Skip to content
  • ไทย
  • หน้าแรก
  • รีวิวโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์
    • รายละเอียดโบรกเกอร์ Forex
  • การเทรด Forex
    • วิเคราะห์คู่สกุลเงิน Forex
    • คู่มือเริ่มต้นเทรด Forex
  • คริปโตเคอร์เรนซี
    • รวมคริปโตเคอร์เรนซียอดนิยม
    • พื้นฐานการลงทุนบล็อกเชน
  • การลงทุนในหุ้น
    • วิเคราะห์หุ้นกลุ่มยอดนิยม
    • คู่มือเริ่มต้นลงทุนหุ้น
    • แนะนำกองทุน ETF
  • การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์
    • เจาะลึกการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
    • คู่มือเริ่มต้นลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
  • วิเคราะห์อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค
  • พื้นฐานการลงทุน
  • หน้าแรก
  • รีวิวโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์
    • รายละเอียดโบรกเกอร์ Forex
  • การเทรด Forex
    • วิเคราะห์คู่สกุลเงิน Forex
    • คู่มือเริ่มต้นเทรด Forex
  • คริปโตเคอร์เรนซี
    • รวมคริปโตเคอร์เรนซียอดนิยม
    • พื้นฐานการลงทุนบล็อกเชน
  • การลงทุนในหุ้น
    • วิเคราะห์หุ้นกลุ่มยอดนิยม
    • คู่มือเริ่มต้นลงทุนหุ้น
    • แนะนำกองทุน ETF
  • การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์
    • เจาะลึกการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
    • คู่มือเริ่มต้นลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
  • วิเคราะห์อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค
  • พื้นฐานการลงทุน

หน้าแรก - พื้นฐานการลงทุน

P/E Ratio คืออะไร? สูตรคำนวณและวิธีใช้ประเมินมูลค่าหุ้นไทย

  • วันที่เผยแพร่บทความ: 2025-07-07
  • วันที่อัปเดตบทความ:2025-07-10
ภาพแสดงการเปรียบเทียบหุ้นกับเงินที่ลงทุน

สารบัญ

ภาพแสดงการเปรียบเทียบหุ้นกับเงินที่ลงทุน

“หุ้นตัวนี้ P/E แค่ 8 เท่า ถูกมากเลยนะ!” คุณเคยได้ยินประโยคนี้จากเพื่อนนักลงทุนหรือไม่? หรืออาจสงสัยว่าทำไมหุ้นบางตัวมี P/E สูงถึง 30 เท่า แต่นักวิเคราะห์ยังบอกว่า “น่าสนใจ”?

P/E Ratio หรือ อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ เป็นหนึ่งในเครื่องมือพื้นฐานที่สุดแต่ทรงพลังที่สุดในการประเมินมูลค่าหุ้น คำว่า “P/E” ย่อมาจาก “Price to Earnings” ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นในตลาด (Price) กับกำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share หรือ EPS)

P/E Ratio เป็นตัวช่วยสำคัญที่นักลงทุนใช้ดูว่าหุ้นตัวไหน “แพง” หรือ “ถูก” เมื่อเทียบกับกำไรที่บริษัททำได้ พูดง่ายๆ มันคือการบอกเราว่าเรากำลังจ่ายเงินกี่บาทเพื่อแลกกับกำไร 1 บาทจากหุ้นตัวนั้น

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จัก P/E Ratio แบบครบเครื่อง ตั้งแต่สูตรการคำนวณ วิธีการดูค่า P/E ไปจนถึงการเอาไปใช้จริงในการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มสนใจหุ้น หรือมีประสบการณ์อยู่แล้ว บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ P/E Ratio ได้ชัดเจนขึ้น และใช้อัตราส่วนนี้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์หุ้นได้อย่างมั่นใจ

สูตร P/E Ratio ฉบับเข้าใจง่าย: วิธีคำนวณและการหาข้อมูล

ภาพจำลองแสดงสูตร P/E Ratio

เรามาเริ่มทำความเข้าใจกับสูตรการคำนวณ P/E Ratio กันก่อน โดยสูตรพื้นฐานที่นิยมใช้คือ:

สูตร P/E Ratio = ราคาตลาดต่อหุ้น (Market Price per Share) ÷ กำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share หรือ EPS)

ในภาษาไทย เราเรียกส่วนประกอบของสูตรนี้ว่า:

  • “P” คือ ราคาหุ้นในตลาดปัจจุบัน (Price)
  • “E” คือ กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share หรือ EPS)

ตัวอย่างการคำนวณ:

  • หากหุ้น XYZ มีราคาตลาดอยู่ที่ 23 บาทต่อหุ้น
  • และบริษัท XYZ มี EPS อยู่ที่ 2.27 บาทต่อหุ้น
  • P/E Ratio = 23 ÷ 2.27 = 10.1 เท่า

นั่นหมายความว่า นักลงทุนต้องจ่ายเงิน 10.1 บาท เพื่อซื้อกำไร 1 บาทของบริษัท XYZ

นอกจากสูตรพื้นฐานนี้แล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่งในการคำนวณ P/E Ratio คือ:

