“หุ้นตัวนี้ P/E แค่ 8 เท่า ถูกมากเลยนะ!” คุณเคยได้ยินประโยคนี้จากเพื่อนนักลงทุนหรือไม่? หรืออาจสงสัยว่าทำไมหุ้นบางตัวมี P/E สูงถึง 30 เท่า แต่นักวิเคราะห์ยังบอกว่า “น่าสนใจ”?
P/E Ratio หรือ อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ เป็นหนึ่งในเครื่องมือพื้นฐานที่สุดแต่ทรงพลังที่สุดในการประเมินมูลค่าหุ้น คำว่า “P/E” ย่อมาจาก “Price to Earnings” ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นในตลาด (Price) กับกำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share หรือ EPS)
P/E Ratio เป็นตัวช่วยสำคัญที่นักลงทุนใช้ดูว่าหุ้นตัวไหน “แพง” หรือ “ถูก” เมื่อเทียบกับกำไรที่บริษัททำได้ พูดง่ายๆ มันคือการบอกเราว่าเรากำลังจ่ายเงินกี่บาทเพื่อแลกกับกำไร 1 บาทจากหุ้นตัวนั้น
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จัก P/E Ratio แบบครบเครื่อง ตั้งแต่สูตรการคำนวณ วิธีการดูค่า P/E ไปจนถึงการเอาไปใช้จริงในการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มสนใจหุ้น หรือมีประสบการณ์อยู่แล้ว บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ P/E Ratio ได้ชัดเจนขึ้น และใช้อัตราส่วนนี้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์หุ้นได้อย่างมั่นใจ
สูตร P/E Ratio ฉบับเข้าใจง่าย: วิธีคำนวณและการหาข้อมูล
เรามาเริ่มทำความเข้าใจกับสูตรการคำนวณ P/E Ratio กันก่อน โดยสูตรพื้นฐานที่นิยมใช้คือ:
สูตร P/E Ratio = ราคาตลาดต่อหุ้น (Market Price per Share) ÷ กำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share หรือ EPS)
ในภาษาไทย เราเรียกส่วนประกอบของสูตรนี้ว่า:
- “P” คือ ราคาหุ้นในตลาดปัจจุบัน (Price)
- “E” คือ กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share หรือ EPS)
ตัวอย่างการคำนวณ:
- หากหุ้น XYZ มีราคาตลาดอยู่ที่ 23 บาทต่อหุ้น
- และบริษัท XYZ มี EPS อยู่ที่ 2.27 บาทต่อหุ้น
- P/E Ratio = 23 ÷ 2.27 = 10.1 เท่า
นั่นหมายความว่า นักลงทุนต้องจ่ายเงิน 10.1 บาท เพื่อซื้อกำไร 1 บาทของบริษัท XYZ
นอกจากสูตรพื้นฐานนี้แล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่งในการคำนวณ P/E Ratio คือ:
P/E Ratio = มูลค่าตลาดรวมของบริษัท (Market Capitalization) ÷ กำไรสุทธิรวม (Net Profit)
สูตรนี้จะให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับสูตรแรก แต่มองในระดับบริษัทโดยรวมแทนที่จะเป็นต่อหุ้น ซึ่งในบางครั้งอาจสะดวกกว่าหากคุณมีข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่าตลาดรวมและกำไรสุทธิรวมของบริษัท
สำหรับแหล่งข้อมูล EPS นั้น คุณสามารถหาได้จาก:
แหล่งข้อมูล EPS (EPS Data Sources)
|
รายละเอียด (Details)
|
---|
งบการเงินของบริษัท (Company Financial Statements)
|
Quarterly หรือ Annual Report
|
---|
เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Website)
|
www.set.or.th
|
---|
แพลตฟอร์มซื้อขายหุ้นของโบรกเกอร์ (Brokerage Platforms)
|
เช่น Settrade, KTAM, Finansia, Maybank Kim Eng
|
---|
เว็บไซต์ข้อมูลการลงทุน (Investment Data Websites)
|
เช่น Finnomena หรือ Investnow
|
---|
บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ (Securities Firm Research Reports)
|
มักมีการคำนวณทั้ง Trailing P/E และ Forward P/E
|
---|
การเลือกตัวเลข EPS ที่เหมาะสมก็มีความสำคัญ โดยทั่วไปนิยมใช้ EPS ย้อนหลัง 12 เดือน (Trailing Twelve Months หรือ TTM) ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงแล้ว แต่ในการวิเคราะห์เชิงลึก นักลงทุนมืออาชีพมักใช้ EPS คาดการณ์ในอนาคต (Forward EPS) ด้วย ซึ่งเราจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป
อ่านค่า P/E Ratio อย่างไร? การตีความและการเปรียบเทียบ
เมื่อคุณสามารถคำนวณ P/E Ratio ได้แล้ว สิ่งสำคัญกว่าคือการตีความค่าที่ได้ การอ่านค่า P/E Ratio นั้นไม่มีสูตรตายตัว ต้องพิจารณาหลายปัจจัยประกอบกัน
P/E Ratio สูง vs P/E Ratio ต่ำ
- P/E Ratio สูง (เช่น 20 เท่าขึ้นไป): โดยทั่วไปอาจหมายถึง
- ตลาดคาดหวังการเติบโตของกำไรในอนาคตสูง (เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี)
- บริษัทมีความมั่นคงและความเสี่ยงต่ำ (เช่น หุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภค)
- อาจมีความเสี่ยงที่หุ้น “แพงเกินไป” หากการเติบโตไม่เป็นไปตามคาด
- P/E Ratio ต่ำ (เช่น ต่ำกว่า 10 เท่า): อาจหมายถึง
- ตลาดมองว่าบริษัทมีแนวโน้มการเติบโตต่ำ
- บริษัทอาจมีความเสี่ยงสูง หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่ผันผวน (เช่น หุ้นวัฏจักร)
- อาจเป็นโอกาสในการลงทุนหากเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานดีแต่ราคาถูกกดจากปัจจัยชั่วคราว
ตามข้อมูลจาก SET Research ค่าเฉลี่ย P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 15-18 เท่า หากหุ้นใดมี P/E สูงหรือต่ำกว่านี้มาก ควรทำการวิเคราะห์เพิ่มเติม
การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ – Contextual Analysis
การดูค่า P/E เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ คุณควรเปรียบเทียบกับ:
- P/E ของบริษัทในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน (Peer Comparison)
- P/E เฉลี่ยของอุตสาหกรรม (Industry Average)
- P/E ในอดีตของบริษัทเอง (Historical P/E)
- P/E ของตลาดโดยรวม (Market P/E)
ตัวอย่างเช่น หุ้นธนาคารที่มี P/E 8 เท่า อาจไม่ได้ “ถูก” เสมอไป หากธนาคารอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันมี P/E เฉลี่ยที่ 7 เท่า
กรณีพิเศษ: P/E เป็นลบหรือใกล้ศูนย์
- P/E เป็นลบ: เกิดเมื่อบริษัทขาดทุน (EPS เป็นลบ) ทำให้ไม่สามารถใช้ P/E ในการประเมินมูลค่าได้
- P/E ใกล้ศูนย์: เกิดเมื่อบริษัทมีกำไรน้อยมากเมื่อเทียบกับราคาหุ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความไม่ยั่งยืนของธุรกิจ หรืออาจเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของบริษัท
การวิเคราะห์หุ้นที่ดีต้องพิจารณา P/E ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น การเติบโตของรายได้และกำไร อัตราส่วนทางการเงินอื่นๆ (เช่น ROE, D/E Ratio) และปัจจัยเชิงคุณภาพของธุรกิจ
ประเภทของ P/E Ratio – Trailing, Forward และ Relative P/E
