การเริ่มต้นการลงทุนหุ้นกู้ที่ทุกคนควรรู้
หุ้นกู้คืออะไร นับเป็นคำถามที่หลายคนสงสัยในวงการการลงทุนไทย เพราะหุ้นกู้เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนดี แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องเข้าใจ
ลองนึกภาพว่าเราให้เพื่อนยืมเงิน 100,000 บาท โดยเขาสัญญาจะจ่ายดอกเบี้ยให้เรา 5% ต่อปี และจะคืนเงินต้น 100,000 บาท ในอีก 3 ปี นั่นคือแนวคิดพื้นฐานของหุ้นกู้นั่นเอง
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจหุ้นกู้ตั้งแต่ A-Z ครอบคลุมทุกอย่างที่คุณต้องรู้ก่อนลงทุนในหุ้นกู้
ทำความรู้จักหุ้นกู้ เริ่มจากพื้นฐาน
หุ้นกู้คืออะไร กันแน่?
หุ้นกู้คืออะไร เรียบง่าย ๆ คือการที่เรากลายเป็น “เจ้าหนี้” ของบริษัท เมื่อเราซื้อหุ้นกู้ เราจะได้รับสิทธิ์ในการได้รับดอกเบี้ยเป็นประจำ และได้เงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด
องค์ประกอบสำคัญของหุ้นกู้มี 3 ตัวหลัก:
- มูลค่าที่ตราไว้ (Par Value): จำนวนเงินต้นที่บริษัทจะจ่ายคืน
- อัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ (Coupon Rate): อัตราดอกเบี้ยที่เราจะได้รับ
- วันครบกำหนดไถ่ถอน (Maturity Date): วันที่บริษัทจะจ่ายเงินต้นคืน
ต่างจากหุ้นสามัญที่เราเป็น “เจ้าของ” บริษัท การลงทุนหุ้นกู้ทำให้เราเป็น “เจ้าหนี้” แทน
ทำไมบริษัทถึงออกหุ้นกู้?
บริษัทออกหุ้นกู้เพื่อ การระดมทุน สำหรับขยายธุรกิจ ลงทุนในโครงการใหม่ หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้
การออกหุ้นกู้เป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีกว่าการกูยืมเงินจากธนาคาร เพราะอาจได้อัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า และมีข้อจำกัดน้อยกว่า
นักลงทุนได้อะไรจากหุ้นกู้?
เมื่อเราลงทุนในหุ้นกู้ เราจะได้:
- รายได้แบบ Passive: ดอกเบี้ยที่จ่ายเป็นประจำ (ส่วนใหญ่ทุก 6 เดือน)
- เงินต้นคืน: เมื่อครบกำหนด
- ความมั่นคงมากกว่าหุ้น: เพราะมีสิทธิ์เรียกร้องที่สูงกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ
เปรียบเทียบการลงทุน: หุ้นกู้ vs หุ้น vs เงินฝาก
เกณฑ์การเปรียบเทียบ
|
หุ้นกู้
|
หุ้นสามัญ
|
เงินฝากธนาคาร
|
---|
ผลตอบแทน
|
ปานกลาง (3-8%)
|
สูง (แต่ไม่แน่นอน)
|
ต่ำ (0.5-2%)
|
---|
ความเสี่ยง
|
ปานกลาง-สูง
|
สูง
|
ต่ำ
|
---|
สภาพคล่อง
|
ปานกลาง
|
สูง
|
สูง
|
---|
ภาษี
|
หัก ณ ที่จ่าย 15%
|
หัก ณ ที่จ่าย 10%
|
หัก ณ ที่จ่าย 15%
|
---|
การคุ้มครอง
|
ไม่มี
|
ไม่มี
|
DPA 1 ล้าน
|
---|
หุ้นกู้ vs หุ้น ความแตกต่างหลักคือ หุ้นกู้ให้ผลตอบแทนคงที่ แต่หุ้นอาจได้มากกว่า (หรือขาดทุน) ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ
นอกจากนี้ หุ้นกู้ยังให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากธนาคารและพันธบัตรรัฐบาล โดยมีความเสี่ยงที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลเล็กน้อย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนี้ถือเป็นการชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ประเภทของหุ้นกู้ที่ควรรู้
