สำหรับใครก็ตามที่เพิ่งเริ่มต้นเส้นทางการลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์ สิ่งหนึ่งที่มักถูกมองข้ามแต่มีผลโดยตรงต่อผลกำไรขาดทุน คือ “ค่าสเปรด” (Spread) แม้ดูเหมือนเป็นตัวเลขเล็กๆ บนหน้าจอเทรด แต่กลับเปรียบได้กับ “ต้นทุนแฝง” ที่คุณต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิดออเดอร์ หากไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ อาจกลายเป็นปัจจัยที่กัดกินเงินทุนของคุณเงียบๆ โดยเฉพาะกับนักเทรดที่เน้นการเข้า-ออกบ่อย
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกมิติของค่าสเปรด ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน การประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ไปจนถึงกลยุทธ์การเปรียบเทียบโบรกเกอร์และประเภทบัญชีเพื่อลดต้นทุนได้อย่างแท้จริง เหมาะทั้งสำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเข้าใจคำว่า Bid-Ask และเทรดเดอร์ระดับกลางที่ต้องการจัดการค่าใช้จ่ายก่อนจะขยายพอร์ต

ค่าสเปรดคืออะไร? อธิบายให้เข้าใจแบบไม่ต้องรู้ศัพท์เทคนิค
ลองนึกถึงร้านแลกเปลี่ยนเงินสดที่คุณเห็นตามสนามบินหรือแหล่งท่องเที่ยว สมมติว่าเขาแจ้งว่า:
- รับซื้อดอลลาร์ที่ 36.50 บาท
- ขายดอลลาร์ให้คุณที่ 36.70 บาท
ส่วนต่าง 0.20 บาทนี้คือกำไรของร้าน และในตลาดฟอเร็กซ์ ปรากฏการณ์เดียวกันก็เกิดขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะกับตำแหน่งของ “โบรกเกอร์” ที่ทำหน้าที่คล้าย “ผู้จัดตลาด”
ทุกครั้งที่คุณดูราคาของคู่เงิน เช่น EUR/USD บนแพลตฟอร์มการเทรด คุณจะเห็นราคาสองตัวควบกัน ได้แก่:
- ราคาเสนอซื้อ (Bid): ราคาที่คุณจะได้รับเมื่อ “ขาย” (Sell)
- ราคาเสนอขาย (Ask): ราคาที่คุณต้องจ่ายเมื่อ “ซื้อ” (Buy)
ค่าสเปรด คือ ผลต่างระหว่าง Ask และ Bid เช่น Ask = 1.08550, Bid = 1.08536 → Spread = 0.00014
พูดง่ายๆ คือ เมื่อคุณเปิดออเดอร์ใดๆ กำไรของคุณจะเริ่มต้นที่ “ติดลบ” เท่ากับค่าสเปรดเสมอ แล้วราคาจะต้อง “เดินขึ้น” (สำหรับคนซื้อ) หรือ “เดินลง” (สำหรับคนขาย) พอที่จะเท่ากับค่าสเปรดก่อน จึงจะเริ่มเข้าสู่ “จุดคุ้มทุน”
วัดค่าสเปรดอย่างไร? รู้จัก Pip กับ Point ให้เข้าใจ
ในฟอเร็กซ์ เราไม่ใช้วัดราคาเป็น “บาท” หรือ “ดอลลาร์” โดยตรง แต่ใช้หน่วยวัดที่ละเอียดและมาตรฐาน
- Pip (Point in Percentage): หน่วยการเปลี่ยนแปลงราคาที่ใช้บ่อยที่สุด โดยทั่วไปสำหรับคู่เงินเช่น EUR/USD 1 Pip คือทศนิยมที่ตำแหน่งที่ 4 (เช่น จาก 1.08530 → 1.08540 = +1 Pip) ส่วนคู่เงินที่มีเยน (เยน) เช่น USD/JPY 1 Pip จะเป็นตำแหน่งที่ 2 (เช่น 150.20 → 150.30)
- Point: หน่วยที่เล็กกว่า Pip โดย 1 Pip = 10 Points (เช่น 1.08530 ถึง 1.08532 = 2 Points)
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองพิจารณาตัวอย่าง:
EUR/USD แสดงราคา:
Ask: 1.08552
Bid: 1.08538
สเปรด = 1.08552 – 1.08538 = 0.00014 → เท่ากับ 1.4 Pip หรือ 14 Points
ยิ่งค่าสเปรดน้อย แปลว่าต้นทุนการเริ่มต้นในแต่ละออเดอร์ยิ่งต่ำ นักเทรดที่เน้นระยะสั้น (Scalping) จะได้เปรียบจากค่าสเปรดที่แคบอย่างมาก

ประเภทของสเปรด: Fixed vs Floating แบบไหนเหมาะกับคุณ?
โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ให้เลือกระหว่างสเปรดสองรูปแบบหลัก ซึ่งต่างกันทั้งในด้านเสถียรภาพและต้นทุน
1. สเปรดแบบคงที่ (Fixed Spread)
สเปรดที่ “ไม่ขยับ” ไม่ว่าตลาดจะนิ่งหรือผันผวน เช่น ระบุเอาไว้ว่า EUR/USD สเปรดจะอยู่ที่ 1.8 Pip ตลอดเวลา
ข้อดี: ช่วยให้คำนวณต้นทุนล่วงหน้าได้แม่นยำ เหมาะกับเทรดเดอร์หน้าใหม่หรือเทรดในช่วงเวลาที่มีข่าวสำคัญออกมา
ข้อเสีย: ตั้งอยู่บนระดับสูงเล็กน้อย และในช่วงที่ราคาผันผวนรุนแรง อาจเจอ “Requote” คือราคาที่คุณเห็นไม่ถูกดำเนินการ ต้องกดยืนยันใหม่ที่ราคาที่เลวร้ายกว่า
2. สเปรดแบบลอยตัว (Variable/Floating Spread)
สเปรดที่ “ขยับตามตลาด” ปรับขึ้น-ลง ขึ้นอยู่กับสภาพคล่อง เช่น ในช่วงกลางคืนอาจเหวี่ยงตั้งแต่ 0.5 ถึง 3.5 Pip
ข้อดี: ในสภาวะตลาดปกติ สเปรดอาจแคบมาก แม้แต่ 0.1 หรือ 0 Pip เลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้จึงถูกใจคนที่เทรดบ่อย โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง
ข้อเสีย: ช่วงเวลาที่มีข่าวเศรษฐกิจ (เช่น ดัชนีการจ้างงานสหรัฐ หรือ FOMC) สเปรดอาจโตเป็น 10 เท่าของปกติ ทำให้เปิดออเดอร์ได้ยากหรือขาดทุนทันที
ตารางเปรียบเทียบ: Fixed vs Floating
ลักษณะ | สเปรดคงที่ | สเปรดลอยตัว |
---|
ความมั่นคงของต้นทุน | สูง | ต่ำ (ขึ้นลงตามตลาด) |
ระดับสเปรดในสภาวะนิ่ง | มักสูงกว่า | มักต่ำกว่า |
ในช่วงข่าวผันผวน | คงที่ แต่เกิด Requote ได้ | กว้างมากขึ้นอย่างฉับพลัน |
เหมาะกับ | มือใหม่, เทรดข่าว | Scalper, Day Trader, ผู้เทรดที่หลีกเลี่ยงข่าว |

4 ปัจจัยที่ทำให้ค่าสเปรดไม่คงที่: เข้าใจเพื่อวางแผนได้ดีขึ้น
1. ประเภทของสินทรัพย์
สินทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงและมีผู้เล่นเข้ามามาก เช่น คู่เงินหลัก (EUR/USD, USD/JPY) หรือดัชนี S&P 500 จะมี สเปรดแคบมาก เพราะมีสภาพคล่องสูง ในทางกลับกัน คู่เงินแปลก (Exotic Pairs) อย่าง USD/THB หรือทองแดง (Copper) จะมีสเปรดกว้างกว่ามาก
