การลงทุนในตลาดหุ้น คริปโตหรือ Forex ไม่ต่างจากการล่องเรือในมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยโอกาสและภัยคุกคามในเวลาเดียวกัน นักลงทุนมือใหม่จำนวนมากให้ความสนใจแค่กำไรที่อาจเกิดขึ้น แต่ลืมนึกถึงความเสี่ยงที่อาจทำลายพอร์ตได้ในชั่วข้ามคืน

เกราะป้องกันพอร์ตที่นักลงทุนทุกคนต้องมี
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนรอดพ้นจากเหตุการณ์ที่เลวร้ายคือ Stop Loss หรือ “คำสั่งหยุดขาดทุน” ซึ่งไม่เพียงเป็นเครื่องมือทางการเงิน แต่เป็นปรัชญาพื้นฐานของการบริหารความเสี่ยงที่นักลงทุนระดับโลกต่างใช้เป็นพื้นฐานในการเทรดทุกครั้ง
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจ Stop Loss อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน ความสำคัญ และวิธีตั้งอย่างชาญฉลาดด้วยเทคนิคขั้นสูงจากมืออาชีพ พร้อมเจาะข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เพื่อให้คุณเดินบนเส้นทางการลงทุนได้อย่างมั่นคง
Stop Loss คืออะไร? นิยามในภาษาที่เข้าใจง่าย
Stop Loss หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า SL คือคำสั่งที่คุณตั้งไว้กับโบรกเกอร์ เพื่อขายสินทรัพย์ของคุณแบบอัตโนมัติ เมื่อราคาลดลงถึงระดับที่คุณกำหนดไว้ล่วงหน้า
คิดง่าย ๆ ว่ามันคือ “เบาะลมนิรภัยสำหรับนักลงทุน” สมมติว่าคุณซื้อหุ้นบริษัท XYZ ในราคา 100 บาท และคุณตั้งจุด Stop Loss ไว้ที่ 90 บาท หากหุ้นนี้ตกลงเหลือ 90 บาท ระบบจะสั่งขายให้อัตโนมัติ โดยที่คุณไม่ต้องอยู่หน้าจอ ซึ่งหมายความว่าคุณจะขาดทุนสูงสุดเพียง 10 บาทต่อหุ้น แม้ว่าราคาจะร่วงต่ำลงไปถึง 70 หรือ 50 บาทก็ตาม
จุดประสงค์หลักของ Stop Loss ไม่ใช่เพื่อ “ปกป้องกำไร” แต่เพื่อ “จำกัดความเสียหาย” ให้อยู่ในระดับที่คุณรับได้ ซึ่งเป็นรากฐานของการลงทุนระยะยาว
ทำไม Stop Loss ถึงสำคัญ? 3 ข้อที่ไม่ควรมองข้าม
มืออาชีพในวงการลงทุนทุกคนพูดเหมือนกันว่า “การอยู่รอดสำคัญกว่าการทำกำไร” และนี่คือเหตุผลที่ Stop Loss เป็นเครื่องมือที่ไม่ควรมองข้าม
- จำกัดการขาดทุนในแต่ละครั้ง: การขาดทุนขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ครั้งอาจเพียงพอที่จะทำลายพอร์ตของคุณได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณขาดทุน 50% คุณต้องทำกำไร 100% เพื่อกลับสู่จุดเดิม การตั้ง Stop Loss ทุกครั้งจึงช่วย “กั้นความเสียหาย” ตั้งแต่ต้นทาง
- ลดอารมณ์และความหวัง: หลายครั้งที่เรายึดมั่นใน “ความหวัง” ว่า “เดี๋ยวมันก็ขึ้น” แม้ราคาจะร่วงหนักแล้ว ซึ่งทำให้เราขาดทุนหนักได้ ในขณะที่ Stop Loss ถูกตั้งไว้ด้วย “เหตุผล” ไม่ใช่อารมณ์ จึงช่วยให้การตัดสินใจมีวินัยมากขึ้น