P/E Ratio = มูลค่าตลาดรวมของบริษัท (Market Capitalization) ÷ กำไรสุทธิรวม (Net Profit)

สูตรนี้จะให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับสูตรแรก แต่มองในระดับบริษัทโดยรวมแทนที่จะเป็นต่อหุ้น ซึ่งในบางครั้งอาจสะดวกกว่าหากคุณมีข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่าตลาดรวมและกำไรสุทธิรวมของบริษัท

สำหรับแหล่งข้อมูล EPS นั้น คุณสามารถหาได้จาก:

แหล่งข้อมูล EPS (EPS Data Sources)

รายละเอียด (Details)

งบการเงินของบริษัท (Company Financial Statements)

Quarterly หรือ Annual Report

เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Website)


www.set.or.th


แพลตฟอร์มซื้อขายหุ้นของโบรกเกอร์ (Brokerage Platforms)

เช่น Settrade, KTAM, Finansia, Maybank Kim Eng

เว็บไซต์ข้อมูลการลงทุน (Investment Data Websites)

เช่น Finnomena หรือ Investnow

บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ (Securities Firm Research Reports)

มักมีการคำนวณทั้ง Trailing P/E และ Forward P/E

การเลือกตัวเลข EPS ที่เหมาะสมก็มีความสำคัญ โดยทั่วไปนิยมใช้ EPS ย้อนหลัง 12 เดือน (Trailing Twelve Months หรือ TTM) ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงแล้ว แต่ในการวิเคราะห์เชิงลึก นักลงทุนมืออาชีพมักใช้ EPS คาดการณ์ในอนาคต (Forward EPS) ด้วย ซึ่งเราจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป

อ่านค่า P/E Ratio อย่างไร? การตีความและการเปรียบเทียบ

ภาพเปรียบเทียบบริษัทที่มีความมั่นคง และบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตต่ำ

เมื่อคุณสามารถคำนวณ P/E Ratio ได้แล้ว สิ่งสำคัญกว่าคือการตีความค่าที่ได้ การอ่านค่า P/E Ratio นั้นไม่มีสูตรตายตัว ต้องพิจารณาหลายปัจจัยประกอบกัน

P/E Ratio สูง vs P/E Ratio ต่ำ

  • P/E Ratio สูง (เช่น 20 เท่าขึ้นไป): โดยทั่วไปอาจหมายถึง
    1. ตลาดคาดหวังการเติบโตของกำไรในอนาคตสูง (เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี)
    2. บริษัทมีความมั่นคงและความเสี่ยงต่ำ (เช่น หุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภค)
    3. อาจมีความเสี่ยงที่หุ้น “แพงเกินไป” หากการเติบโตไม่เป็นไปตามคาด
  • P/E Ratio ต่ำ (เช่น ต่ำกว่า 10 เท่า): อาจหมายถึง
    1. ตลาดมองว่าบริษัทมีแนวโน้มการเติบโตต่ำ
    2. บริษัทอาจมีความเสี่ยงสูง หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่ผันผวน (เช่น หุ้นวัฏจักร)
    3. อาจเป็นโอกาสในการลงทุนหากเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานดีแต่ราคาถูกกดจากปัจจัยชั่วคราว

ตามข้อมูลจาก SET Research ค่าเฉลี่ย P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 15-18 เท่า หากหุ้นใดมี P/E สูงหรือต่ำกว่านี้มาก ควรทำการวิเคราะห์เพิ่มเติม

การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ – Contextual Analysis

การดูค่า P/E เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ คุณควรเปรียบเทียบกับ:

  1. P/E ของบริษัทในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน (Peer Comparison)
  2. P/E เฉลี่ยของอุตสาหกรรม (Industry Average)
  3. P/E ในอดีตของบริษัทเอง (Historical P/E)
  4. P/E ของตลาดโดยรวม (Market P/E)

ตัวอย่างเช่น หุ้นธนาคารที่มี P/E 8 เท่า อาจไม่ได้ “ถูก” เสมอไป หากธนาคารอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันมี P/E เฉลี่ยที่ 7 เท่า

กรณีพิเศษ: P/E เป็นลบหรือใกล้ศูนย์

  • P/E เป็นลบ: เกิดเมื่อบริษัทขาดทุน (EPS เป็นลบ) ทำให้ไม่สามารถใช้ P/E ในการประเมินมูลค่าได้
  • P/E ใกล้ศูนย์: เกิดเมื่อบริษัทมีกำไรน้อยมากเมื่อเทียบกับราคาหุ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความไม่ยั่งยืนของธุรกิจ หรืออาจเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของบริษัท

การวิเคราะห์หุ้นที่ดีต้องพิจารณา P/E ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น การเติบโตของรายได้และกำไร อัตราส่วนทางการเงินอื่นๆ (เช่น ROE, D/E Ratio) และปัจจัยเชิงคุณภาพของธุรกิจ

