สำหรับนักเทรดที่ต้องการได้เปรียบในตลาด การเข้าใจรูปแบบกราฟที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคาถือเป็นกุญแจสำคัญ หนึ่งในรูปแบบที่ทรงพลังแต่ยังถูกมองข้ามอยู่บ่อยครั้งก็คือ QM Pattern หรือที่รู้จักกันในชื่อ Quasimodo Pattern ซึ่งไม่ใช่เพียงสัญญาณการกลับตัวธรรมดา แต่ช่วยชี้ให้เห็นถึงช่วงเวลาที่ตลาด “หลอกล่อ” นักลงทุนรายย่อยด้วยการหลุดแนวรับแนวต้านก่อนจะกลับตัวอย่างรุนแรง
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกมุมของ QM Pattern ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน วิธีการเทรดแบบระบบที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที การเปรียบเทียบกับรูปแบบคลาสสิกอย่าง Head and Shoulders ไปจนถึงจุดผิดพลาดที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ทำโดยไม่รู้ตัว เพื่อให้คุณสามารถเพิ่มอัตราการชนะ (Win Rate) และตัดสินใจเทรดได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

QM Pattern คืออะไร? เข้าใจรูปแบบ Quasimodo อย่างลึกซึ้ง
QM Pattern หรือ Quasimodo Pattern เป็นรูปแบบการกลับตัวของราคา (Reversal Pattern) ที่เกิดขึ้นเมื่อตลาดแสดงสัญญาณ “ล่า Stop Loss” โดยสร้างการทะลุ (Breakout) เท็จเพื่อดึงให้เทรดเดอร์ตำแหน่งก่อนจะพลิกกลับทิศทางอย่างรุนแรง ชื่อ “Quasimodo” ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวละครในวรรณกรรมคนค่อมนอเทรอดาม ผู้มีบุคลิกหลังโก่งและไหล่ข้างหนึ่งสูงกว่าอีกข้าง ซึ่งสะท้อนลักษณะไม่สมมาตรของรูปแบบนี้ได้อย่างตรงไปตรงมา
สิ่งที่ทำให้ QM Pattern มีความแม่นยำสูงกว่ารูปแบบการกลับตัวทั่วไปก็คือความสามารถในการตรวจจับ “จุดเปลี่ยนถ่ายกำลัง” ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยเฉพาะเมื่อราคากำลังทำจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดใหม่ และเกิดการทำลายโครงสร้างแนวโน้มเดิม (Break of Structure) ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดมืออาชีพสังเกตอยู่เสมอ
โครงสร้างของ QM Pattern: กระทิงและหมี
QM Pattern มีอยู่สองรูปแบบหลักที่ตรงข้ามกัน: หนึ่งสำหรับแนวโน้มขาลง (Bearish) และอีกหนึ่งสำหรับแนวโน้มขาขึ้น (Bullish) การเข้าใจลำดับของราคาในแต่ละรูปแบบจะช่วยให้คุณแยกแยะสัญญาณได้อย่างแม่นยำ
Bearish QM Pattern (สัญญาณขาย)
รูปแบบนี้เกิดที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น และบ่งชี้ว่าแรงซื้อเริ่มอ่อนแรงลงจนมีความเป็นไปได้สูงที่ราคาจะกลับตัวลง ลำดับการเกิดมีดังนี้:
- Higher High (HH): ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งยังคงยืนยันแนวโน้มขาขึ้นในช่วงแรก
- Lower Low (LL): หลังจากนั้น ราคากลับตัวลงอย่างรวดเร็วและทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าชุดก่อนหน้า ส่งสัญญาณการ “ทำลายโครงสร้าง” แนวโน้มเดิม