- สร้างวินัยในการเทรด: การมีทั้งจุดเข้า (Entry) จุดทำกำไร (Take Profit) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ในการเทรดแต่ละครั้ง คือการวางกรอบให้ตัวเองเหมือนนักเดินหมาก ไม่ใช่ผู้เล่นที่เดาสุ่ม การทำแบบนี้อย่างต่อเนื่องจะสร้างนิสัยการลงทุนที่ยั่งยืน

ประเภทของ Stop Loss ที่ควรรู้ก่อนใช้งาน
Stop Loss ไม่ใช่มีแค่ปุ่มเดียว แต่มีหลายรูปแบบที่ทำงานต่างกันไปตามสถานการณ์ โดยแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก
1. Stop Order (หรือ Stop Market)
เป็นรูปแบบพื้นฐานที่ง่ายที่สุด เมื่อราคาสินทรัพย์ตกลงมาถึงระดับที่คุณระบุ ระบบจะส่ง “คำสั่งตลาด (Market Order)” ไปขายทันที โดยไม่คำนึงถึงราคา
ข้อดี: การันตีว่าคำสั่งจะถูกดำเนินการ
ข้อเสีย: อาจเกิด slippage (ราคาถ่าง) ในตลาดที่ผันผวน เช่น ขณะประกาศเศรษฐกิจสหรัฐ เมื่อราคาเปิดต่ำกว่าจุด Stop Loss ของคุณ ก็อาจทำให้ขายได้ในราคาที่แย่กว่าที่คาดไว้
2. Stop-Limit Order
ประเภทนี้ให้ความเป็นอิสระมากขึ้น โดยต้องระบุ 2 ระดับราคา คือ “ราคาเริ่มต้น” และ “ราคาลิมิต” เช่น เซ็ต Stop ที่ 100 บาท และ Limit ที่ 98 บาท หมายความว่าเมื่อราคาตกถึง 100 บาท ระบบจะพยายามขายที่ราคาไม่ต่ำกว่า 98 บาท
ข้อดี: ควบคุมราคาที่ยอมขาดทุนได้
ข้อเสีย: หากตลาดดิ่งร่วงแรงเกิน อาจไม่มีใครเสนอซื้อที่ 98 บาท ทำให้คำสั่ง “แขวน” อยู่โดยไม่ถูกจับคู่
3. Trailing Stop
รูปแบบนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการ “ปล่อยให้กำไรเติบโต” แต่ยังคงมี “เกราะป้องกัน” อยู่ จุดเด่นคือ จุด Stop Loss จะ “เลื่อนตาม” ราคาขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่จะไม่เลื่อนตามเมื่อราคาลง
ตัวอย่าง: ซื้อหุ้นที่ 100 บาท ตั้ง Trailing Stop ไว้ที่ 5% จุด SL เริ่มต้นอยู่ที่ 95 บาท เมื่อราคาสูงถึง 120 บาท จุด SL ใหม่จะเลื่อนขึ้นเป็น 114 บาท (120 × 0.05 = 6, 120 – 6 = 114) แม้ราคาจะปรับตัวลง แต่จุด SL จะยังคงอยู่ที่ 114 บาท และจะขายอัตโนมัติหากราคาร่วงลงถึงจุดน้ำจุดนี้
ตารางเปรียบเทียบประเภทของ Stop Loss
| ประเภท | การทำงาน | ข้อดี | ข้อเสีย |
|---|
| Stop Order (Market) | ส่งคำสั่งขายทันทีเมื่อถึงราคาที่กำหนด | การันตีการขายสำเร็จ | อาจเกิด slippage |
| Stop-Limit Order | ใช้ราคาลิมิตเพื่อควบคุมการขาย | จำกัดราคาขั้นต่ำที่ยอมขายได้ | เสี่ยงคำสั่งไม่ถูกจับคู่ |
| Trailing Stop | เลื่อนจุด SL ตามการขึ้นของราคา | ล็อกกำไรระหว่างทาง | อาจถูกดีดออกจากเทรนด์ |

วิธีตั้ง Stop Loss แบบมืออาชีพ: จากพื้นฐาน ถึงขั้นสูง
คำถามที่พบบ่อยที่สุดคือ “ตั้งกี่เปอร์เซ็นดี?” คำตอบคือ ไม่มีตัวเลขตายตัว วิธีที่ดีที่สุดคือใช้ทั้งเหตุผลเชิงปริมาณและเทคนิค
1. ใช้สัดส่วนคงที่ (เปอร์เซ็นต์)
มือใหม่ส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยการตั้ง Stop Loss เท่ากับ 5–10% ของราคาต้นทุน เช่น ซื้อที่ 100 บาท ตั้ง SL ที่ 90 บาท สำหรับผู้เริ่มต้น วิธีนี้ช่วยสร้างวินัย แต่มีจุดอ่อน
ข้อเสีย**: ไม่คำนึงถึงความผันผวนของสินทรัพย์ เช่น หุ้น A ตกลง 5% ต่อวันเป็นเรื่องปกติ การตั้ง Stop ที่ 5% จึงทำให้ถูก “เขย่าออก” บ่อยเกินไป
2. ใช้แนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance)
เป็นหนึ่งในเทคนิคยอดนิยม เพราะใช้พฤติกรรมราคาประกอบการตัดสินใจ
หากราคาหุ้นกำลังจะทะลุขึ้นจากแนวรับที่ 50 บาท การตั้ง Stop Loss ไว้ที่ 49.50 บาท จึงมีเหตุผล เพราะหากมันตกลงต่ำกว่า 50 บาท (แนวรับพัง) แสดงว่าแนวโน้มอาจเปลี่ยนไป วิธีนี้ช่วยให้คุณ “ให้พื้นที่หายใจ” กับการเทรด ไม่จำเจกับเปอร์เซ็นต์ตายตัว
3. ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average)
นักลงทุนจำนวนมากมองว่าเส้น MA 50 วัน หรือ MA 200 วัน เป็นเขตแดนของแนวโน้ม เมื่อราคาปิดต่ำกว่า MA50 อาจหมายถึงสัญญาณขาลง
จึงนิยมตั้ง Stop Loss ไว้ใต้เส้น MA50 เช่น ซื้อที่ 100 บาท เส้น MA50 อยู่ที่ 98 บาท ตั้ง Stop ที่ 97 บาท หากพื้นที่นี้ถูกเบรก ถือว่าโมเมนตัมเริ่มอ่อนลง
4. ใช้ค่าความผันผวน (Average True Range – ATR)
ATR เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ใช้สำหรับนักเทรดมืออาชีพ เพราะมันวัด “ความรุนแรง” โดยเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง (เช่น 14 วัน)
ตัวอย่างการคำนวณ: หุ้นต้นทุน 100 บาท ค่า ATR (14 วัน) อยู่ที่ 2 บาท คุณอาจตั้ง Stop Loss ไว้ที่ 100 – (2 × 2) = 96 บาท
การคูณด้วยตัวเลข (1.5, 2 หรือ 3) แล้วลบออกจากต้นทุน จะทำให้จุดตัดขาดทุน “ยืดหยุ่น” มากขึ้นในตลาดที่ผันผวน และแคบลงในตลาดที่นิ่ง สอดคล้องกับสภาพจริง
อ้างอิงจาก ATR คือเครื่องมือหลักในการประเมินความเสี่ยงที่แท้จริงของสินทรัพย์

ข้อดีและข้อควรระวังของ Stop Loss
Stop Loss เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่ยาวิเศษ คุณต้องเข้าใจทั้งด้านบวกและด้านเสี่ยง
ข้อดีที่ต้องใช้
- จำกัดความเสียหาย: ป้องกันไม่ให้พอร์ตพังพินาศจากราคาดิ่ง
- ลดอารมณ์ความรู้สึก: วางแนวทางล่วงหน้า ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าจะขายตอนไหน