แบ่งตามสิทธิเรียกร้อง
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ (Senior Bonds) เป็นหุ้นกู้ที่มีสิทธิเรียกร้องสูงกว่าหุ้นสามัญและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ หากบริษัทล้มละลาย นักลงทุนหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิจะได้รับเงินก่อน
- มี สิทธิเรียกร้อง สูงสุดเมื่อบริษัทล้มละลาย
- อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า เพราะความเสี่ยงต่ำ
หุ้นกู้ด้อยสิทธิ (Subordinated Bonds) มีสิทธิเรียกร้องต่ำกว่าหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ แต่มักให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
- มีสิทธิเรียกร้องรองลงมา
- อัตราดอกเบี้ยสูงกว่า เพราะความเสี่ยงสูง
แบ่งตามการมีประกัน
หุ้นกู้มีประกัน (Secured Bonds) มีหลักประกันเป็นทรัพย์สินของบริษัท เช่น ที่ดิน อาคาร หรือเครื่องจักร ทำให้มีความเสี่ยงต่ำกว่า
- มี หลักประกัน เฉพาะ เช่น ที่ดิน อาคาร
- ความเสี่ยงต่ำกว่า
หุ้นกู้ไม่มีประกัน (Unsecured Bonds) ไม่มีหลักประกันใดๆ นักลงทุนต้องพึ่งพาความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทเพียงอย่างเดียว
- ไม่มีหลักประกัน ถือแต่ความน่าเชื่อถือของบริษัท
- ความเสี่ยงสูงกว่า
แบ่งตามการจ่ายดอกเบี้ย
หุ้นกู้ดอกเบี้ยคงที่ (Fixed-Rate Bonds) จ่ายดอกเบี้ยในอัตราคงที่ตลอดอายุหุ้นกู้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความแน่นอน
- อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดอายุ
- เหมาะกับคนที่ต้องการความแน่นอน
หุ้นกู้ดอกเบี้ยลอยตัว (Floating-Rate Bonds) อัตราดอกเบี้ยปรับตามอัตราอ้างอิง เช่น MLR หรือ THOR ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย
- อัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนตามอัตราอ้างอิง
- ป้องกันความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยได้
หุ้นกู้ไม่มีดอกเบี้ย (Zero-Coupon Bonds) ไม่จ่ายดอกเบี้ยระหว่างทาง แต่ขายในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ตราไว้ และไถ่ถอนที่มูลค่าเต็ม
- ซื้อในราคาต่ำกว่า Par Value
- ได้กำไรจากส่วนต่างราคา
แบ่งตามเงื่อนไขพิเศษ
หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Bonds) นักลงทุนสามารถแปลงเป็นหุ้นสามัญได้ในเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการโอกาสในการเติบโต
- สามารถแปลงเป็นหุ้นสามัญได้
- ได้ทั้งดอกเบี้ยและโอกาสกำไรจากหุ้น
หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ (Perpetual Bonds) ไม่มีวันครบกำหนด จ่ายดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ มักออกโดยธนาคารเพื่อเสริมเงินทุนชั้นที่ 1
- ไม่มีวันครบกำหนด
- จ่ายดอกเบี้ยตลอดไป
เลือกหุ้นกู้แบบไหนดี?