2. ความผันผวนของตลาด
เมื่อตลาดมีความไม่แน่นอนสูง เช่น ขณะที่มีการประกาศนโยบายดอกเบี้ย หรือปัญหาทางการเมือง เจ้าตลาดก็ต้อง “ถ่างสเปรด” ออกเพื่อลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาอย่างฉับพลัน
คุณสามารถหลีกเลี่ยงช่วงที่ไม่ต้องการเจอสเปรดถ่างด้วยการติดตาม ปฏิทินเศรษฐกิจของ Investing.com เพื่อวางแผนการเทรดล่วงหน้า
3. สภาพคล่อง (Liquidity)
หมายถึง ความ “ลื่นไหล” ของการซื้อขาย ถ้ามีผู้เสนอซื้อและเสนอขายจำนวนมาก การจับคู่คำสั่งทำได้เร็ว สเปรดจึงแคบลง ในทางกลับกัน หากมี “ฝั่งเดียว” ที่ต้องการซื้อ ราคาอาจถูกยัดราคา ทำให้สเปรดพุ่ง
4. เวลาทำการตลาด (Trading Session)
แม้ว่าฟอเร็กซ์จะเปิด 24 ชั่วโมง แต่ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือ ช่วงทับซ้อนของตลาดลอนดอนกับนิวยอร์ก (ประมาณ 19.00 – 23.00 น. ตามเวลาไทย) เพราะนักเทรดสถาบันส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเวลาเหล่านี้ ทำให้สภาพคล่องสูงสุดและสเปรดต่ำที่สุด
ในทางกลับกัน ช่วงเช้าตรู่ก่อนเปิดโตเกียว หรือตอนปิดสหรัฐมักเป็นช่วงที่สเปรดกว้าง

วิธีเลือกประเภทบัญชีให้คุ้มค่า: เปิดบัญชีแบบไหนประหยัดที่สุด?
หลายคนมองแค่ “ค่าคอมมิชชั่น” หรือ “สเปรด” อย่างเดียว แต่จริงๆ แล้ว ต้องดู “ต้นทุนรวม” (Total Cost) ต่อการทำธุรกรรม ซึ่งโบรกเกอร์มักมีโครงสร้าง 2 แบบหลัก:
1. บัญชี Standard
สเปรดค่อนข้างกว้าง
ไม่คิดค่าคอมมิชชั่น (Commission-free)
เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการเรียนรู้ โดยไม่ต้องวุ่นวายกับการบวกค่าคอมแต่ละครั้ง
2. บัญชี ECN / Raw Spread
สเปรดแม้แต่ 0.0 หรือ 0.2 Pip
คิดค่าคอมมิชชั่นต่อไม้ (เช่น $5 ต่อล็อต, ไป-กลับ)
เหมาะกับเทรดเดอร์ระดับกลางถึงสูงที่ซื้อขายบ่อย เพราะสเปรดต่ำสามารถชดเชยค่าคอมมิชชั่นในระยะยาวได้
เคสตัวอย่าง: ใครประหยัดกว่ากัน?
ลองเทียบต้นทุนการเทรด 1 ล็อต EUR/USD (1 Pip ≈ $10)
ต้นทุน | บัญชี Standard | บัญชี ECN |
---|
สเปรด | 1.2 Pip = $12 | 0.2 Pip = $2 |
ค่าคอมมิชชั่น | $0 | $7 |
ต้นทุนรวม | $12 | $9 ($2 + $7) |
จะเห็นว่า แม้ ECN จะมีค่าคอมมิชชั่น แต่สเปรดต่ำมาก ทำให้ ต้นทุนรวมถูกกว่าในกรณีที่ทำธุรกรรมบ่อย ส่วนมือใหม่ที่เทรดแค่เดือนละครั้ง บัญชี Standard อาจให้ความรู้สึกเข้าใจง่ายกว่า
วิธีตรวจสอบและเปรียบเทียบโบรกเกอร์จริง
- ดูจากหน้า “ประเภทบัญชี”: โบรกเกอร์ทุกแห่งต้องเปิดเผยค่าสเปรดเฉลี่ยและค่าคอมมิชชั่น
- ใช้บัญชีเดโม่ (Demo Account): วิธีที่ดีที่สุดคือทดลองใช้งานจริงบน MT4/MT5 ตรวจสอบว่าสเปรต่างกันแค่ไหนในแต่ละเวลา
- ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม: สำหรับนักลงทุนมือใหม่ แหล่งข้อมูลเช่น ห้องเรียนนักลงทุน Happy Money ห้องเรียนนักลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วยเสริมความรู้พื้นฐานการวางแผนการเงินและบริหารความเสี่ยงได้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับค่าสเปรด(FAQ)
สเปรดต่างจากค่าคอมมิชชั่นอย่างไร?
สเปรดคือต้นทุนที่แฝงอยู่ในราคา (อยู่ใน Ask และ Bid) ส่วนค่าคอมมิชชั่นคือค่าบริการที่โบรกเกอร์เรียกเก็บทีหลัง ซึ่งมักจะเรียกเมื่อใช้บัญชี ECN
ทำไมสเปรดถึงขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา?
โดยเฉพาะกับโบรกเกอร์ที่ให้สเปรดแบบลอยตัว ค่าขึ้นอยู่กับอุปสงค์-อุปทาน ความผันผวน และสภาพคล่องในตลาด ณ ขณะนั้น ยิ่งตลาดร้อนแรง สเปรดยิ่งกว้าง
บัญชี “Zero Spread” คืออะไร? ดีไหม?
หมายถึงบัญชีที่สเปรดเท่ากับ 0 แต่โดยทั่วไปพบได้แค่ชั่วคราวในช่วงสภาพคล่องสูง และต้องแลกด้วยค่าคอมมิชชั่นที่อาจสูงกว่าปกติ ดังนั้น “ต้นทุนรวม” จึงไม่ใช่ศูนย์เสมอ
ดูค่าสเปรดแบบเรียลไทม์ได้ที่ไหน?
เปิดหน้า “Market Watch” ใน MetaTrader 4 หรือ 5 คลิกขวา → “สเปรด” เพื่อแสดงคอลัมน์ที่แสดงตัวเลขสเปรดกำลังเป็นอยู่
สเปรดมีผลต่อสไตล์การเทรดอย่างไร?
อย่างมาก โดยเฉพาะกับ Scalper ที่เป้าหมายกำไรแค่ 5–10 Pip ถ้าสเปรด 3 Pip หมายความว่าต้องชนะ 13 Pip ก่อนถึงจุดคุ้มทุน ในขณะที่ Swing Trader มองการเคลื่อนไหวเป็นร้อย Pip ก็จึงไม่ค่อยถูกกระทบ
โบรกเกอร์ได้กำไรจากสเปรดไหม?
ใช่ สำหรับโบรกเกอร์ประเภท Market Maker การควบคุมสเปรดเป็นแหล่งรายได้หลัก โดยเฉพาะเมื่อมีผู้สูญเสีย แต่โบรกเกอร์แบบ ECN จะหักค่าคอมและส่งออเดอร์ออกไปยังตลาดจริง
สินทรัพย์ใดที่มีสเปรดต่ำที่สุดโดยทั่วไป?
EUR/USD คือคู่เงินที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ทำให้สเปรดต่ำสุด ตามมาด้วย USD/JPY, GBP/USD สำหรับสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ทองคำ (XAU/USD) หรือดัชนี S&P 500 ก็มีสเปรดที่ค่อนข้างต่ำ หากเทียบกับคู่เงินแปลกหรือหุ้นที่ไม่ดัง