หากต้องการใช้ P/E Ratio ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นักลงทุนควรทำความเข้าใจกับประเภทของค่า P/E ซึ่งแต่ละแบบมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ดังนี้
1. Trailing P/E (TTM P/E)
Trailing P/E คือ P/E ที่คำนวณจากกำไรย้อนหลัง 12 เดือนล่าสุด (Trailing Twelve Months หรือ TTM) ซึ่งเป็นประเภทที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในเว็บไซต์ข้อมูลการลงทุนและแพลตฟอร์มซื้อขายหุ้น
ข้อดี:
- ใช้ข้อมูลจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่การคาดการณ์
- ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ เพราะผ่านการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชี
- สามารถหาได้ง่ายจากแหล่งข้อมูลสาธารณะ
ข้อจำกัด:
- เป็นข้อมูลในอดีต ไม่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
- อาจบิดเบือนได้หากบริษัทมีกำไรผิดปกติในปีที่ผ่านมา (เช่น รายการพิเศษ)
2. Forward P/E
Forward P/E คำนวณจากกำไรที่คาดการณ์ในอนาคต โดยทั่วไปมักเป็นประมาณการกำไรในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งมาจากการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์
ข้อดี:
- สะท้อนมุมมองเกี่ยวกับอนาคตของบริษัทมากกว่า
- เหมาะสำหรับบริษัทที่กำลังเติบโตหรือฟื้นตัว
- ช่วยในการมองหาโอกาสลงทุนล่วงหน้า
ข้อจำกัด:
- ขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ซึ่งอาจไม่แม่นยำ
- แต่ละบริษัทวิเคราะห์หลักทรัพย์อาจมีประมาณการที่แตกต่างกัน
- ข้อมูลอาจไม่เปิดเผยต่อสาธารณะหรือต้องซื้อบทวิเคราะห์
3. Relative P/E
Relative P/E คือการเปรียบเทียบ P/E ของหุ้นตัวหนึ่งกับอีกตัวหนึ่ง หรือกับค่าเฉลี่ยของตลาดหรืออุตสาหกรรม โดยคำนวณจาก:
Relative P/E = P/E ของบริษัท ÷ P/E อ้างอิง (เช่น P/E ของตลาดหรืออุตสาหกรรม)
ข้อดี:
- ช่วยในการเปรียบเทียบระหว่างหุ้น หรือระหว่างหุ้นกับตลาด
- ลดผลกระทบจากปัจจัยมหภาค เช่น อัตราดอกเบี้ย ที่กระทบตลาดโดยรวม
- เหมาะสำหรับการคัดเลือกหุ้นในพอร์ตการลงทุน
ข้อจำกัด:
- ต้องเลือกจุดอ้างอิงที่เหมาะสม
- อาจไม่เหมาะกับบริษัทที่มีธุรกิจหลากหลาย
- อาจไม่เหมาะกับบริษัทที่มีธุรกิจหลากหลาย ในการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ นักลงทุนไทยควรพิจารณา Trailing P/E เพื่อประเมินสถานะปัจจุบัน ควบคู่ไปกับ Forward P/E
ในการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ นักลงทุนไทยควรพิจารณา Trailing P/E เพื่อประเมินสถานะปัจจุบัน ควบคู่ไปกับ Forward P/E เพื่อคาดการณ์ศักยภาพในอนาคต
ตามข้อมูลจาก KTAM Research พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว Forward P/E ของหุ้นไทยมักต่ำกว่า Trailing P/E ประมาณ 10-15% เนื่องจากนักวิเคราะห์มักคาดการณ์การเติบโตของกำไรในอนาคต
การประยุกต์ใช้ P/E Ratio ในการตัดสินใจลงทุน
P/E Ratio ไม่ใช่แค่ตัวเลขทางทฤษฎี แต่เป็นเครื่องมือที่นักลงทุนสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจลงทุนจริงได้ มาดูวิธีการประยุกต์ใช้กันดังนี้
1. การระบุหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าหรือสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง
อัตราส่วน P/E ช่วยในการประเมินว่าหุ้นนั้นมีราคา “ถูก” หรือ “แพง” เมื่อเทียบกับศักยภาพในการทำกำไร โดยหลักการแล้ว:
- P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมมาก: อาจเป็นหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervalued) หรือมีปัญหาที่ตลาดกังวล
- P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมมาก: อาจเป็นหุ้นที่มีราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Overvalued) หรือตลาดคาดหวังการเติบโตสูงมาก
ตัวอย่าง: หากค่าเฉลี่ย P/E ของกลุ่มธนาคารในไทยอยู่ที่ 9 เท่า และคุณพบธนาคาร A ที่มี P/E เพียง 6 เท่า ทั้งที่มีพื้นฐานดี นี่อาจเป็นโอกาสในการลงทุน
2. การเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ถ้าอยากใช้ P/E ให้ได้ผลจริงๆ ลองเทียบกับบริษัทอื่นในกลุ่มเดียวกันดู เพราะจะเห็นภาพชัดกว่าการดูแค่ตัวเดียว ซึ่งคุณสามารถเริ่มได้ตามขั้นตอนนี้:
- สร้างตารางเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
- เปรียบเทียบ P/E พร้อมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น อัตราการเติบโตของกำไร (EPS Growth) และ ROE
- หาค่าเฉลี่ยและมองหาบริษัทที่มีค่าแตกต่างโดดเด่น
บริษัท
|
P/E
|
EPS Growth
|
ROE
|
หมายเหตุ
|
---|
บริษัท A
|
12
|
15%
|
18%
|
มี P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่ EPS Growth และ ROE สูง
|
---|
บริษัท B
|
15
|
10%
|
15%
|
ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
|
---|
บริษัท C
|
20
|
8%
|
12%
|
P/E สูงเกินไปเมื่อเทียบกับการเติบโตและ ROE
|
---|
ค่าเฉลี่ย
|
15.7
|
11%
|
15%
| |
---|
3. การคำนวณราคาเป้าหมาย (Target Price)
สมมติคุณกำลังวิเคราะห์หุ้นของบริษัท ABC และพบว่าในปีหน้า บริษัทมีแนวโน้มจะทำกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ได้ประมาณ 4.50 บาท
จากการเปรียบเทียบกับบริษัทในกลุ่มเดียวกันและค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี คุณประเมินว่า P/E ที่เหมาะสมอยู่ที่ 10 เท่า
ราคาเป้าหมาย = 10 × 4.50 = 45 บาท
หากราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 38 บาท แสดงว่าหุ้นนี้ยังมีอัพไซด์ประมาณ 18.4% (45 ÷ 38 – 1 = 0.184 หรือ 18.4%)
การคำนวณแบบนี้ช่วยให้นักลงทุนตั้งสมมติฐานในการตัดสินใจได้อย่างมีระบบ โดยอ้างอิงจากข้อมูลพื้นฐานและบริบทของอุตสาหกรรม
4. การใช้ P/E ในการคัดกรองหุ้น (Stock Screening)
P/E Ratio เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่นิยมใช้ในการคัดกรองหุ้น (Stock Screening) แพลตฟอร์มข้อมูลการลงทุนหลายแห่ง เช่น Settrade หรือ Finnomena มีฟังก์ชันคัดกรองหุ้นตาม P/E ได้
ตัวอย่างเงื่อนไขในการคัดกรอง:
- หุ้นที่มี P/E ต่ำกว่า 10 เท่า
- มี ROE มากกว่า 15%
- มีอัตราการจ่ายเงินปันผลมากกว่า 3%
การใช้ P/E Ratio ในการตัดสินใจลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ควรพิจารณาควบคู่กับปัจจัยอื่นๆ เสมอ และโปรดทราบว่า P/E ที่ต่ำไม่ได้หมายความว่าเป็นหุ้นที่ดีเสมอไป ในทำนองเดียวกัน P/E ที่สูงก็ไม่ได้บ่งชี้ว่าเป็นหุ้นที่ไม่ดี
อยากลองคำนวณ P/E ด้วยตัวเอง? คลิกที่นี่เพื่อใช้เครื่องมือคำนวณ P/E Ratio ของเรา!