โปรไฟล์นักลงทุน แบบต่าง ๆ ควรเลือกหุ้นกู้ดังนี้:
โปรไฟล์นักลงทุนอนุรักษ์นิยม (Conservative Saver): เลือกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ มีประกัน และมีอันดับความน่าเชื่อถือสูง (AA ขึ้นไป)
โปรไฟล์นักลงทุนแสวงหาผลตอบแทนสมดุล (Balanced Income Seeker): พิจารณาหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือปานกลาง (A ถึง BBB)
โปรไฟล์นักลงทุนแสวงหาผลตอบแทนสูง (Aggressive Yield Hunter): อาจลองหุ้นกู้ด้อยสิทธิ หรือหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่า BBB แต่ต้องกระจายความเสี่ยง
การประเมินความเสี่ยง: อันดับความน่าเชื่อถือและกรณีศึกษาที่สำคัญ
ทำความเข้าใจอันดับความน่าเชื่อถือ
อันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยประเมินความเสี่ยงของหุ้นกู้ ในไทยมีบริษัทจัดอันดับเครดิตหลักคือ TRIS Rating และ Fitch Ratings
แนวโน้มอันดับเครดิต (Rating Outlook) ก็สำคัญไม่แพ้กัน มี 3 แบบ:
- Stable: อันดับเครดิตคงที่
- Positive: อาจปรับขึ้น
- Negative: อาจปรับลง
ตารางอันดับเครดิตที่ควรรู้
อันดับเครดิต
|
ความหมาย
|
ระดับความเสี่ยงหุ้นกู้
|
---|
AAA
|
คุณภาพสูงสุด
|
ต่ำมาก
|
---|
AA
|
คุณภาพสูง
|
ต่ำ
|
---|
A
|
คุณภาพดี
|
ปานกลาง
|
---|
BBB
|
คุณภาพพอใช้
|
ปานกลาง
|
---|
BB
|
คุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์
|
สูง
|
---|
B
|
คุณภาพต่ำ
|
สูงมาก
|
---|
CCC/CC/C
|
คุณภาพต่ำมาก
|
สูงมาก
|
---|
D
|
ผิดนัดชำระหนี้
|
สูงสุด
|
---|
ความเสี่ยงหุ้นกู้ที่ต้องระวัง
ความเสี่ยงหุ้นกู้ มี 4 ประเภทหลัก:
1. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk)
- ความเสี่ยงที่บริษัทไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยหรือคืนเงินต้นได้
- เป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่สุด
2. ความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk)
- เมื่ออัตราดอกเบี้ยตลาดขึ้น ราคาหุ้นกู้จะลง
- ส่งผลกระทบต่อการขายในตลาดรอง
3. ความเสี่ยงสภาพคล่อง (Liquidity Risk)
- ความยากในการซื้อขายหุ้นกู้
- อาจต้องขายในราคาที่ไม่ดี
4. ความเสี่ยงเงินเฟ้อ (Inflation Risk)
- เมื่อเงินเฟ้อสูง ผลตอบแทนจริงจะลดลง
กรณีศึกษา: เมื่อหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้
หุ้นกู้ JKN ผิดนัดชำระหนี้ เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญในตลาดไทย
JKN Global Media ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ในปี 2565 มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากปัญหาสภาพคล่องและการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามคาด
หุ้นกู้ ITD ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจ Italian-Thai Development ประสบปัญหาทางการเงินและต้องเจรจาปรับโครงสร้างหนี้
ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ เป็นกลไกสำคัญที่ ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จะเรียกเมื่อเกิดปัญหา เพื่อให้ผู้ถือหุ้นกู้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
บทเรียนจากกรณีเหล่านี้:
- การกระจายความเสี่ยง สำคัญมาก
- ต้องอ่าน หนังสือชี้ชวน ให้ละเอียด
- เลือกบริษัทที่มีอันดับเครดิตดี
- ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ
วิธีซื้อหุ้นกู้ในประเทศไทย
ตลาดแรก vs ตลาดรอง
ตลาดแรก (Primary Market)
- ซื้อหุ้นกู้ใหม่ที่เพิ่งออกจำหน่าย
- ได้ราคา Par Value
- ต้องจองล่วงหน้า
ตลาดรอง (Secondary Market)
- ซื้อขายหุ้นกู้ที่มีอยู่แล้ว
- ราคาขึ้นลงตามอุปสงค์-อุปทาน
- หุ้นกู้ตลาดรอง มีสภาพคล่องน้อย
ซื้อหุ้นกู้ SCB EASY แบบง่าย ๆ
วิธีซื้อหุ้นกู้ ผ่าน SCB EASY:
- เปิดแอป SCB EASY
- เลือก “การลงทุน”
- คลิค “ตราสารหนี้”
- เลือกหุ้นกู้ที่ต้องการ
- ระบุจำนวนเงิน
- ยืนยันการซื้อ
แอป K-My Invest ก็ใช้ขั้นตอนคล้าย ๆ กัน
โดยทั่วไปแล้ว การลงทุนในหุ้นกู้มีขั้นตอนพื้นฐานดังนี้: เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ศึกษาข้อมูลหุ้นกู้ที่สนใจจากหนังสือชี้ชวนหรือสรุปข้อมูลสำคัญ ดำเนินการจองซื้อ รับหลักฐานการซื้อ และรับดอกเบี้ยตามงวดที่กำหนด รวมถึงเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดอายุหุ้นกู้
หุ้นกู้ซื้อขั้นต่ำเท่าไหร่?
หุ้นกู้ซื้อขั้นต่ำ แตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่น:
- หุ้นกู้รัฐบาล: 1,000 บาท
- หุ้นกู้เอกชน: 10,000-100,000 บาท
- หุ้นกู้ high yield: 100,000-1,000,000 บาท
ปฏิทินหุ้นกู้ออกใหม่
ปฏิทินหุ้นกู้ออกใหม่ สามารถติดตามได้ที่:
- เว็บไซต์ ThaiBMA (www.thaibma.or.th)
- แอปของธนาคารต่าง ๆ
- เว็บไซต์ SET
หุ้นกู้ออกใหม่ ที่น่าสนใจมักจะหมดเร็ว โดยเฉพาะอันดับเครดิตดี อัตราดอกเบี้ยสูง
หัวข้อขั้นสูงและระบบนิเวศน์ของตลาดหุ้นกู้
กองทุนรวมตราสารหนี้ vs การลงทุนหุ้นกู้โดยตรง
กองทุนรวมตราสารหนี้ เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ไม่อยากเลือกหุ้นกู้เอง
ข้อดีของกองทุนหุ้นกู้:
- มีผู้จัดการกองทุนคอยดูแล
- การกระจายความเสี่ยงดีกว่า
- ลงทุนขั้นต่ำต่ำ
ข้อดีของลงทุนตรงหุ้นกู้:
- ควบคุมการลงทุนเองได้
- ไม่เสียค่าธรรมเนียมการจัดการ
- รู้ว่าลงทุนในบริษัทไหน
หุ้นกู้คราวด์ฟันดิง: โอกาสและความเสี่ยง
หุ้นกู้คราวด์ฟันดิง เป็นเทรนด์ใหม่ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ หุ้นกู้ SME ที่ให้ผลตอบแทนสูง
ลักษณะเด่น:
- ลงทุนขั้นต่ำ (1,000-10,000 บาท)
- อายุสั้น (1-3 ปี)
- ผลตอบแทนสูง (7-15%)
ข้อควรระวัง:
- ความเสี่ยงสูงมาก
- ต้องตรวจสอบ Funding Portal ที่ได้รับอนุญาตจากก.ล.ต.