- Lower High (LH): ราคาดีดตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่สามารถกลับไปถึงระดับก่อนหน้าได้ ทำให้เกิดจุดสูงสุดที่ต่ำลง บริเวณนี้คือจุดที่ควรเริ่มพิจารณาเปิดสถานะขาย
โครงสร้างนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ขายกำลังได้เปรียบ หลังจากที่ดึงราคาลงมาแล้ว ไม่มีแรงซื้อเพียงพอในการฟื้นขึ้นไป ซึ่งเป็นลักษณะการกลับตัวที่มีความน่าเชื่อถือสูง
Bullish QM Pattern (สัญญาณซื้อ)
ตรงกันข้ามกับรูปแบบด้านบน รูปแบบนี้เกิดในช่วงท้ายแนวโน้มขาลง และสื่อถึงกำลังซื้อที่หวนกลับมาในตลาด ลำดับการเกิดมีดังนี้:
- Lower Low (LL): ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ในแนวโน้มขาลง
- Higher High (HH): ต่อมาราคาดีดตัวกลับขึ้นและทะลุระดับก่อนหน้า สร้างจุดสูงสุดใหม่ ส่งสัญญาณ Break of Structure ในฝั่งบวก
- Higher Low (HL): หลังดีดตัวขึ้น ราคาได้ย่อตัวลงอีกครั้ง แต่ไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้ แสดงถึงแรงซื้อที่ยังคงมีอยู่ โดยจุด HL นี้คือพื้นที่ที่ควรพิจารณาเข้าสถานะซื้อ
ทั้งสองรูปแบบสะท้อนพฤติกรรมตลาดที่ “หลอกล่อ” ผู้เล่นรายย่อยแล้วกลับทิศ โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้ขายหรือผู้ซื้อใช้จังหวะ False Breakout เพื่อเก็บคำสั่ง Stop Loss ก่อนเข้าสู่เทรนด์ใหม่

วิธีเทรด QM Pattern: จุดเข้า จุดตัดขาดทุน และจุดทำกำไร
การใช้ QM Pattern ไม่ได้เกี่ยวกับแค่การระบุรูปแบบ แต่เป็นการวางแผนการเทรดอย่างมีวินัย โดยเริ่มตั้งแต่การรอให้รูปแบบสมบูรณ์ก่อน แล้วจึงดำเนินการตามแผนที่ชัดเจน
1. จุดเข้า (Entry)
จุดที่ดีที่สุดในการเข้าเทรดคือบริเวณ QML (Quasimodo Level) หรือระดับราคาของ “ไหล่ซ้าย” ของรูปแบบ สำหรับ Bearish QM คือจุดสูงก่อนหน้าที่เกิด HH อีกครั้ง ส่วนใน Bullish QM คือจุดต่ำก่อนหน้าที่เกิด LL
กลยุทธ์คือ รอให้ราคาเคลื่อนถึงจุดที่ 3 (LH หรือ HL) จากนั้นกลับตัวและมา “ทดสอบ” QML อีกครั้ง เมื่อมีการปฏิเสธราคาที่บริเวณนี้ (Rejection) ไม่ว่าจะเป็นจากแท่งเทียนแบบ Pin Bar, Bearish Engulfing หรือ Bullish Engulfing ก็ถือเป็นสัญญาณเสริมที่ดีในการเปิดออเดอร์
2. จุดตัดขาดทุน (Stop Loss)
การจัดการความเสี่ยงคือหัวใจสำคัญ โดยตั้ง Stop Loss ดังนี้:
- Bearish QM: ตั้ง Stop Loss ไว้เหนือจุด Lower High (LH) เล็กน้อย ประมาณ 5–10 จุด แล้วแต่ Timeframe
- Bullish QM: ตั้ง Stop Loss ไว้ใต้จุด Higher Low (HL) เล็กน้อย เพื่อป้องกันการสูญเสียหากตลาดพลิกตัว
การตั้งจุดนี้ให้เหมาะสมช่วยจำกัดความเสียหายหากสมมุติฐานผิด และยังปกป้องบัญชีจากการสูญเสียครั้งใหญ่
3. จุดทำกำไร (Take Profit)
เป้าหมายการทำกำไรควรมีความยืดหยุ่นและขึ้นอยู่กับบริบทของตลาด
- เป้าหมายที่ 1: ใช้จุดต่ำสุดล่าสุดในรูปแบบ เช่น จาก Bearish QM ดูที่ระดับ LL หรือระดับสนับสนุนก่อนหน้า