ประเภทของ P/E Ratio – Trailing, Forward และ Relative P/E

หากต้องการใช้ P/E Ratio ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นักลงทุนควรทำความเข้าใจกับประเภทของค่า P/E ซึ่งแต่ละแบบมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. Trailing P/E (TTM P/E)

Trailing P/E คือ P/E ที่คำนวณจากกำไรย้อนหลัง 12 เดือนล่าสุด (Trailing Twelve Months หรือ TTM) ซึ่งเป็นประเภทที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในเว็บไซต์ข้อมูลการลงทุนและแพลตฟอร์มซื้อขายหุ้น

ข้อดี:

  • ใช้ข้อมูลจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่การคาดการณ์
  • ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ เพราะผ่านการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชี
  • สามารถหาได้ง่ายจากแหล่งข้อมูลสาธารณะ

ข้อจำกัด:

  • เป็นข้อมูลในอดีต ไม่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
  • อาจบิดเบือนได้หากบริษัทมีกำไรผิดปกติในปีที่ผ่านมา (เช่น รายการพิเศษ)

2. Forward P/E

Forward P/E คำนวณจากกำไรที่คาดการณ์ในอนาคต โดยทั่วไปมักเป็นประมาณการกำไรในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งมาจากการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์

ข้อดี:

  • สะท้อนมุมมองเกี่ยวกับอนาคตของบริษัทมากกว่า
  • เหมาะสำหรับบริษัทที่กำลังเติบโตหรือฟื้นตัว
  • ช่วยในการมองหาโอกาสลงทุนล่วงหน้า

ข้อจำกัด:

  • ขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ซึ่งอาจไม่แม่นยำ
  • แต่ละบริษัทวิเคราะห์หลักทรัพย์อาจมีประมาณการที่แตกต่างกัน
  • ข้อมูลอาจไม่เปิดเผยต่อสาธารณะหรือต้องซื้อบทวิเคราะห์

3. Relative P/E

Relative P/E คือการเปรียบเทียบ P/E ของหุ้นตัวหนึ่งกับอีกตัวหนึ่ง หรือกับค่าเฉลี่ยของตลาดหรืออุตสาหกรรม โดยคำนวณจาก:

Relative P/E = P/E ของบริษัท ÷ P/E อ้างอิง (เช่น P/E ของตลาดหรืออุตสาหกรรม)

ข้อดี:

  • ช่วยในการเปรียบเทียบระหว่างหุ้น หรือระหว่างหุ้นกับตลาด
  • ลดผลกระทบจากปัจจัยมหภาค เช่น อัตราดอกเบี้ย ที่กระทบตลาดโดยรวม
  • เหมาะสำหรับการคัดเลือกหุ้นในพอร์ตการลงทุน

ข้อจำกัด:

  • ต้องเลือกจุดอ้างอิงที่เหมาะสม
  • อาจไม่เหมาะกับบริษัทที่มีธุรกิจหลากหลาย
  • อาจไม่เหมาะกับบริษัทที่มีธุรกิจหลากหลาย ในการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ นักลงทุนไทยควรพิจารณา Trailing P/E เพื่อประเมินสถานะปัจจุบัน ควบคู่ไปกับ Forward P/E

ในการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ นักลงทุนไทยควรพิจารณา Trailing P/E เพื่อประเมินสถานะปัจจุบัน ควบคู่ไปกับ Forward P/E เพื่อคาดการณ์ศักยภาพในอนาคต

ตามข้อมูลจาก KTAM Research พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว Forward P/E ของหุ้นไทยมักต่ำกว่า Trailing P/E ประมาณ 10-15% เนื่องจากนักวิเคราะห์มักคาดการณ์การเติบโตของกำไรในอนาคต

การประยุกต์ใช้ P/E Ratio ในการตัดสินใจลงทุน

P/E Ratio ไม่ใช่แค่ตัวเลขทางทฤษฎี แต่เป็นเครื่องมือที่นักลงทุนสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจลงทุนจริงได้ มาดูวิธีการประยุกต์ใช้กันดังนี้

1. การระบุหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าหรือสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง

อัตราส่วน P/E ช่วยในการประเมินว่าหุ้นนั้นมีราคา “ถูก” หรือ “แพง” เมื่อเทียบกับศักยภาพในการทำกำไร โดยหลักการแล้ว:

  • P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมมาก: อาจเป็นหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervalued) หรือมีปัญหาที่ตลาดกังวล
  • P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมมาก: อาจเป็นหุ้นที่มีราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Overvalued) หรือตลาดคาดหวังการเติบโตสูงมาก

ตัวอย่าง: หากค่าเฉลี่ย P/E ของกลุ่มธนาคารในไทยอยู่ที่ 9 เท่า และคุณพบธนาคาร A ที่มี P/E เพียง 6 เท่า ทั้งที่มีพื้นฐานดี นี่อาจเป็นโอกาสในการลงทุน

2. การเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน

ถ้าอยากใช้ P/E ให้ได้ผลจริงๆ ลองเทียบกับบริษัทอื่นในกลุ่มเดียวกันดู เพราะจะเห็นภาพชัดกว่าการดูแค่ตัวเดียว ซึ่งคุณสามารถเริ่มได้ตามขั้นตอนนี้:

  1. สร้างตารางเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  2. เปรียบเทียบ P/E พร้อมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น อัตราการเติบโตของกำไร (EPS Growth) และ ROE
  3. หาค่าเฉลี่ยและมองหาบริษัทที่มีค่าแตกต่างโดดเด่น

บริษัท

P/E

EPS Growth

ROE

หมายเหตุ

บริษัท A

12

15%

18%

มี P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่ EPS Growth และ ROE สูง

บริษัท B

15

10%

15%

ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม

บริษัท C

20

8%

12%

P/E สูงเกินไปเมื่อเทียบกับการเติบโตและ ROE

ค่าเฉลี่ย

15.7

11%

15%

 

3. การคำนวณราคาเป้าหมาย (Target Price)

สมมติคุณกำลังวิเคราะห์หุ้นของบริษัท ABC และพบว่าในปีหน้า บริษัทมีแนวโน้มจะทำกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ได้ประมาณ 4.50 บาท

จากการเปรียบเทียบกับบริษัทในกลุ่มเดียวกันและค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี คุณประเมินว่า P/E ที่เหมาะสมอยู่ที่ 10 เท่า

ราคาเป้าหมาย = 10 × 4.50 = 45 บาท

หากราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 38 บาท แสดงว่าหุ้นนี้ยังมีอัพไซด์ประมาณ 18.4% (45 ÷ 38 – 1 = 0.184 หรือ 18.4%)

การคำนวณแบบนี้ช่วยให้นักลงทุนตั้งสมมติฐานในการตัดสินใจได้อย่างมีระบบ โดยอ้างอิงจากข้อมูลพื้นฐานและบริบทของอุตสาหกรรม

4. การใช้ P/E ในการคัดกรองหุ้น (Stock Screening)

P/E Ratio เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่นิยมใช้ในการคัดกรองหุ้น (Stock Screening) แพลตฟอร์มข้อมูลการลงทุนหลายแห่ง เช่น Settrade หรือ Finnomena มีฟังก์ชันคัดกรองหุ้นตาม P/E ได้

ตัวอย่างเงื่อนไขในการคัดกรอง:

  • หุ้นที่มี P/E ต่ำกว่า 10 เท่า
  • มี ROE มากกว่า 15%
  • มีอัตราการจ่ายเงินปันผลมากกว่า 3%

การใช้ P/E Ratio ในการตัดสินใจลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ควรพิจารณาควบคู่กับปัจจัยอื่นๆ เสมอ และโปรดทราบว่า P/E ที่ต่ำไม่ได้หมายความว่าเป็นหุ้นที่ดีเสมอไป ในทำนองเดียวกัน P/E ที่สูงก็ไม่ได้บ่งชี้ว่าเป็นหุ้นที่ไม่ดี

อยากลองคำนวณ P/E ด้วยตัวเอง? คลิกที่นี่เพื่อใช้เครื่องมือคำนวณ P/E Ratio ของเรา!

เจาะลึก P/E Ratio: ข้อจำกัดและมุมมองขั้นสูง

หลังจากที่เราเข้าใจพื้นฐานของ P/E Ratio แล้ว มาเจาะลึกในประเด็นขั้นสูงที่นักลงทุนมืออาชีพมักนำมาพิจารณา

1. ข้อจำกัดของ P/E Ratio ที่ควรตระหนัก

ภาพ: ข้อจำกัดของ P/E Ratio ที่นักลงทุนควรตระหนัก

แม้ว่า P/E Ratio จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดที่นักลงทุนควรตระหนักดังนี้:

  • ไม่สามารถใช้กับบริษัทที่ขาดทุน: หากบริษัทมี EPS เป็นลบ จะไม่สามารถคำนวณ P/E ได้
  • ไม่คำนึงถึงโครงสร้างเงินทุน: บริษัทที่มีหนี้สินสูงอาจมี P/E ต่ำแต่มีความเสี่ยงสูง
  • มองข้ามกระแสเงินสด: บริษัทอาจมีกำไรสูงแต่กระแสเงินสดไม่ดี
  • อ่อนไหวต่อนโยบายบัญชี: การเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีสามารถส่งผลต่อ EPS ได้โดยที่ผลการดำเนินงานจริงไม่ได้เปลี่ยนแปลง

2. คุณภาพของกำไร (Quality of Earnings)

นักลงทุนมืออาชีพไม่เพียงมองแค่จำนวนกำไร แต่ยังพิจารณา “คุณภาพของกำไร” ซึ่งหมายถึงความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนของกำไรนั้น ปัจจัยที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับคุณภาพกำไรมีดังนี้:

  • ความสม่ำเสมอของกำไร: บริษัทที่มีกำไรสม่ำเสมอมักมีคุณภาพกำไรที่ดีกว่าบริษัทที่กำไรผันผวน
  • แหล่งที่มาของกำไร: กำไรที่มาจากการดำเนินงานหลักมีคุณภาพดีกว่ากำไรจากรายการพิเศษ (One-time items)
  • ความสอดคล้องระหว่างกำไรและกระแสเงินสด: บริษัทที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานสอดคล้องกับกำไรสุทธิมีแนวโน้มที่จะมีคุณภาพกำไรที่ดี
  • ความเสถียรของ ROE: บริษัทที่มี ROE สูงและสม่ำเสมออย่างต่อเนื่องมักมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน

ตามการศึกษาของ กลต. พบว่าบริษัทที่มีคุณภาพกำไรสูงมักจะมี P/E Ratio ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม เนื่องจากนักลงทุนเต็มใจจ่ายพรีเมียมสำหรับความมั่นคงและความสม่ำเสมอ

3. P/E ของหุ้นประเภทต่างๆ

ภาพแสดงตัวแทนของหุ้นเติบโต หุ้นคุณค่า และหุ้นวัฏจักร

P/E Ratio มักแตกต่างกันตามประเภทของหุ้น ซึ่งนักลงทุนต้องเข้าใจความแตกต่างนี้:

  • หุ้นเติบโต (Growth Stocks): มักมี P/E สูง เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังการเติบโตของกำไรในอนาคต ตัวอย่างเช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อี-คอมเมิร์ซ หรือ Healthcare ที่เติบโตเร็ว
  • หุ้นมูลค่า (Value Stocks): หุ้นกลุ่มนี้มักมีค่า P/E ต่ำ เพราะการเติบโตไม่หวือหวา แต่จุดแข็งคือความมั่นคงและเงินปันผลที่ดี เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนระยะยาว เช่น หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภคหรือการเงิน
  • หุ้นวัฏจักร (Cyclical Stocks): P/E จะผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจ ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ P/E อาจสูงผิดปกติเนื่องจากกำไรลดลงมาก เช่น หุ้นกลุ่มยานยนต์ ปิโตรเคมี หรือวัสดุก่อสร้าง

ตามข้อมูลจาก SCBS Research พบว่าในตลาดหุ้นไทย หุ้นเติบโตมี P/E เฉลี่ยที่ประมาณ 25-30 เท่า ในขณะที่หุ้นมูลค่ามี P/E เฉลี่ยที่ประมาณ 8-12 เท่า

4. ความสัมพันธ์ระหว่าง P/E กับอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย

นักลงทุนขั้นสูงควรเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง P/E กับอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อค่า P/E ของตลาดโดยรวม

หลัก “Rule of Twenty”: เป็นกฎเกณฑ์ง่ายๆ ที่กล่าวว่า P/E ที่เหมาะสมของตลาดบวกกับอัตราเงินเฟ้อควรอยู่ที่ประมาณ 20

ตัวอย่างเช่น: หากอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% ค่า P/E ที่เหมาะสมของตลาดจะอยู่ที่ประมาณ 17 เท่า (คำนวณจากสูตร 20 ลบด้วยอัตราเงินเฟ้อ)

ในกรณีที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเป็น 5% ค่า P/E ที่เหมาะสมก็จะลดลงเหลือราว 15 เท่า

โดยทั่วไปแล้ว เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ค่า P/E ของหุ้นมักจะปรับลดลง เนื่องจากต้นทุนการลงทุนเพิ่มขึ้นและความน่าสนใจของหุ้นลดลงในสายตานักลงทุน

  • การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนเงินทุนของบริษัทสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบกำไร
  • ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ปลอดความเสี่ยง (เช่น พันธบัตรรัฐบาล) สูงขึ้น ทำให้หุ้นน่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกัน

การศึกษาจาก Bank of Thailand แสดงให้เห็นว่าในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวเพิ่มขึ้น 1% P/E ของตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มลดลงประมาณ 1-2 เท่าโดยเฉลี่ย

การเข้าใจปัจจัยขั้นสูงเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถประเมินความเหมาะสมของ P/E ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และไม่ตกเป็นเหยื่อของการมองเพียงแค่ตัวเลข P/E โดยไม่พิจารณาบริบทแวดล้อม

P/E Ratio ในบริบทตลาดหุ้นไทย – ข้อมูลและกรณีศึกษาเฉพาะ

การใช้ P/E Ratio ในตลาดหุ้นไทยมีลักษณะเฉพาะที่นักลงทุนควรเข้าใจ มาดูกันว่า P/E ในบริบทตลาดหุ้นไทยมีจุดเด่นและความแตกต่างอย่างไร

1. แหล่งข้อมูล P/E Ratio ในตลาดหุ้นไทย

นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงข้อมูล P/E Ratio ได้จากหลายแหล่ง:

  • เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET): ให้ข้อมูล P/E ของหุ้นรายตัวและ P/E ของดัชนี SET
  • แพลตฟอร์มของโบรกเกอร์: เช่น Settrade, KTAM, Finansia, Maybank Kim Eng
  • เว็บไซต์และแอปพลิเคชันวิเคราะห์การลงทุน: เช่น Investnow หรือ Finnomena
  • บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์: มักมีการคำนวณทั้ง Trailing P/E และ Forward P/E

