราคาก็จะกระโดดหรือดิ่งแบบรุนแรงทันที เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นี้ สถาบันจะ “กระจายคำสั่ง” ไว้ในบริเวณหนึ่ง ๆ ซึ่งก็คือ “ฐาน” ที่เราเห็น
โดยทั่วไป เมื่อพวกเขาต้องการจบแผน การเก็บหรือปล่อยออกจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาพุ่งขึ้นหรือดิ่งลงทันที แต่คำสั่งบางส่วนอาจยัง “ค้างอยู่” ในระบบ
เมื่อราระยะเวลารีเทสต์โซนเดิม อัลกอริทึมและระบบที่ตั้งไว้จะ “กระตุ้น” คำสั่งที่ค้างนั้นอีกครั้ง ทำให้เกิดแรงซื้อหรือแรงขายครั้งใหม่ ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ราคาเคลื่อนที่ต่อเนื่องในทิศทางเดิม นี่คือที่มาของ “พฤติกรรมซ้ำ” ของตลาด — และเป็นกลไกหลักที่ทำให้ จิตวิทยาตลาดและ Order Flow มีพลัง อย่างที่ BabyPips อธิบายว่า การอ่านคำสั่งคือหัวใจของกลยุทธ์นี้

3 ข้อผิดพลาดที่ต้องระวังเมื่อใช้โซน
การเทรดด้วยโซนอุปสงค์-อุปทานอาจได้ผลดี แต่ก็มีข้อผิดพลาดที่มือใหม่มักทำซ้ำ และทำให้ขาดทุนโดยไม่จำเป็น
1. เทรดสวนเทรนด์หลัก
การซื้อที่ Demand Zone ในตลาดขาลง หรือขายที่ Supply Zone ในตลาดขาขึ้น เป็นการเสี่ยงสูง ตามบทวิเคราะห์ของ FBS: Trend Trading vs Countertrend Trading ชี้ว่า กลยุทธ์ที่ “ตามเทรนด์” มักมีอัตราความสำเร็จและความเสี่ยงจัดการได้ดีกว่า
หากคุณเห็น Demand Zone ในเทรนด์ขาลง อย่ารีบซื้อ แต่ให้มองว่า Zone นั้นคือ “จุดขายน่าสนใจ” เมื่อมันถูกทำลายและกลายเป็น Supply Zone ใหม่
2. เทรดโซนที่ “ถูกใช้มาแล้ว” (Old Zone)
ทุกครั้งที่ราคาเข้ามาในโซน คำสั่งที่ค้างอยู่จะถูก “กิน” ไปเรื่อย ๆ ทำให้โซนนั้นอ่อนแอลง หลังจากถูกทดสอบ 2-3 ครั้ง โอกาสที่ราคาจะ “ทะลุ” ต่อไปมีสูง
ควรสนใจแต่ “โซนใหม่” (Fresh Zone) ที่ยังไม่เคยมีการรีเทสต์ เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีคำสั่งค้างอยู่จำนวนมาก
3. ไม่รอสัญญาณยืนยันก่อนเข้าเทรด
การเห็นราคาลงไปแตะ Demand Zone แล้วรีบนับว่า “เดี๋ยวมันต้องเด้ง” เป็นความเสี่ยง ราคาอาจ “ทะลุผ่าน” ได้ตลอดเวลา
รอให้เกิด “สัญญาณยืนยัน” จาก Price Action เช่น Pin Bar, Bullish Engulfing หรือเกิดการเด้งกลับที่ชัดเจน แล้วค่อยตัดสินใจ ซึ่งจะเพิ่ม อัตราชนะ (Win Rate) ให้กับคุณตามที่นักเทรดมืออาชีพเน้นย้ำ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ควรใช้ Timeframe ไหนในการหามหาโซน?
ใช้ได้ทุก Timeframe ตั้งแต่ 1 นาที ถึงรายเดือน กลยุทธ์ที่แนะนำคือการใช้ Timeframe ใหญ่ (เช่น H4, D1) วิเคราะห์แนวโน้มและหาโซนสำคัญ ก่อนขยับลงมาใช้ Timeframe เล็ก (เช่น M15, M30) เพื่อหาจังหวะเข้าเทรดที่เฉพาะเจาะจง
จะรู้ได้อย่างไรว่าโซนนั้น “แข็งแกร่ง”?
ประเมินจาก 3 ปัจจัย: 1) ความเร็วของราคาหลังออกจากโซน (ยิ่งดุเดือด ยิ่งแข็งแกร่ง) 2) ความแคบและระยะเวลาในการสร้าง “ฐาน” (ฐานเล็ก-ไวดีกว่าฐานใหญ่) 3) ความ “สด” ของโซน (ยิ่งยังไม่โดนรีเทสต์ ยิ่งน่าเชื่อถือ)
เมื่อราคา “ทะลุ” โซนไป หมายความว่าอย่างไร?
ถ้าราคาทะลุ Demand Zone ลงมา โซนนั้นมีแนวโน้มจะ “เปลี่ยนบทบาท” เป็น Supply Zone ใหม่ ในทางกลับกัน ถ้าทะลุ Supply Zone ขึ้นไป มันจะกลายเป็น Demand Zone ทันที — นี่คือสัญญาณของแรงโมเมนตัมและอาจเป็นจุดเปลี่ยนเทรนด์
ใช้กับตลาดอะไรได้บ้าง?
ได้ทุกตลาดที่มีการซื้อขายเสรี ไม่ว่าจะเป็น ฟอเร็กซ์, หุ้น, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี เพราะหลักการอุปสงค์-อุปทานเป็นพื้นฐานของทุกตลาด
ใช้อินดิเคเตอร์วาดโซนอัตโนมัติได้ไหม?
อินดิเคเตอร์สามารถใช้เป็น “เครื่องมือช่วย” แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง บางตัวอาศัยกฎตายตัวและอาจพลาดโซนคุณภาพสูง หรือให้สัญญาณเท็จ การเรียนรู้การวาดโซนด้วยตัวเอง แล้วใช้อินดิเคเตอร์เป็น ตัวยืนยัน จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
โซน “หมดอายุ” หลังถูกทดสอบกี่ครั้ง?
ไม่มีกฎตายตัว แต่โดยทั่วไป หลังถูกทดสอบ 2-3 ครั้ง โซนจะถือว่าอ่อนแอ และมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเปิดทาง ดังนั้นเทรดเดอร์มืออาชีพมักเน้นแต่ “การรีเทสต์ครั้งแรก” เท่านั้น
ถ้าโซนทับซ้อนกันหลายอัน ควรเลือกอันไหน?
ให้ดู “ระดับสำคัญ” จากระดับ Timeframe ใหญ่ก่อน เช่น โซนจากกราฟรายวันมีน้ำหนักมากกว่ารายชั่วโมง นอกจากนี้ ให้พิจารณาโซนที่มีการเคลื่อนไหวราคาแรงที่สุด ซึ่งบ่งบอกถึงความเข้มข้นของคำสั่งมากที่สุด
Supply and Demand Zone กับ Order Block ต่างกันไหม?
ใกล้เคียงกันมาก Order Block มักหมายถึง “แท่งสุดท้ายก่อนการกลับตัว” หรือ “แท่งขาลงก่อนพุ่งขึ้น” ซึ่งแท่งนั้นก็คือ “ส่วนหนึ่ง” หรือทั้งหมดของ “ฐาน” ในโครงสร้าง Supply and Demand Zone นั่นเอง ทั้งสองแนวทางพยายามอธิบายสิ่งเดียวกัน: ร่องรอยของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด