ในโลกของตลาดฟอเร็กซ์ การเข้าใจว่า “ขนาดล็อต (Lot Size) คืออะไร” ไม่ใช่เพียงแค่จุดเริ่มต้น แต่คือรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับนักเทรดที่ต้องการประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน การเลือกขนาดล็อตไม่ใช่แค่การตัดสินใจว่าจะเทรดกี่หน่วย แต่คือการกำหนดระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ในแต่ละคำสั่งซื้อขายอย่างแท้จริง บทความนี้จะเปิดเผยทุกมุมมองของขนาดล็อต ตั้งแต่นิยามพื้นฐาน ประเภทต่างๆ การคำนวณอย่างแม่นยำ ไปจนถึงวิธีประยุกต์ใช้เพื่อสร้างระบบบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่มีประสิทธิภาพ และช่วยให้นักเทรดทุกระดับสามารถควบคุมพอร์ตการซื้อขายได้อย่างเป็นระบบ

ขนาดล็อตคืออะไร และทำไมจึงสำคัญต่อนักเทรดฟอเร็กซ์?
ขนาดล็อต หรือที่รู้จักกันในชื่อ Lot Size คือหน่วยวัดปริมาณสกุลเงินที่คุณจะซื้อหรือขายในแต่ละครั้ง มันคือสัญญาหนึ่งหน่วยในการซื้อขายที่ตลาดฟอเร็กซ์กำหนดไว้มาตรฐาน เมื่อคุณเลือกขนาดล็อตใดขนาดหนึ่ง คุณจะได้กำหนดมูลค่าของแต่ละพิบ (Pip) ที่จะได้รับจากการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งหมายความว่า ขนาดล็อตโดยตรงที่ส่งผลต่อผลกระทบทั้งกำไรและขาดทุนของคุณ
ความสำคัญของขนาดล็อตอยู่ที่บทบาทในการบริหารเงินทุน (Money Management) หากคุณเลือกเปิดออเดอร์ด้วยล็อตใหญ่เกินขนาดบัญชีที่คุณมี แม้ราคาจะผันผวนเพียงเล็กน้อย คุณก็อาจเผชิญกับการขาดทุนมหาศาลได้ ในทางกลับกัน ถ้าใช้ล็อตเล็กเกินไป กำไรที่ได้อาจไม่สอดคล้องกับเวลาและความพยายามที่เสียไป ดังนั้น การเลือกขนาดล็อตที่สอดคล้องกับเงินทุน รูปแบบการเทรด และระดับความเสี่ยงที่รับได้ จึงเป็นทักษะควบคุมอารมณ์และเหตุผล ที่นักเทรดทุกคนต้องฝึกฝนอย่างจริงจัง

รู้จักประเภทของล็อตทั้ง 4 แบบในตลาดฟอเร็กซ์
ในตลาดฟอเร็กซ์ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีการจัดแบ่งขนาดล็อตออกเป็น 4 ประเภทหลัก เพื่อให้ผู้เทรดสามารถเลือกใช้ตามระดับประสบการณ์ ขนาดบัญชี และกลยุทธ์การเทรดของตนเอง ความเข้าใจในแต่ละประเภทจึงเป็นพื้นฐานที่จำเป็น
สแตนดาร์ดล็อต (Standard Lot)
สแตนดาร์ดล็อตคือขนาดสัญญาที่ใหญ่ที่สุด โดยมีมูลค่าเทียบเท่ากับ 100,000 หน่วยของสกุลเงินฐาน (Base Currency) ซึ่งในแพลตฟอร์มเทรดจะแสดงเป็น 1.0 เวลาเปลี่ยนแปลง 1 พิบ กำไรหรือขาดทุนจะอยู่ที่ประมาณ 10 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) โดยเฉพาะในคู่สกุลเงินที่มี USD เป็นสกุลเงินอ้างอิง (Quote Currency) เช่น EUR/USD ล็อตประเภทนี้เหมาะกับนักเทรดที่มีทุนหนา หรือผู้ที่เป็นสถาบันการเงิน เพราะต้องใช้หน่วยงานรับประกัน (Margin) จำนวนมากในการเปิดออเดอร์
มินิล็อต (Mini Lot)
มินิล็อตมีขนาดเพียงหนึ่งในสิบของสแตนดาร์ดล็อต คือ 10,000 หน่วยของสกุลเงินฐาน แสดงในแพลตฟอร์มเป็น 0.1 การเคลื่อนไหว 1 พิบ จะให้ผลลัพธ์ประมาณ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ล็อตประเภทนี้ได้รับความนิยมจากนักเทรดที่เริ่มมีประสบการณ์และต้องการขยายขนาดการเทรด โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงอย่างก้าวกระโดด
ไมโครล็อต (Micro Lot)
ไมโครล็อตเป็นขนาดที่เหมาะกับนักเทรดมือใหม่ โดยมีมูลค่าการซื้อขายเพียง 1,000 หน่วยของสกุลเงินฐาน ซึ่งปรากฏในแพลตฟอร์มเป็น 0.01 การเปลี่ยนแปลง 1 พิบ จะให้ผลลัพธ์ประมาณ 0.10 ดอลลาร์สหรัฐ ขนาดเล็กเช่นนี้ช่วยให้ผู้เริ่มต้นสามารถใช้ทุนน้อยในการเรียนรู้กลไกตลาด โดยยังคงควบคุมความเสี่ยงได้ดี
นาโนล็อต (Nano Lot)
นาโนล็อตเป็นขนาดที่เล็กที่สุด ซึ่งมีมูลค่าเพียง 100 หน่วยของสกุลเงินฐาน แสดงในระบบเป็น 0.001 Lot ซึ่งมีอยู่ในโบรกเกอร์เฉพาะกลุ่ม ที่พิบเปลี่ยนแปลงไป 1 หน่วย ผลลัพธ์จะอยู่ที่ประมาณ 0.01 ดอลลาร์สหรัฐ ขนาดนี้เหมาะยิ่งสำหรับการทดสอบกลยุทธ์ หรือสำหรับผู้ที่มีเงินลงทุนหลักร้อย แต่ต้องการซื้อขายจริงในสภาพแวดล้อมจริง
ตารางเปรียบเทียบประเภทของล็อต
ประเภท Lot Size | สัญลักษณ์ในแพลตฟอร์ม | จำนวนหน่วย (Base Currency) | มูลค่าต่อ Pip (โดยประมาณใน EUR/USD) |
---|
สแตนดาร์ดล็อต | 1.0 | 100,000 | $10 |
มินิล็อต | 0.1 | 10,000 | $1 |
ไมโครล็อต | 0.01 | 1,000 | $0.10 |
นาโนล็อต | 0.001 | 100 | $0.01 |

วิธีคำนวณขนาดล็อตอย่างแม่นยำ: เคล็ดลับบริหารความเสี่ยงโดยอิงตัวเลข
การตัดสินใจเรื่องขนาดล็อตไม่ควรอิงจากอารมณ์หรือความมั่นใจเพียงอย่างเดียว การคำนวณอย่างเป็นระบบคือกุญแจสู่ความอยู่รอดระยะยาวในตลาด สำหรับในการคำนวณที่ถูกต้อง คุณต้องทราบข้อมูลพื้นฐาน 3 อย่างก่อน
- มูลค่าบัญชี (Account Balance): คือยอดเงินในบัญชีเทรดของคุณ ณ ปัจจุบัน ซึ่งเป็นฐานสำคัญในคำนวณความเสี่ยง
- เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง (Risk % per trade): คือสัดส่วนของเงินทุนที่คุณยินดีจะสูญเสียหากคำสั่งซื้อขายไม่เป็นไปตามแผน โดยทั่วไปผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้จำกัดความเสี่ยงไว้ที่ 1-2% ต่อออเดอร์
- ระยะตั้ง Stop Loss (หน่วยเป็น Pip): คือจุดที่คุณกำหนดให้ปิดการเทรดเพื่อลดขาดทุนหากตลาดเคลื่อนตัวสวนทาง ระยะ Stop Loss ยิ่งกว้าง ความเสี่ยงต่อการขาดทุนในด้านมูลค่าเงินยิ่งสูง จึงต้องปรับขนาดล็อตให้เหมาะสม
เมื่อได้ข้อมูลทั้งสามแล้ว ใช้สูตรคำนวณดังนี้:
ขนาดล็อต = (มูลค่าบัญชี × เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยง) / (ระยะ Stop Loss × มูลค่าต่อ Pip ของ 1 ล็อต)
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
สมมติว่าคุณมีเงินทุน $1,000 และต้องการเสี่ยงไม่เกิน 2% ต่อการเทรด หมายความว่าคุณยอมขาดทุนสูงสุด $20 ต่อคำสั่ง คุณต้องการเทรด EUR/USD พร้อมตั้ง Stop Loss ไว้ที่ 50 พิบ โดยรู้ว่า 1 สแตนดาร์ดล็อต (100,000 หน่วย) มีมูลค่าต่อ 1 พิบ เท่ากับ $10
- เงินที่พร้อมเสี่ยง: $1,000 × 0.02 = $20
- มูลค่าการขาดทุนโดยสมมติว่าใช้ 1.0 ล็อต: 50 พิบ × $10 = $500
- ขนาดล็อตที่เหมาะสม: $20 / $500 = 0.04 Lot
ผลลัพธ์: คุณควรเปิดออเดอร์ที่ขนาด 0.04 ล็อต เพื่อจำกัดความเสี่ยงให้เท่ากับ $20 พอดี หากตลาดเคลื่อนตัวจริงตาม Stop Loss เท่านี้คุณก็จะไม่สูญเสียเกินกว่าที่วางแผนไว้ และสามารถรักษาเงินทุนระยะยาวได้แม้จะขาดทุนในบางคำสั่ง
การประยุกต์ใช้ขนาดล็อตในคู่สกุลเงินที่ต่างกัน
ปัจจัยสำคัญที่มือใหม่มักลืมคือ มูลค่าต่อพิบ (Pip Value) ไม่เท่ากันในทุกคู่เงิน โดยเฉพาะในคู่ที่ไม่มีดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินอ้างอิง เช่น USD/JPY หรือ GBP/JPY ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนโดยตรงจะส่งผลให้มูลค่าต่อพิบเปลี่ยนแปลงตามเรทปัจจุบัน ดังที่เว็บไซต์ Investopedia ได้อธิบายไว้ ทำให้การคำนวณ Lot Size ต้องคำนึงถึงรายละเอียดเหล่านี้อย่างรอบคอบ
ตัวอย่างเช่น การเคลื่อนที่ของราคา 100 พิบในคู่ EUR/USD และ USD/JPY จะให้ผลกำไรต่างกันมาก เนื่องจากความแตกต่างของ Pip Value ทำให้การใช้สูตรคำนวณต้องปรับให้เหมาะสมกับทุกคู่เงินที่เทรด
ตารางเปรียบเทียบ: ผลกำไร/ขาดทุนเมื่อราคาเคลื่อนที่ 100 พิบ
คู่เงิน (Currency Pair) | ขนาดล็อต (Lot Size) | กำไร/ขาดทุน (โดยประมาณ) |
---|
EUR/USD | 0.01 ล็อต (ไมโคร) | $10 |
0.10 ล็อต (มินิ) | $100 |
1.00 ล็อต (สแตนดาร์ด) | $1,000 |
USD/JPY | 0.01 ล็อต (ไมโคร) | $6.80 (ขึ้นอยู่กับเรทปัจจุบัน) |
0.10 ล็อต (มินิ) | $68 (ขึ้นอยู่กับเรทปัจจุบัน) |
1.00 ล็อต (สแตนดาร์ด) | ~$680 (ขึ้นอยู่กับเรทปัจจุบัน) |
จากตาราง แสดงให้เห็นชัดว่า แม้ราคาจะเคลื่อนที่เท่ากัน แต่มูลค่าที่ได้รับกลับมีความแตกต่างอย่างมาก ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่นักเทรดควรตรวจสอบ Pip Value ของคู่เงินนั้นๆ ก่อนการเทรด โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เทรดหลายคู่ ส่วนนักเทรดหลายรายนิยมใช้ Babypips เพื่อลดความผิดพลาดและเพิ่มความแม่นยำ

คำแนะนำในการเลือกขนาดล็อตตามสไตล์การเทรด
การเลือกขนาดล็อตไม่ควรถูกจำกัดเพียงแค่มูลค่าบัญชี แต่ควรสอดคล้องกับแนวทางและพฤติกรรมการเทรดของแต่ละคน เพื่อให้การบริหารความเสี่ยงสมดุลและยั่งยืน
- นักเทรดมือใหม่ (Beginner): ควรเริ่มจากขนาดเล็กที่สุด เช่น ไมโครล็อต (0.01) หรือแม้แต่นาโนล็อต วิธีนี้ช่วยจำกัดการขาดทุนและความเครียด ทำให้สามารถเรียนรู้การวิเคราะห์ตลาด การตั้งออเดอร์ รวมถึงบริหารจิตใจในสถานการณ์จริงได้อย่างปลอดภัย
- เดย์เทรดเดอร์/สกาล์ปเปอร์ (Day Trader/Scalper): ผู้ที่เน้นกำไรจากการเคลื่อนไหวเล็กๆ ในเวลาสั้นๆ มักใช้ล็อตขนาดใหญ่ (มินิหรือสแตนดาร์ด) เพื่อให้มีมูลค่ากำไรที่คุ้มค่า แต่ต้องมาพร้อมกับการตั้ง Stop Loss ที่สั้นและการจัดการออเดอร์อย่างเป๊ะ เนื่องจากความเร็วในการทำงานมีผลต่อผลลัพธ์โดยตรง
- สวิงเทรดเดอร์ (Swing Trader): ผู้ที่ถือออเดอร์ข้ามคืนหรือเป็นสัปดาห์ ต้องเผชิญกับความผันผวนของตลาดระยะสั้นอย่างต่อเนื่อง จึงมักต้องใช้Stop Loss ระยะไกล ซึ่งทำให้มูลค่าความเสี่ยงเพิ่มขึ้น วิธีแก้คือลดขนาดล็อตลง เช่น ใช้ไมโครล็อตหรือมินิล็อต เพื่อให้สัดส่วนความเสี่ยงต่อออเดอร์ยังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย
ข้อเตือนใจ: ไม่ว่าคุณจะเทรดแนวทางไหน การใช้ขนาดล็อตที่ใหญ่เกินกว่าบัญชีจะรับไหว หรือ “Over-trade” คือการเดินทางสู่การหมดตัวที่เร็วที่สุด อย่าให้อารมณ์และความโลภครอบงำกลยุทธ์ที่มั่นคง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับขนาดล็อต (FAQ)
Lot คืออะไร?
Lot คือหน่วยมาตรฐานในการซื้อขายในตลาด Forex และ Gold โดย 1 Lot หมายถึงขนาดสัญญาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ทำให้นักลงทุนเข้าใจได้ทันทีว่าการเปิด 1 Lot เท่ากับปริมาณการซื้อขายกี่หน่วยของสินทรัพย์ เช่น EUR/USD หรือ XAU/USD
1 Lot เท่ากับกี่ดอลลาร์?
โดยทั่วไป 1 Standard Lot = 100,000 หน่วยของสกุลเงินฐาน (Base currency) เช่น ถ้าเทรด EUR/USD → 1 Lot = 100,000 EUR แต่ในทางปฏิบัติ นักลงทุนมักจะมองผ่านมูลค่า Pip เช่น 1 Lot = 10 ดอลลาร์ต่อการเคลื่อนไหว 1 Pip
1 Lot เท่ากับกี่เหรียญ?
ถ้าเป็น Forex → 1 Standard Lot = 100,000 เหรียญของสกุลเงินฐาน
ถ้าเป็น Gold (XAU/USD) → 1 Lot = 100 oz ทองคำ
คำนวณ Lot Size ยังไง?
สูตรการคำนวณคือ Lot Size = Risk Per Trade (ดอลลาร์) ÷ (Stop Loss (Pip) × มูลค่า Pip ต่อ Lot)
เช่น หากยอมขาดทุน $100, Stop Loss 50 Pip, มูลค่า Pip = $1 → Lot Size = $100 ÷ (50×1) = 0.2 Lot
1000 เหรียญ ออกล็อตได้กี่ Lot?
ขึ้นอยู่กับ Leverage:
– Leverage 1:100 → เงิน $1,000 สามารถเปิดได้สูงสุดประมาณ 1 Lot Standard (100,000)
– Leverage 1:500 → เงิน $1,000 อาจเปิดได้มากถึง 5 Lot Standard
แต่การเปิดเต็ม Margin มีความเสี่ยงสูง ควรใช้ Money Management ที่เหมาะสม