- สามารถทิ้งพอร์ตได้: ตั้งคำสั่ง ไปทำอย่างอื่นได้โดยไม่ต้องกังวล
ข้อควรระวังที่ต้องรู้
- slippage: อาจขายได้ในราคาแย่กว่าที่ตั้งไว้หากตลาดเคลื่อนตัวแรง
- whipsaw effect: ตลาดอาจแค่ย่อตัวสั้น ๆ แล้วดีดตัวต่อ แต่คุณถูกเขย่าออกเพราะตั้ง Stop ชิดเกินไป

3 ข้อผิดพลาดที่มือใหม่มักทำในการตั้ง Stop Loss
1. ตั้ง Stop ชิดเกินไป
ความกลัวการขาดทุนทำให้หลายคนตั้ง Stop อยู่ใกล้ต้นทุน เช่น ตั้ง SL ที่ 1-2% นั่นเท่ากับไม่ให้ “พื้นที่หายใจ” กับตลาด เพราะราคามักมีการแกว่งตัวขึ้นลงในระยะสั้น (Market Noise) การตั้งจุดที่ชิดเกินไปจึงมักทำให้ถูกเขย่าออกโดยไม่จำเป็น
2. เลื่อนจุด Stop ออกไปเรื่อย ๆ
เมื่อเห็นราคาลดลงใกล้ถึง Stop Loss หลายคน “ขอต่อ” โดยเลื่อนจุด Stop ให้ต่ำลงไปอีกเพราะเชื่อว่า “เดี๋ยวมันขึ้นเอง” นี่คือจุดเริ่มของความเสียหายรุนแรง เพราะคุณกำลังเลิกใช้กฎที่ตั้งไว้เพื่อหวัง “การพลิกสถานการณ์” ซึ่งมักไม่เกิดขึ้นจริง
3. ตั้งเป็นเลขกลม (เช่น 50.00, 100.00)
จุดที่เป็นเลขกลมมักเป็นจุดที่นักลงทุนรายย่อยนิยมตั้ง Stop Loss และ Take Profit จึงกลายเป็น “เหยื่อล่อ” สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ (Institutional Traders) ในการทำ “การล่า Stop” (Stop Hunting) โดยดันราคาให้ลงมายั่วก่อนดีดกลับ
ทางออก: ตั้ง Stop Loss ที่ระดับแปลก ๆ เช่น 49.85 หรือ 99.70 บาท จะลดความเสี่ยงจากการถูก “เขย่า” ได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Stop Loss (FAQ)
Stop Loss และ Take Profit ต่างกันอย่างไร?
Stop Loss คือคำสั่งขายเพื่อจำกัดการขาดทุน ส่วน Take Profit คือคำสั่งขายเพื่อล็อกกำไร ทั้งคู่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณไม่ต้องควบคุมอารมณ์เวลาเข้า-ออก
ต่างจาก Cut Loss ยังไง?
Stop Loss เป็นคำสั่งอัตโนมัติที่ตั้งไว้ล่วงหน้า ส่วน Cut Loss เป็นการตัดสินใจขายด้วยตนเอง ณ เวลานั้น ซึ่งมักมากับความกลัวหรืออารมณ์
ควรตั้ง Stop Loss เท่าไหร่ดี?
ไม่มีตัวเลขตายตัว ขึ้นอยู่กับความผันผวนของสินทรัพย์และกลยุทธ์ของคุณ วิธีที่แนะนำคือใช้แนวรับ หรือ ATR แทนการยึดเปอร์เซ็นต์คงที่
Trailing Stop คืออะไร?
คือคำสั่งที่ช่วย “ล็อกกำไร” อัตโนมัติ โดยจุด Stop Loss จะเลื่อนตามราคาที่สูงขึ้น แต่ไม่เลื่อนตามเมื่อลดลง
Stop Loss การันตีราคาที่ตั้งไว้ไหม?
ไม่เสมอไป โดยเฉพาะในตลาดผันผวน มีโอกาสเกิด slippage ได้ แต่จุดประสงค์แท้จริงไม่ใช่การยืนยันราคา แต่คือการป้องกันพอร์ตให้รอด โดยยอมให้เกิดการเสียหายเล็กน้อย