2. P/E เฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดหุ้นไทย

P/E Ratio แตกต่างกันไปตามกลุ่มอุตสาหกรรม ข้อมูลจาก SET Market Analysis ณ ไตรมาส 1 ปี 2024 แสดงค่า P/E เฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆ ดังนี้:

กลุ่มอุตสาหกรรม

P/E เฉลี่ย (เท่า)

เทคโนโลยี (TECH)

22-28

สินค้าอุปโภคบริโภค (CONS)

18-25

สุขภาพ (HEALTH)

20-30

อสังหาริมทรัพย์ (PROP)

10-15

ธนาคาร (BANK)

8-12

พลังงาน (ENERG)

9-14

SET Index (ภาพรวม)

15-18

การเข้าใจค่าเฉลี่ยเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินได้ว่าหุ้นที่ตนสนใจมีราคาแพงหรือถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม

3. ตัวอย่างการวิเคราะห์ P/E ของบริษัทจดทะเบียนในไทย

ลองมาดูตัวอย่างการวิเคราะห์ P/E ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยกัน:

กรณีศึกษา: เปรียบเทียบ P/E ของบริษัทในกลุ่มพลังงาน

บริษัท

P/E (เท่า)

EPS Growth

ROE

เงินปันผล (%)

PTT

9.5

6%

12%

4.5%

PTTEP

6.8

8%

15%

5.2%

GULF

22.5

15%

10%

1.2%

EA

35.8

30%

18%

0.5%

BANPU

4.2

-5%

8%

7.5%

จากตัวอย่างนี้ เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่า:

  • PTTEP และ BANPU มี P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม แต่มีเหตุผลต่างกัน: PTTEP มี ROE สูงและกำไรเติบโต แสดงถึงความคุ้มค่า ในขณะที่ BANPU มีการเติบโตเป็นลบ ทำให้ P/E ต่ำ
  • ถ้าเรามองหุ้นอย่าง GULF หรือ EA ที่มีค่า P/E สูง ก็อย่าเพิ่งตกใจ เพราะทั้งสองบริษัทนี้มีการเติบโตของกำไรที่น่าประทับใจ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนถึงยังให้มูลค่าสูง

4. ลักษณะเฉพาะของการใช้ P/E ในตลาดหุ้นไทย

ตลาดหุ้นไทยมีลักษณะเฉพาะบางประการที่ส่งผลต่อการตีความ P/E:

  • สัดส่วนการถือหุ้นโดยนักลงทุนต่างชาติ: หุ้นที่นักลงทุนต่างชาติสนใจมักมี P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ย เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมักเน้นคุณภาพและการเติบโตมากกว่าเงินปันผล
  • นโยบายเงินปันผล: บริษัทไทยหลายแห่งเน้นการจ่ายเงินปันผลสูง ซึ่งอาจทำให้มี P/E ต่ำกว่าบริษัทในต่างประเทศที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • การกระจุกตัวของหุ้นขนาดใหญ่: SET Index มีการกระจุกตัวของหุ้นขนาดใหญ่ไม่กี่ตัว ซึ่งมีอิทธิพลต่อค่า P/E เฉลี่ยของตลาด

ตามข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้นไทยมีค่า P/E เฉลี่ยต่ำกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียประมาณ 10–15% ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโอกาสลงทุนที่น่าสนใจ หรืออีกด้านหนึ่งอาจสะท้อนความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

การเข้าใจบริบทเฉพาะของตลาดหุ้นไทยจะช่วยให้นักลงทุนสามารถประยุกต์ใช้ P/E Ratio ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนที่จะนำมาตรฐานจากตลาดต่างประเทศมาใช้โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่าง

บทสรุป – จับประเด็นสำคัญของ P/E Ratio เพื่อความสำเร็จในการลงทุน

การเข้าใจและใช้สูตร P/E Ratio ให้เป็น ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นทักษะสำคัญที่นักลงทุนไทยทุกคนควรมี เพราะมันช่วยให้เรามองเห็น “มูลค่าที่แท้จริง” ของหุ้น แทนที่จะดูแค่ราคาบนหน้าจอเทรดอย่างเดียว

แม้ว่า P/E จะเป็นเครื่องมือวิเคราะห์หุ้นที่ทรงพลัง แต่มันก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการลงทุน เพราะในการตัดสินใจจริงๆ เรายังต้องดูปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น:

  • EPS และการเติบโตของกำไร – แนวโน้มและความสม่ำเสมอของกำไรต่อหุ้น
  • คุณภาพของงบการเงิน – สุขภาพทางการเงิน หนี้สิน และกระแสเงินสด
  • ROE (Return on Equity) – ประสิทธิภาพในการใช้เงินทุนของผู้ถือหุ้น
  • การจ่ายเงินปันผล – นโยบายและประวัติการจ่ายปันผล
  • ปัจจัยพื้นฐาน – การวิเคราะห์อุตสาหกรรม แนวโน้มธุรกิจ และความได้เปรียบในการแข่งขัน

นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ มักเริ่มต้นวิเคราะห์จากค่า P/E แต่ไม่ได้จบแค่นั้น เพราะการตัดสินใจลงทุนที่ดี ต้องมาจากการมองภาพรวมให้รอบด้าน ทั้งโอกาส ผลตอบแทน และความเสี่ยงที่อาจเจอ

การใช้งานสูตร P/E Ratio อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ได้หมายความแค่การรู้วิธีคำนวณเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงการวิเคราะห์ภาพรวมของธุรกิจในมุมกว้าง เข้าใจบริบทของแต่ละอุตสาหกรรม และติดตามข่าวสารตลาดอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีข้อมูลครบถ้วน การตัดสินใจลงทุนของคุณก็จะมีความแม่นยำและมั่นใจมากขึ้น

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ สูตร P/E Ratio อย่างถ่องแท้ และนำไปประยุกต์ใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้นและการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน!

p/e ratio สูตร FAQ

  1. Q1: P/E Ratio ที่เท่าไรถือว่าหุ้นมีราคาถูกหรือแพง?

    A1: ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อุตสาหกรรม การเติบโต และสภาวะตลาด โดยทั่วไปในตลาดหุ้นไทย P/E ต่ำกว่า 10 เท่าอาจถือว่า “ถูก” และสูงกว่า 25 เท่าอาจถือว่า “แพง” แต่ต้องพิจารณาร่วมกับการเติบโตและปัจจัยอื่นๆ หุ้นเติบโตสูงอาจมี P/E สูงแต่ยังคุ้มค่า ในขณะที่หุ้นที่มี P/E ต่ำแต่กำไรกำลังลดลงอาจไม่ใช่การลงทุนที่ดี

  2. Q2: ทำไมบางบริษัทถึงไม่มีค่า P/E และควรพิจารณาอย่างไร?

    A2: บริษัทอาจไม่มีค่า P/E เนื่องจาก 1) บริษัทขาดทุน (EPS เป็นลบ) 2) เป็นบริษัทเพิ่งเข้าตลาดและยังไม่มีข้อมูลกำไรครบปี หรือ 3) เป็นบริษัทที่มีกำไรผันผวนมาก เช่น บริษัทเหมืองแร่หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ในกรณีนี้ นักลงทุนควรพิจารณาอัตราส่วนอื่นแทน เช่น P/B (Price to Book Value), อัตราส่วนราคาต่อยอดขาย (P/S) หรือ EV/EBITDA ซึ่งใช้ได้กับบริษัทที่ขาดทุน

  3. Q3: ควรใช้ Trailing P/E หรือ Forward P/E ในการตัดสินใจลงทุน?

    A3: ทั้งสองประเภทมีประโยชน์ในมุมมองต่างกัน Trailing P/E ใช้ข้อมูลจริงที่เกิดขึ้นแล้วจึงมีความแน่นอน แต่เป็นข้อมูลในอดีต ในขณะที่ Forward P/E มองไปข้างหน้าแต่อาศัยการคาดการณ์ซึ่งอาจไม่แม่นยำ นักลงทุนควรใช้ทั้งสองค่าประกอบกัน โดย Trailing P/E บอกสถานะปัจจุบัน และ Forward P/E บอกแนวโน้มในอนาคต หากพบว่า Forward P/E ต่ำกว่า Trailing P/E มาก อาจแสดงว่าตลาดคาดการณ์การเติบโตของกำไรในอนาคต ซึ่งอาจเป็นสัญญาณการลงทุนที่ดี

  4. Q4: P/E Ratio ใช้กับบริษัทขาดทุนได้ไหม?

    A4: P/E Ratio ไม่สามารถใช้กับบริษัทที่ขาดทุนได้ เนื่องจากกำไรต่อหุ้น (EPS) จะเป็นค่าลบ ทำให้ไม่สามารถคำนวณอัตราส่วน P/E ได้อย่างมีความหมาย ในกรณีที่บริษัทขาดทุน นักลงทุนควรพิจารณาอัตราส่วนทางการเงินอื่นๆ เช่น P/B Ratio (Price to Book Value) หรือ P/S Ratio (Price to Sales Ratio) เพื่อประเมินมูลค่าแทน