เจาะลึก P/E Ratio: ข้อจำกัดและมุมมองขั้นสูง
หลังจากที่เราเข้าใจพื้นฐานของ P/E Ratio แล้ว มาเจาะลึกในประเด็นขั้นสูงที่นักลงทุนมืออาชีพมักนำมาพิจารณา
1. ข้อจำกัดของ P/E Ratio ที่ควรตระหนัก
แม้ว่า P/E Ratio จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดที่นักลงทุนควรตระหนักดังนี้:
- ไม่สามารถใช้กับบริษัทที่ขาดทุน: หากบริษัทมี EPS เป็นลบ จะไม่สามารถคำนวณ P/E ได้
- ไม่คำนึงถึงโครงสร้างเงินทุน: บริษัทที่มีหนี้สินสูงอาจมี P/E ต่ำแต่มีความเสี่ยงสูง
- มองข้ามกระแสเงินสด: บริษัทอาจมีกำไรสูงแต่กระแสเงินสดไม่ดี
- อ่อนไหวต่อนโยบายบัญชี: การเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีสามารถส่งผลต่อ EPS ได้โดยที่ผลการดำเนินงานจริงไม่ได้เปลี่ยนแปลง
2. คุณภาพของกำไร (Quality of Earnings)
นักลงทุนมืออาชีพไม่เพียงมองแค่จำนวนกำไร แต่ยังพิจารณา “คุณภาพของกำไร” ซึ่งหมายถึงความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนของกำไรนั้น ปัจจัยที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับคุณภาพกำไรมีดังนี้:
- ความสม่ำเสมอของกำไร: บริษัทที่มีกำไรสม่ำเสมอมักมีคุณภาพกำไรที่ดีกว่าบริษัทที่กำไรผันผวน
- แหล่งที่มาของกำไร: กำไรที่มาจากการดำเนินงานหลักมีคุณภาพดีกว่ากำไรจากรายการพิเศษ (One-time items)
- ความสอดคล้องระหว่างกำไรและกระแสเงินสด: บริษัทที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานสอดคล้องกับกำไรสุทธิมีแนวโน้มที่จะมีคุณภาพกำไรที่ดี
- ความเสถียรของ ROE: บริษัทที่มี ROE สูงและสม่ำเสมออย่างต่อเนื่องมักมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน
ตามการศึกษาของ กลต. พบว่าบริษัทที่มีคุณภาพกำไรสูงมักจะมี P/E Ratio ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม เนื่องจากนักลงทุนเต็มใจจ่ายพรีเมียมสำหรับความมั่นคงและความสม่ำเสมอ
3. P/E ของหุ้นประเภทต่างๆ
P/E Ratio มักแตกต่างกันตามประเภทของหุ้น ซึ่งนักลงทุนต้องเข้าใจความแตกต่างนี้:
- หุ้นเติบโต (Growth Stocks): มักมี P/E สูง เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังการเติบโตของกำไรในอนาคต ตัวอย่างเช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อี-คอมเมิร์ซ หรือ Healthcare ที่เติบโตเร็ว
- หุ้นมูลค่า (Value Stocks): หุ้นกลุ่มนี้มักมีค่า P/E ต่ำ เพราะการเติบโตไม่หวือหวา แต่จุดแข็งคือความมั่นคงและเงินปันผลที่ดี เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนระยะยาว เช่น หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภคหรือการเงิน
- หุ้นวัฏจักร (Cyclical Stocks): P/E จะผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจ ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ P/E อาจสูงผิดปกติเนื่องจากกำไรลดลงมาก เช่น หุ้นกลุ่มยานยนต์ ปิโตรเคมี หรือวัสดุก่อสร้าง
ตามข้อมูลจาก SCBS Research พบว่าในตลาดหุ้นไทย หุ้นเติบโตมี P/E เฉลี่ยที่ประมาณ 25-30 เท่า ในขณะที่หุ้นมูลค่ามี P/E เฉลี่ยที่ประมาณ 8-12 เท่า
4. ความสัมพันธ์ระหว่าง P/E กับอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย
นักลงทุนขั้นสูงควรเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง P/E กับอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อค่า P/E ของตลาดโดยรวม
หลัก “Rule of Twenty”: เป็นกฎเกณฑ์ง่ายๆ ที่กล่าวว่า P/E ที่เหมาะสมของตลาดบวกกับอัตราเงินเฟ้อควรอยู่ที่ประมาณ 20
ตัวอย่างเช่น: หากอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% ค่า P/E ที่เหมาะสมของตลาดจะอยู่ที่ประมาณ 17 เท่า (คำนวณจากสูตร 20 ลบด้วยอัตราเงินเฟ้อ)
ในกรณีที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเป็น 5% ค่า P/E ที่เหมาะสมก็จะลดลงเหลือราว 15 เท่า
โดยทั่วไปแล้ว เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ค่า P/E ของหุ้นมักจะปรับลดลง เนื่องจากต้นทุนการลงทุนเพิ่มขึ้นและความน่าสนใจของหุ้นลดลงในสายตานักลงทุน
- การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนเงินทุนของบริษัทสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบกำไร
- ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ปลอดความเสี่ยง (เช่น พันธบัตรรัฐบาล) สูงขึ้น ทำให้หุ้นน่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกัน
การศึกษาจาก Bank of Thailand แสดงให้เห็นว่าในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวเพิ่มขึ้น 1% P/E ของตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มลดลงประมาณ 1-2 เท่าโดยเฉลี่ย
การเข้าใจปัจจัยขั้นสูงเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถประเมินความเหมาะสมของ P/E ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และไม่ตกเป็นเหยื่อของการมองเพียงแค่ตัวเลข P/E โดยไม่พิจารณาบริบทแวดล้อม
P/E Ratio ในบริบทตลาดหุ้นไทย – ข้อมูลและกรณีศึกษาเฉพาะ
การใช้ P/E Ratio ในตลาดหุ้นไทยมีลักษณะเฉพาะที่นักลงทุนควรเข้าใจ มาดูกันว่า P/E ในบริบทตลาดหุ้นไทยมีจุดเด่นและความแตกต่างอย่างไร
1. แหล่งข้อมูล P/E Ratio ในตลาดหุ้นไทย
นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงข้อมูล P/E Ratio ได้จากหลายแหล่ง:
- เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET): ให้ข้อมูล P/E ของหุ้นรายตัวและ P/E ของดัชนี SET
- แพลตฟอร์มของโบรกเกอร์: เช่น Settrade, KTAM, Finansia, Maybank Kim Eng
- เว็บไซต์และแอปพลิเคชันวิเคราะห์การลงทุน: เช่น Investnow หรือ Finnomena
- บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์: มักมีการคำนวณทั้ง Trailing P/E และ Forward P/E
2. P/E เฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดหุ้นไทย
P/E Ratio แตกต่างกันไปตามกลุ่มอุตสาหกรรม ข้อมูลจาก SET Market Analysis ณ ไตรมาส 1 ปี 2024 แสดงค่า P/E เฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆ ดังนี้:
กลุ่มอุตสาหกรรม
|
P/E เฉลี่ย (เท่า)
|
---|
เทคโนโลยี (TECH)
|
22-28
|
---|
สินค้าอุปโภคบริโภค (CONS)
|
18-25
|
---|
สุขภาพ (HEALTH)
|
20-30
|
---|
อสังหาริมทรัพย์ (PROP)
|
10-15
|
---|
ธนาคาร (BANK)
|
8-12
|
---|
พลังงาน (ENERG)
|
9-14
|
---|
SET Index (ภาพรวม)
|
15-18
|
---|
การเข้าใจค่าเฉลี่ยเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินได้ว่าหุ้นที่ตนสนใจมีราคาแพงหรือถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
3. ตัวอย่างการวิเคราะห์ P/E ของบริษัทจดทะเบียนในไทย
ลองมาดูตัวอย่างการวิเคราะห์ P/E ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยกัน:
กรณีศึกษา: เปรียบเทียบ P/E ของบริษัทในกลุ่มพลังงาน
บริษัท
|
P/E (เท่า)
|
EPS Growth
|
ROE
|
เงินปันผล (%)
|
---|
PTT
|
9.5
|
6%
|
12%
|
4.5%
|
---|
PTTEP
|
6.8
|
8%
|
15%
|
5.2%
|
---|
GULF
|
22.5
|
15%
|
10%
|
1.2%
|
---|
EA
|
35.8
|
30%
|
18%
|
0.5%
|
---|
BANPU
|
4.2
|
-5%
|
8%
|
7.5%
|
---|
จากตัวอย่างนี้ เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่า:
- PTTEP และ BANPU มี P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม แต่มีเหตุผลต่างกัน: PTTEP มี ROE สูงและกำไรเติบโต แสดงถึงความคุ้มค่า ในขณะที่ BANPU มีการเติบโตเป็นลบ ทำให้ P/E ต่ำ
- ถ้าเรามองหุ้นอย่าง GULF หรือ EA ที่มีค่า P/E สูง ก็อย่าเพิ่งตกใจ เพราะทั้งสองบริษัทนี้มีการเติบโตของกำไรที่น่าประทับใจ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนถึงยังให้มูลค่าสูง
4. ลักษณะเฉพาะของการใช้ P/E ในตลาดหุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยมีลักษณะเฉพาะบางประการที่ส่งผลต่อการตีความ P/E:
- สัดส่วนการถือหุ้นโดยนักลงทุนต่างชาติ: หุ้นที่นักลงทุนต่างชาติสนใจมักมี P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ย เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมักเน้นคุณภาพและการเติบโตมากกว่าเงินปันผล
- นโยบายเงินปันผล: บริษัทไทยหลายแห่งเน้นการจ่ายเงินปันผลสูง ซึ่งอาจทำให้มี P/E ต่ำกว่าบริษัทในต่างประเทศที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
- การกระจุกตัวของหุ้นขนาดใหญ่: SET Index มีการกระจุกตัวของหุ้นขนาดใหญ่ไม่กี่ตัว ซึ่งมีอิทธิพลต่อค่า P/E เฉลี่ยของตลาด
ตามข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้นไทยมีค่า P/E เฉลี่ยต่ำกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียประมาณ 10–15% ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโอกาสลงทุนที่น่าสนใจ หรืออีกด้านหนึ่งอาจสะท้อนความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
การเข้าใจบริบทเฉพาะของตลาดหุ้นไทยจะช่วยให้นักลงทุนสามารถประยุกต์ใช้ P/E Ratio ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนที่จะนำมาตรฐานจากตลาดต่างประเทศมาใช้โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่าง
บทสรุป – จับประเด็นสำคัญของ P/E Ratio เพื่อความสำเร็จในการลงทุน
การเข้าใจและใช้สูตร P/E Ratio ให้เป็น ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นทักษะสำคัญที่นักลงทุนไทยทุกคนควรมี เพราะมันช่วยให้เรามองเห็น “มูลค่าที่แท้จริง” ของหุ้น แทนที่จะดูแค่ราคาบนหน้าจอเทรดอย่างเดียว
แม้ว่า P/E จะเป็นเครื่องมือวิเคราะห์หุ้นที่ทรงพลัง แต่มันก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการลงทุน เพราะในการตัดสินใจจริงๆ เรายังต้องดูปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น:
- EPS และการเติบโตของกำไร – แนวโน้มและความสม่ำเสมอของกำไรต่อหุ้น
- คุณภาพของงบการเงิน – สุขภาพทางการเงิน หนี้สิน และกระแสเงินสด
- ROE (Return on Equity) – ประสิทธิภาพในการใช้เงินทุนของผู้ถือหุ้น
- การจ่ายเงินปันผล – นโยบายและประวัติการจ่ายปันผล
- ปัจจัยพื้นฐาน – การวิเคราะห์อุตสาหกรรม แนวโน้มธุรกิจ และความได้เปรียบในการแข่งขัน
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ มักเริ่มต้นวิเคราะห์จากค่า P/E แต่ไม่ได้จบแค่นั้น เพราะการตัดสินใจลงทุนที่ดี ต้องมาจากการมองภาพรวมให้รอบด้าน ทั้งโอกาส ผลตอบแทน และความเสี่ยงที่อาจเจอ
การใช้งานสูตร P/E Ratio อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ได้หมายความแค่การรู้วิธีคำนวณเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงการวิเคราะห์ภาพรวมของธุรกิจในมุมกว้าง เข้าใจบริบทของแต่ละอุตสาหกรรม และติดตามข่าวสารตลาดอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีข้อมูลครบถ้วน การตัดสินใจลงทุนของคุณก็จะมีความแม่นยำและมั่นใจมากขึ้น
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ สูตร P/E Ratio อย่างถ่องแท้ และนำไปประยุกต์ใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้นและการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน!
p/e ratio สูตร FAQ
Q1: P/E Ratio ที่เท่าไรถือว่าหุ้นมีราคาถูกหรือแพง?
A1: ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อุตสาหกรรม การเติบโต และสภาวะตลาด โดยทั่วไปในตลาดหุ้นไทย P/E ต่ำกว่า 10 เท่าอาจถือว่า “ถูก” และสูงกว่า 25 เท่าอาจถือว่า “แพง” แต่ต้องพิจารณาร่วมกับการเติบโตและปัจจัยอื่นๆ หุ้นเติบโตสูงอาจมี P/E สูงแต่ยังคุ้มค่า ในขณะที่หุ้นที่มี P/E ต่ำแต่กำไรกำลังลดลงอาจไม่ใช่การลงทุนที่ดี
Q2: ทำไมบางบริษัทถึงไม่มีค่า P/E และควรพิจารณาอย่างไร?
A2: บริษัทอาจไม่มีค่า P/E เนื่องจาก 1) บริษัทขาดทุน (EPS เป็นลบ) 2) เป็นบริษัทเพิ่งเข้าตลาดและยังไม่มีข้อมูลกำไรครบปี หรือ 3) เป็นบริษัทที่มีกำไรผันผวนมาก เช่น บริษัทเหมืองแร่หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ในกรณีนี้ นักลงทุนควรพิจารณาอัตราส่วนอื่นแทน เช่น P/B (Price to Book Value), อัตราส่วนราคาต่อยอดขาย (P/S) หรือ EV/EBITDA ซึ่งใช้ได้กับบริษัทที่ขาดทุน
Q3: ควรใช้ Trailing P/E หรือ Forward P/E ในการตัดสินใจลงทุน?
A3: ทั้งสองประเภทมีประโยชน์ในมุมมองต่างกัน Trailing P/E ใช้ข้อมูลจริงที่เกิดขึ้นแล้วจึงมีความแน่นอน แต่เป็นข้อมูลในอดีต ในขณะที่ Forward P/E มองไปข้างหน้าแต่อาศัยการคาดการณ์ซึ่งอาจไม่แม่นยำ นักลงทุนควรใช้ทั้งสองค่าประกอบกัน โดย Trailing P/E บอกสถานะปัจจุบัน และ Forward P/E บอกแนวโน้มในอนาคต หากพบว่า Forward P/E ต่ำกว่า Trailing P/E มาก อาจแสดงว่าตลาดคาดการณ์การเติบโตของกำไรในอนาคต ซึ่งอาจเป็นสัญญาณการลงทุนที่ดี
Q4: P/E Ratio ใช้กับบริษัทขาดทุนได้ไหม?
A4: P/E Ratio ไม่สามารถใช้กับบริษัทที่ขาดทุนได้ เนื่องจากกำไรต่อหุ้น (EPS) จะเป็นค่าลบ ทำให้ไม่สามารถคำนวณอัตราส่วน P/E ได้อย่างมีความหมาย ในกรณีที่บริษัทขาดทุน นักลงทุนควรพิจารณาอัตราส่วนทางการเงินอื่นๆ เช่น P/B Ratio (Price to Book Value) หรือ P/S Ratio (Price to Sales Ratio) เพื่อประเมินมูลค่าแทน