- ไม่มีการซื้อขายในตลาดรอง
การคุ้มครองนักลงทุน
ก.ล.ต. (SEC) เป็นหน่วยงานหลักที่กำกับดูแลตลาดหุ้นกู้
ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ มีหน้าที่:
- ดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นกู้
- ติดตามการดำเนินงานของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้
- เรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้เมื่อจำเป็น
ThaiBMA จัดทำข้อมูลราคาและผลตอบแทนหุ้นกู้
ภาษีหุ้นกู้ที่ต้องรู้
ภาษีหุ้นกู้ คิดจากดอกเบี้ยที่ได้รับ:
- หัก ณ ที่จ่าย 15% จากดอกเบี้ย
- สามารถ ขอคืนภาษี ได้ถ้าไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี
- กำไรจากการขายหุ้นกู้ไม่ต้องเสียภาษี (สำหรับบุคคลธรรมดา)
สรุปหุ้นกู้และการเริ่มต้นลงทุน
สรุปหุ้นกู้ เป็นเครื่องมือลงทุนที่ดีสำหรับสร้างรายได้ประจำและการกระจายความเสี่ยง แต่ต้องเข้าใจความเสี่ยงและทำการบ้านให้ดี
เริ่มต้นลงทุนหุ้นกู้ ควรทำดังนี้:
- ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นให้ดี
- เริ่มจากหุ้นกู้อันดับเครดิตดี
- กระจายการลงทุนในหลาย ๆ รุ่น
- ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ
- ปรับ portfolio ตามสถานการณ์
จำไว้ว่าการลงทุนต้องใช้เงินที่เหลือจากค่าใช้จ่ายและเงินสำรองเท่านั้น การลงทุนหุ้นกู้ถึงจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
หากคุณพร้อมแล้ว ลองเริ่มศึกษาหุ้นกู้ที่กำลังจะออกใหม่ในเว็บไซต์ ThaiBMA หรือเปิดแอปธนาคารของคุณเพื่อดูโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ
การลงทุนหุ้นกู้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความรู้และความระมัดระวัง เมื่อคุณเข้าใจหลักการแล้ว หุ้นกู้จะเป็นเครื่องมือที่ดีในการสร้างรายได้พาสซีฟและเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับคุณ
อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง และผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นการรับประกันผลตอบแทนในอนาคต ควรปรึกษาที่ปรึกษาการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน
ก่อนซื้อหุ้นกู้ อย่าลืมตรวจสอบ อันดับความน่าเชื่อถือจาก ก.ล.ต. เพื่อประเมินความเสี่ยงให้เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
หุ้นกู้ปลอดภัยไหม?
หุ้นกู้ปลอดภัยไหม ขึ้นอยู่กับอันดับเครดิตของบริษัทผู้ออก หุ้นกู้อันดับ AAA ถือว่าปลอดภัย แต่หุ้นกู้อันดับต่ำ ๆ มีความเสี่ยงสูง
เสียเงินหมดได้ไหม?
ในกรณีที่บริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นกู้อาจได้เงินคืนไม่ครบ แต่จะได้รับก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ
อัตราดอกเบี้ยเท่าไหร่ถือว่าดี?
ขึ้นอยู่กับสภาพตลาด โดยทั่วไปหุ้นกู้ควรให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล 1-3%
หุ้นกู้ไม่มีอันดับเครดิตแปลว่าอะไร?
หุ้นกู้ไม่มีอันดับเครดิต หมายถึงไม่ได้รับการจัดอันดับจากบริษัทจัดอันดับเครดิต อาจเป็นเพราะบริษัทเล็ก หรือไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่าย ควรระวังเป็นพิเศษ
ต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะเริ่มลงทุนได้?
เริ่มต้นได้ตั้งแต่ 10,000 บาท แต่ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 6 เดือนก่อน
ทำไมหุ้นกู้ดี ๆ หมดเร็ว?
หุ้นกู้ซื้อยากไหม ใช่ครับ โดยเฉพาะหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตดี อัตราดอกเบี้ยสูง มักจะหมดภายในวันแรก
ควรลงทุนเท่าไหร่ในหุ้นกู้?
แนะนำไม่เกิน 20-30% ของ portfolio เพื่อการกระจายความเสี่ยง
ขายก่อนครบกำหนดได้ไหม?
ขายได้ในตลาดรอง แต่อาจได้ราคาไม่ดีถ้าสภาพคล่องต่ำ