Picture of Supachai Vichayakorn
Supachai Vichayakorn
นักเศรษฐศาสตร์ผู้คร่ำหวอดในวงการการวิเคราะห์ตลาดฟอเร็กซ์และนโยบายการเงินในเอเชียมากว่า 15 ปี คุณศุภชัยเชี่ยวชาญด้านระบบอัตราแลกเปลี่ยนของภูมิภาคอาเซียนและการเคลื่อนไหวของธนาคารกลาง โดยสามารถเชื่อมโยงสถานการณ์เศรษฐกิจการเมืองของไทยเข้ากับกระแสเงินทุนทั่วโลกเพื่อคาดการณ์ค่าเงินได้อย่างแม่นยำ ด้วยสไตล์การวิเคราะห์ที่ใช้เหตุผลเป็นหลักและไวต่อจังหวะของตลาด ทำให้เขาได้รับสมญานามว่า “จ้าวแห่งจังหวะค่าเงินบาท” ในหมู่นักลงทุนมืออาชีพ เขาเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และยังเคยทำงานเป็นที่ปรึกษากลยุทธ์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้กับธนาคารเพื่อการลงทุนระดับโลก เช่น HSBC และ UBS ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการแห่งสถาบันวิจัยอิสระ “Thai FX Intelligence” ที่มุ่งเน้นการให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและการคาดการณ์นโยบายการเงินสำหรับภาคธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ
Prev上一篇เทคนิคเทรด Fibonacci Forex
下一篇Pin Bar คืออะไรใน Forex (พินบาร์ ฟอเร็กซ์) | กลยุทธ์และวิธีเทรด Pin Bar อย่างมืออาชีพNext
การจัดอันดับโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์
แบรนด์
คะแนน
รีวิวแบบละเอียด
1. Moneta Markets
★ 9.8/10
2. Vantage FX
★9.4/10
3. VT Markets
★ 9.2/10
4. Eightcap
★ 8.9/10
5. GOFX
★ 8.8/10
บทความล่าสุด
ภาพเปรียบเปรย Lot Size
พื้นฐานการลงทุน

Lot Size คืออะไร? เข้าใจง่าย เทรดมั่นใจ

สำหรับนักเทรดหน้าใหม

อ่านเพิ่มเติม »
ภาพรวมการอ่อนค่าของเงินบาท
วิเคราะห์คู่สกุลเงิน Forex

เงินบาทอ่อนค่า ใครได้ประโยชน์ – ผลกระทบที่คุณต้องรู้ในปี 2025

บทนำ – เงินบาท

อ่านเพิ่มเติม »
ภาพคนกำลังเทรดทอง
คู่มือเริ่มต้นลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์

วิธีเทรดทองออนไลน์: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับมือใหม่Q: มือใหม่ควรเริ่มเทรดทองด้วยวิธีใด?วิธีเทรดทองออนไลน์: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับมือใหม่

การเทรดทองในยุคดิจิท

อ่านเพิ่มเติม »
แนะนำเพิ่มเติม
ภาพเปรียบเปรย Lot Size
พื้นฐานการลงทุน

Lot Size คืออะไร? เข้าใจง่าย เทรดมั่นใจ

สำหรับนักเทรดหน้าใหม

อ่านเพิ่มเติม »
แผนที่โลกแสดงเวลาทำการของตลาด Forex หลัก
คู่มือเริ่มต้นเทรด Forex

Demand Zone Forex เราควรเทรดเวลาไหนดี?

1. เริ่มต้นเข้าใจ De

อ่านเพิ่มเติม »
ภาพคนถือเอกสาร Put Option กับกราฟราคาลง
พื้นฐานการลงทุน

Put Option คือ อะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับนักเทรดไทย

การเทรดในตลาดทุนไทยใ

อ่านเพิ่มเติม »


10 อันดับโบรกเกอร์ Forex เป็นแพลตฟอร์มรีวิวชั้นนำในฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน ทีมงานของเรามีประสบการณ์ในอุตสาหกรรม มากกว่า 10 ปี เพื่อมอบประสบการณ์การเทรดที่ปลอดภัยที่สุดให้กับคุณ

เกี่ยวกับเรา

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
  • ข้อกำหนดในการใช้งาน
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว

เงื่อนไขการใช้งาน

  • หน้าแรก
  • รีวิวโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์
    • รายละเอียดโบรกเกอร์ Forex
  • การเทรด Forex
    • วิเคราะห์คู่สกุลเงิน Forex
    • คู่มือเริ่มต้นเทรด Forex
  • คริปโตเคอร์เรนซี
    • รวมคริปโตเคอร์เรนซียอดนิยม
    • พื้นฐานการลงทุนบล็อกเชน
  • การลงทุนในหุ้น
    • วิเคราะห์หุ้นกลุ่มยอดนิยม
    • คู่มือเริ่มต้นลงทุนหุ้น
    • แนะนำกองทุน ETF
  • การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์
    • เจาะลึกการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
    • คู่มือเริ่มต้นลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
  • วิเคราะห์อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค
  • พื้นฐานการลงทุน
  • หน้าแรก
  • รีวิวโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์
    • รายละเอียดโบรกเกอร์ Forex
  • การเทรด Forex
    • วิเคราะห์คู่สกุลเงิน Forex
    • คู่มือเริ่มต้นเทรด Forex
  • คริปโตเคอร์เรนซี
    • รวมคริปโตเคอร์เรนซียอดนิยม
    • พื้นฐานการลงทุนบล็อกเชน
  • การลงทุนในหุ้น
    • วิเคราะห์หุ้นกลุ่มยอดนิยม
    • คู่มือเริ่มต้นลงทุนหุ้น
    • แนะนำกองทุน ETF
  • การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์
    • เจาะลึกการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
    • คู่มือเริ่มต้นลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์
  • วิเคราะห์อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค
  • พื้นฐานการลงทุน

สมัครรับจดหมายข่าวจากเรา

รับข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ของเราและสัญญาณการเทรดประจำสัปดาห์