- เป้าหมายที่ 2: ใช้เครื่องมือเช่น Fibonacci Extension หรือแนวโน้มรอง (Trend Channel) เพื่อกำหนดเป้าหมายระยะไกล
- กลยุทธ์ Trailing Stop: สำหรับผู้ที่ต้องการให้กำไรวิ่ง แนะนำให้เลื่อน Stop Loss ตามแนว Swing High/Low ขณะที่เทรนด์ใหม่เดินหน้า
การมีแผนที่ครอบคลุมทั้ง Entry, Stop Loss และ Take Profit เป็นรากฐานสำคัญของระบบรับผลตอบแทนที่เสถียรตามหลักการของ การวิเคราะห์ทางเทคนิค

ความแตกต่างระหว่าง QM Pattern กับ Head and Shoulders
แม้ว่า QM Pattern และ Head and Shoulders จะดูคล้ายกันในแง่ของ “รูปแบบการกลับตัว” แต่ทั้งสองมีความแตกต่างอย่างชัดเจนทั้งในโครงสร้างและการตีความของตลาด
| ลักษณะ | QM Pattern | Head and Shoulders Pattern |
|---|
| โครงสร้าง | ไม่สมมาตร ไหล่ซ้ายและขวาห่างกันในระดับราคา | สมมาตรมากกว่า ไหล่ทั้งสองข้างอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน |
| ลำดับการเกิด (Bearish) | สูง → สูงขึ้นอีก → ต่ำลง → สูงแต่ต่ำกว่าเดิม | ไหล่ซ้าย → จุดยอด (หัว) → ไหล่ขวา (ไม่มีการทำ LL) |
| สัญญาณการเทรด | เกิดหลังทำลายโครงสร้าง (Lower Low) | รอให้ราคาหลุด Neckline ลงมา |
| ความหมายเชิงพฤติกรรม | ตลาด “หลอกล่อ” ก่อนกลับตัวทันที | แนวโน้มเริ่มอ่อนตัวอย่างช้าๆ |
จากตารางจะเห็นได้ว่า QM Pattern ให้สัญญาณเร็วกว่า เนื่องจากใช้การ “ทำลายโครงสร้าง” เป็นตัวยืนยัน ในขณะที่ Head and Shoulders ต้องรอจนกว่าจะทะลุ Neckline กลับทำให้จุดเข้ามักช้ากว่า แต่วางอยู่บนรากฐานของทฤษฎีคลาสสิก การเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้คุณเลือกใช้รูปแบบให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์

3 ข้อผิดพลาดที่เทรดเดอร์มักทำเมื่อใช้ QM Pattern
แม้ QM Pattern จะมีศักยภาพสูง แต่นักเทรดมือใหม่มักพลาดจากการขาดวินัยหรือมองข้ามบริบทกว้างๆ ต่อไปนี้คือข้อผิดพลาดที่น่าระวัง
1. เข้าเทรดก่อนรูปแบบสมบูรณ์
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดคือการเริ่มเปิดออเดอร์ทันทีที่เห็นจุดสูงหรือต่ำใหม่ โดยไม่รอให้มีการ “ทำลายโครงสร้าง” เช่น ยังไม่เกิด Lower Low ใน Bearish QM ก็เข้าเทรดไปก่อน ทั้งที่ความจริง จุดนี้ยังเป็นเพียงการย่อตัวธรรมดาในแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งอาจทำให้คุณติดกับดักของตลาดได้ จงย้ำกับตัวเองว่า “ไม่มี LL ก็ไม่ใช่ QM“
2. มองข้ามแนวโน้มใน Timeframe ใหญ่กว่า
การพยายามใช้ Bearish QM เพื่อต่อต้านเทรนด์ขาขึ้นในกราฟ Daily หรือ Weekly โดยไม่สังเกตภาพรวมของแรงซื้อ ถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น QM Pattern มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อปรากฏในบริบทที่ “แนวโน้มเริ่มหมดแรง” หรือ “กำลังเตรียมย้อนกลับ” ไม่ใช่เมื่อมันกำลังเดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง

การพยายามใช้ Bearish QM เพื่อต่อต้านเทรนด์ขาขึ้นในกราฟ Daily หรือ Weekly โดยไม่สังเกตภาพรวมของแรงซื้อ ถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น QM Pattern มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อปรากฏในบริบทที่ “แนวโน้มเริ่มหมดแรง” หรือ “กำลังเตรียมย้อนกลับ” ไม่ใช่เมื่อมันกำลังเดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง
3. ไม่รอให้ราคากลับมาทดสอบ QML
ความกลัวว่าจะตกรถ (FOMO) ทำให้หลายรายรีบเข้าเทรดทันทีที่เห็นจุดหลังจาก LH หรือ HL โดยไม่รอให้ราคา “ย้อนกลับมาที่ QML” เพื่อทดสอบ ซึ่งส่งผลให้จุดเข้าไม่ดี อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk/Reward) ต่ำ และถูกตั้งอยู่บนอารมณ์มากกว่าเหตุผล โดย OANDA ได้เตือนว่า FOMO เป็นหนึ่งในกับดักทางจิตวิทยาที่พบบ่อยที่สุดของนักเทรด และแนะนำให้ตั้ง Stop Loss และ Take Profit ล่วงหน้าเพื่อควบคุมอารมณ์ไม่ให้เข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
QM Pattern ใช้ได้กับทุก Timeframe หรือไม่?
ใช่ รูปแบบนี้สามารถใช้ได้กับทุก Timeframe ตั้งแต่ 1 นาทีไปจนถึงรายสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม รูปแบบที่เกิดใน Timeframe ใหญ่จะมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากกว่า
QML (Quasimodo Level) คืออะไร และสำคัญอย่างไร?
QML คือระดับราคาของ “ไหล่ซ้าย” ของรูปแบบ เป็นโซนแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยให้จุดเข้ามีความแม่นยำและมีความเสี่ยงต่ำ
ความแตกต่างสำคัญที่สุดระหว่าง QM กับ Head and Shoulders คืออะไร?
ข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดคือลำดับของการเกิด ใน Bearish QM จะมีการสร้าง Lower Low (LL) ก่อนที่จะเกิด Lower High (LH) ในขณะที่ Head and Shoulders ไม่มีการทำ LL
เราสามารถยืนยันสัญญาณด้วยอินดิเคเตอร์เพิ่มเติมได้หรือไม่?
ได้แน่นอน เช่น การเกิด Divergence บน RSI หรือ MACD ที่จุดไหล่ขวา (LH หรือ HL) จะช่วยยืนยันสัญญาณการกลับตัวได้อย่างมีน้ำหนักเพิ่มเติม
QM Pattern มีอัตราส่วน Risk/Reward ดีหรือไม่?
โดยทั่วไป ดีมาก เพราะจุดเข้าที่ QML และ Stop Loss อยู่ใกล้กัน ขณะที่ Take Profit สามารถไปได้ไกล ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการวางแผนเทรดที่ยั่งยืนตามแนวคิดของ
Bullish QM กับ Bearish QM ต่างกันอย่างไร?
Bullish QM เป็นรูปแบบกลับตัวขาขึ้น เกิดในแนวโน้มขาลง ส่วน Bearish QM เป็นรูปแบบกลับตัวขาลง เกิดในแนวโน้มขาขึ้น มีโครงสร้างกลับด้านกัน
หากไม่เกิดการกลับมาทดสอบ QML ควรทำอย่างไร?
ควรปล่อยผ่านและไม่ตามราคาเด็ดขาด จุดแข็งของการใช้ QM คือการมีวินัย ไม่ใช่การไล่ตามโอกาสทุกครั้ง
QM Pattern เกิดได้ในตลาดใดบ้าง?
เกิดได้ทุกตลาดที่มีสภาพคล่องและเกิดจากพฤติกรรมของราคา (Price Action) ไม่ว่าจะเป็น Forex, หุ้น, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี